เกาดา (Gouda) เนเธอร์แลนด์ เมืองที่มีชื่อเสียงระดับโลกในด้านชีส ขนมวาฟเฟิลน้ำเชื่อม ท่อยาสูบและเครื่องปั้นดินเผา ตั้งอยู่ห่างจากกรุงอัมสเตอร์ดัมประมาณ 50 นาที เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่กำลังมองหาการท่องเที่ยวแบบเดย์ทริป เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เกาดา (Gouda) นอกจากจะมีชื่อเสียงเกี่ยวกับชีสแล้ว ยังเป็นสถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เกาดา แหล่งรวบรวมประวัติศาสตร์ของเมือง จัดแสดงแบบจำลองเมืองแบบอินเทอร์แอคทีฟขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงผังเมืองรอบด้านและการใช้ชีวิตของผู้คนในอดีตย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1562 ผลงานภาพวาดจากศตวรรษที่ 17 เครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงและศิลปะสมัยใหม่ เกาดา (Gouda) ยังมีโบสถ์ที่ยาวที่สุดในเนเธอร์แลนด์ (Sint-Janskerk) ประดับด้วยหน้าต่างกระจกสีลวดลายต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงระดับโลกเช่นกัน ใจกลางเมืองยังเป็นที่ตั้งของศาลากลางสไตล์กอทิกจากศตวรรษที่ 15 และบ้านชั่งน้ำหนัก Goudse Waag แหล่งซื้อขายชีสที่มีชื่อเสียงในอดีต
ที่เที่ยวในเมืองเกาดา (Gouda)
พิพิธภัณฑ์เกาดา (Museum Gouda)
Museum Gouda ตั้งอยู่ที่ Achter de Kerk 14 ด้านข้างโบสถ์ Sint-Janskerk เป็นสถานที่สำหรับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองเกาดาและชื่นชมผลงานศิลปะนับหลายพันชิ้นได้เป็นอย่างดี ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงคอลเล็กชันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น แบบจำลองเมืองแบบอินเทอร์แอคทีฟขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงผังเมืองรอบด้านและการใช้ชีวิตของผู้คนในอดีตย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1562 ภาพวาดกลุ่มทหารอาสาสมัครจากศตวรรษที่ 17 ไปจนถึงภาพวาดจิตกรชาวฝรั่งเศสและดัตช์จากศตวรรษที่ 19 (ของโรงเรียนเฮก) รวมไปเครื่องปั้นดินเผาเกาดาที่มีชื่อเสียง หรือที่รู้จักกันในชื่อ Gouds plateel และนิทรรศการศิลปะสมัยใหม่ เช่น เครื่องเงิน และวัตถุอื่น ๆ



แบบจำลองเมืองเกาดาแสดงให้เห็นผังเมืองรอบด้าน ใจกลางเมืองเป็นที่ตั้งของศาลากลางอันงดงาม (Gouda’s 15th Century Town Hall) และโบสถ์ที่ยาวที่สุดในเนเธอร์แลนด์ (Sint-Janskerk) ที่นั่นยังมีชื่อเสียงเกี่ยวกับกระจกสีประดับลวดลายอันงดงาม ด้านหน้าศาลากลางเมืองมีโรงชั่งน้ำหนัก ปัจจุบันคือพิพิธภัณฑ์ชีส (Goudse Waag) เป็นสถานที่สำหรับชั่งน้ำหนักชีสและแหล่งรายได้สำคัญของเมือง รอบด้านเมืองเกาดามีแม่น้ำโอบล้อม ติดกับแม่น้ำ Hollandsche Ijssel เป็นที่ตั้งของท่าเรือซึ่งอยู่ติดกับปราสาทเกาดา ในอดีตใช้เป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจจากเมืองฮาร์เลมและอัมสเตอร์ดัมไปยังเมืองดอร์เดรชต์และเมืองแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม เส้นทางดังกล่าวมีความรวดเร็วและสะดวกในการขนส่งสินค้าทางเรือ

ด้านหน้าแบบจำลองเมืองยังสามารถมองเห็นปราสาทเกาดาที่ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำ Hollandsche Ijssel เป็นศูนย์กลางอำนาจในยุคกลางตอนปลาย เมื่อมองจาก IJssel ปราสาทตั้งอยู่ทางด้านขวาของประตูระบายน้ำ Havensluis ในปัจจุบัน โดยมีกำแพงด้านใต้เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองเกือบจะอยู่ในแม่น้ำ ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงปราสาทมีรูปร่างอย่างไร เนื่องจากปราสาทที่เคยมีอยู่ในอดีตจนถึงปี ค.ศ. 1577 ถูกรื้อถอนในปีเดียวกัน ภาพแผนที่เมืองในปี 1581 ค.ศ. มีภาพปราสาทปรากฏอยู่ แต่นั่นก็เป็นเวลาสี่ปีหลังจากปราสาทถูกรื้อถอน ผู้ทำแผนที่อาจใช้ภาพวาดที่สร้างขึ้นก่อนการรื้อถอน
ขณะที่ภาพวาดปราสาทเมืองเกาดาของเพียร์สัน อาจมาจากส่วนหนึ่งโดยใช้จินตนาการของเขาไปยังแผนที่ปี 1581 ปัจจุบันฐานของปราสาทเดิมตอนนี้มีโรงสี Volmolen (ใกล้กับกังหันลม Molen ’t Slot ที่เราจะพาไปชมตอนท้ายบทความ) ตั้งอยู่ในบริเวณสวนสาธารณะที่เคยเป็นสวนหลังบ้านของนายกเทศมนตรี AA van Bergen Ijzendoorn หลังจากที่เขาเสียชีวิตเขาก็เขาก็ยกมรดกให้เป็นของเมืองเกาดา

ด้านบนคือภาพวาดศาลากลางเมืองเกาดาในอดีตโดยศิลปินจากกรุงเฮกนามว่า Johannes Bosboom สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของศาลากลางประมาณปี พ.ศ. 2423 เป็นหนึ่งในอาคารที่โดดเด่นที่สุดในเมืองเกาดา จากการสันนิษฐานคาดว่าBosboom น่าจะร่างรูปภาพสองสามจุดในบริเวณดังกล่าวก่อนที่จะนำมาใช้สำหรับวาดภาพนี้ในภายหลัง หากสังเกตจากภาพวาดแล้วจะเห็นตัวเมืองในสมัยศตวรรษที่ 17 และการแต่งกายของผู้คนในสมัยนั้น Bosboom ยังวางบ้านสองหลังไว้ด้านหลังศาลากลาง ซึ่งบ้านดังกล่าวไม่มีอยู่จริง


เดินมาอีกหนึ่งด้านของพิพิธภัณฑ์เกาดาเราจะพบกับห้องโถงของสมาคมศัลยแพทย์เกาดา เป็นหนึ่งในสองห้องที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในตำแหน่งเดิม ในศตวรรษ 18 สมาคมศัลยแพทย์เกาดาจะพบกันในห้องนี้ทุกสัปดาห์ ศัลยแพทย์เป็นผู้รักษาของเมือง พวกเขารักษาบาดแผล โดยเฉพาะการเจาะเลือดเป็นหนึ่งในกระบวนการทางการแพทย์ที่พบบ่อยที่สุด ศัลยแพทย์ในสมัยนั้นถือเป็นช่างฝีมือธรรมดาต่างจากศัลยแพทย์ในปัจจุบัน พวกเขายังทำงานเป็นช่างตัดผมพร้อมกันด้วย

ติดกับประตูทางเข้าทางซ้ายมือเราสามารถมองเห็นพรมผืนใหญ่ติดอยู่บนผนัง ผ้าผืนดังกล่าวคือผ้าที่ใช้ปูโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงกลางของสมาคมศัลยแพทย์เกาดา ชายสองคนที่ปรากฏในภาพคือแพทย์ Galenus และ Hippocrates ขั้นกลางด้วยตราอาร์มของสมาคมศัลยแพทย์เกาดา ดาวห้าแฉกเป็นสัญลักษณ์ของสุขภาพร่างกายและจิตใจ
ติดกับห้องโถงสมาคมศัลยแพทย์เกาดายังมีห้องการจัดแสดงผลงานชั่วคราวที่ยืมมาจากมูลนิธิ Bredius Family Archive Foundation เป็นภาพเหมือนของสมาชิกในครอบครัวสวาเนนเบิร์กตระกูลผู้มั่งคั่งจากเมืองเกาดา ภาพวาดดังกล่าววาดโดยปิแอร์ เฟรเดริก เดอ ลาครัวซ์ จิตรกรภาพเหมือนของชนชั้นสูงชาวฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ในกรุงเฮก ในปี ค.ศ. 1742 ทางด้านซ้ายคือภาพเหมือนของบิดาตระกูล Reinier Swanenburg และทางด้านขวาเราจะเห็นรูปเหมือนของลีโอนาร์ด ลูกชายคนสุดท้องของเขา พร้อมด้วยมาเรีย ภรรยาคนที่สองของเขา

เมืองเกาดานอกจากจะมีชื่อเสียงเกี่ยวกับชีสแล้วยังมีชื่อเสียงเกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผา Gouds plateel เรื่องราวเหล่านี้จัดแสดงให้เราได้รับชมความงดงามในพิพิธภัณฑ์เกาดาเช่นกัน

แต่เดิมโรงงานเครื่องปั้นดินเผาเกาดาส่วนใหญ่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตท่อยาสูบดินเผา แต่เนื่องจากความต้องการท่อยาสูบดินเกาดาเป็นที่ลดลง โรงงานจึงเริ่มให้ความสำคัญกับเครื่องปั้นดินเผาเพื่อการตกแต่งแทน โรงงานเครื่องปั้นดินเผาเรจิน่าก็เช่นกัน (Kunstaardewerkfabriek Regina) ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1898 และสามารถผลิตเครื่องปั้นดินเผาศิลปะในปี ค.ศ. 1917 เนื่องจากสามารถซื้อแม่พิมพ์เครื่องปั้นดินเผาจำนวนหนึ่งจากโรงงานโรเซนเบิร์กที่ล้มละลายในกรุงเฮก ซึ่งทำเครื่องปั้นดินเผาคุณภาพสูงในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1883-1917
ในตอนแรกโรงงานเรจิน่าผลิตเครื่องปั้นดินเผาเคลือบมัน แต่ไม่นานก็เห็นได้ชัดว่าประชาชนทั่วไปชอบจานเคลือบด้านแบบใหม่ โรงงานจึงตัดสินใจผลิตเครื่องปั้นดินเผาเคลือบด้านออกมาขายและได้รับความนิยมมาก ๆ สามารถผลิตให้กับร้านค้าปลีกปลีกต่างประเทศรายใหญ่ รวมทั้งในอังกฤษ ( ลิเบอร์ตี้แห่งลอนดอน ) และในแคนาดา (Ryrie Birks) ก่อนจะพัฒนามาเป็นลวดลายดอกไม้ต่อยอดความสำเร็จจากลวดลายแบบเก่า ไปจนถึงการออกแบบที่ทันสมัยในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1950 – 1970
ในปี ค.ศ. 1898 Plateelbakkerij Zuid-Holland (PZH) เป็นโรงงานแห่งแรกที่ผลิตเครื่องปั้นดินเผาเกาดา (คู่แข่งสำคัญของโรงงานเครื่องปั้นดินเผาเรจิน่า) ภายในเวลาไม่กี่ปีพวกเขากลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องปั้นดินเผาตกแต่งที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง แจกันขนาดใหญ่สองใบบนชั้นวางที่เราเห็นในภาพคือรุ่นที่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับประดับหน้าต่างของบริษัท Hoyng’s ใครที่สนใจเกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผา PZH เหล่านี้สามารถหาซื้อได้ในร้านค้าสุดหรูที่ขายของใช้ในครัวเรือน

ในช่วงสองสามปีแรกเครื่องปั้นดินเผาที่ผลิตโดยโรงงาน Plateebakkeri Zuid-Holland ถูกเคลือบด้วยความมันวาว การออกแบบถูกทาสีลงบนดินเผาโดยตรง จากนั้นจึงใช้เลเยอร์ที่ชัดเจนยิงในเตาเผา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 เป็นต้นมา PZH ได้พัฒนาการเคลือบด้านที่เรียกว่า so-calied การออกแบบตกแต่งถูกนำไปใช้โดยตรงบนชั้นเคลือบแล้ววางในเตาเผา การเคลือบด้านได้รับความนิยมอย่างมากจากสาธารณชน และนั้นทำให้เครื่องปั้นดินเผาที่ผลิตโดย Plateelbakker Zuid-Holland กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

นอกจากการตกแต่งที่มีสีสันดอกไม้และพืชแล้ว Plateelbakkerij Zuid-Holland ยังผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่มีภูมิทัศน์แบบดัตช์ทั่วไป เช่น เรือใบในทะเลสาบ กังหันลมหมุนในแอ่งน้ำ และยอดโบสถ์บนขอบฟ้า ซึ่งนักตกแต่งเครื่องปั้นดินเผามักใช้ผลงานภาพวาดของโรงเรียนเฮกสมัยศตวรรษที่สิบเก้า


อุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผาเกาดานับว่ามีความรุ่งเรืองมากในอดีต พิพิธภัณฑ์เกาดาไม่เพียงแต่รวบรวมเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงบางส่วนจากโรงงานผู้ผลิตต่าง ๆ แต่ยังมีห้องจัดเก็บเครื่องปั้นดินเผาประดับตกแต่งมากกว่า 5,000 ชิ้น ที่เต็มไปด้วยแจกันสำหรับตกแต่ง เครื่องถ้วยชาม โคมไฟ รูปแกะสลักและโต๊ะวางกระเบื้อง มีการซื้อวัตถุเหล่านี้มาหลายปีแล้ว โดยได้มาจากโรงงานที่ถูกบังคับปิดหรือบริจาคโดยนักสะสม หากอยากสัมผัสความงดงามของเครื่องปั้นดินเผาเหล่านี้สามารถแวะไปชมกันได้ที่พิพิธภัณฑ์เกาดาแห่งนี้

นอกจากนิทรรศการถาวรแล้ว พิพิธภัณฑ์เกาดายังมีการจัดแสดงนิทรรศการชั่วคราวเกี่ยวกับน้ำในชื่อ Cool Waters (Koele Wateren) ซึ่งเป็นการนำภาพวาดจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกรุงอัมสเตอร์ดัม (Rijksmuseum) มาจัดแสดงทั้งในแง่ของน้ำเป็นทั้งมิตรและศัตรู นิทรรศการยังเชื่อมโยงกับอนาคตอีกด้วย จะเกิดอะไรขึ้นหากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 6 เมตร และเนเธอร์แลนด์จะเป็นอย่างไรในอีก 200 ปีข้างหน้า? ร่วมค้นหาคำตอบเหล่านี้ได้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้

การเข้าชมพิพิธภัณฑ์เกาดาใช้เวลาเดินประมาณ 1-2 ชั่วโมง เรื่องราวความน่าสนใจทางประวัติศาสตร์และงานศิลปะที่รวบรวมไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ สามารถแวะไปชมด้วยตัวเองได้ทุกวันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 11:00-17:00 น. ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ยังมีร้านขายของที่ระลึกขนาดเล็ก รวมไปถึงที่นั่งด้านนอกสำหรับนั่งทานเครื่องดื่มหรือทานอาหารพร้อมบรรยากาศที่รื่นรมย์อีกด้วย

ข้อมูลเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Museum Gouda
- ที่อยู่: Achter de Kerk 14, 2801 JX Gouda
- เวลาเปิดทำการ: วันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 11:00-17:00 น.
- ราคาตั๋วเข้าชม 14.50 ยูโร หรือใช้บัตร Museumkaart เข้าชมฟรี
- จองตั๋วออนไลน์ก่อนเข้าชมได้ที่: Gouda Museum Ticket
การเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ Museum Gouda
- นั่งรถไฟจากสถานี Amsterdam Centraal ไปยังสถานี Gouda Station จากนั้นเดินต่ออีก 10 นาทีไปยังพิพิธภัณฑ์ Museum Gouda ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าเดินทางทั้งหมดประมาณ 12.40 ยูโร (สำหรับการเดินทางเที่ยวเดียว) ทางเข้าพิพิธภัณฑ์อยู่ที่ Achter de Kerk 14 (ด้านข้างโบสถ์ Sint-Janskerk)
โบสถ์ที่ยาวที่สุดในเนเธอร์แลนด์ (Sint-Janskerk) เกาดา (Gouda)
ใกล้กับพิพิธภัณฑ์เกาดาด้านหน้าจัตุรัสกลางเมืองยังเป็นที่ตั้งของโบสถ์ Sint-Janskerk ที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่บอกเล่าเรื่องราวทางศาสนาในหลายแง่มุม แต่การตกแต่งโบสถ์ด้านในยังมีชื่อเสียงเกี่ยวกับหน้าต่างกระจกสี (Gouda Glass) ประดับลวดลายต่าง ๆ ที่มีความงดงาม ตัวโบสถ์มีความยาวมากถึง 123 เมตร และนั่นเรียกได้ว่าเป็นโบสถ์ที่ยาวที่สุดในเนเธอร์แลนด์เลยทีเดียว การเข้าชมโบสถ์แนะนำให้จองช่วงเวลาที่ต้องการเข้าชมออนไลน์ก่อน จากนั้นค่อยมาซื้อตั๋วเข้าชมที่พิพิธภัณฑ์ (รายละเอียดการซื้อตั๋วอยู่ตอนท้ายหัวข้อนี้)



ตามประวัติ Sint-Janskerk ถูกการกล่าวถึงครั้งแรกสามารถพบได้ในเอกสารตั้งแต่ปี 1280 แต่ตัวโบสถ์ปัจจุบันถูกสร้างขึ้นหลังจากเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1552 โบสถ์แห่งนี้ได้รับการตั้งชื่อตาม John the Baptist นักบุญอุปถัมภ์ของ Gouda ภายในประดับด้วยหน้าต่างกระจกสีเกาดาจากยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ส่วนใหญ่ทำขึ้นในศตวรรษที่ 16 รายละเอียดส่วนใหญ่พรรณนาเหตุการณ์ในพระคัมภีร์และประวัติศาสตร์ในรูปแบบการ์ตูนที่มีสีสัน

เนื่องจากการทำกระจกสีประดับหน้าต่างค่อนข้างแพง พระภิกษุสงฆ์และขุนนางถูกเชิญเป็นสปอนเซอร์หน้าต่าง ในทางกลับกันภาพของพวกเขาถูกวาดไว้อย่างเด่นชัดในหน้าต่าง ทั้งยังมีภาพของสัตว์ชนิดต่าง ๆ ที่แฝงความหมายไว้ เช่น สุนัข สัญลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์

การเข้าชมโบสถ์ Sint-Janskerk ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ออดิโอเสียงสำหรับฟังคำบรรยายรายละเอียดจุดต่าง ๆ มีความยาวจุดละประมาณ 2-3 นาที นอกจากฟังรายละเอียดเหล่านั้นแล้วก็ยังสามารถเดินชมความงดงามของโบสถ์แห่งนี้ไปด้วยพร้อม ๆ กัน
ข้อมูลเข้าชมโบสถ์ Sint-Janskerk
- ที่อยู่: Achter de Kerk 2, 2801 JW Gouda
- เวลาเปิดทำการ: วันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 09:00-17:00 น.
- ราคาตั๋วเข้าชม 9.50 ยูโร จองช่วงเวลาก่อนเข้าชมได้ที่: Sint-Janskerk Ticket
ศาลากลางเกาดา (Gouda’s 15th Century Town Hall) เกาดา (Gouda)
บริเวณจัตุรัสกลางเมืองเป็นที่ตั้งของศาลากลางเกาดา ตัวอาคารออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมกอทิก ตามประวัติในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1438 เกิดความหายนะไฟไหม้ทำให้เมืองเกาดาแทบกลายเป็นเถ้าถ่าน ศาลากลางจังหวัดประสบภัยหนักได้รับความเสียหาย สภาเทศบาลจึงเมืองมีมติให้สร้างใหม่และควรเป็นอิสระ และนั่นทำให้ศาลากลางหลังใหม่ถูกสร้างขึ้นบนตลาดกลางของเมือง หากมองไปยังพิพิธภัณฑ์ชีส (Goudse Waag) จะพบว่าเส้นในการสร้างอยู่ตรงกันพอดีกับศาลากลางทั้งด้านซ้ายและด้านขวา

ประเพณีการจุดเทียนและร้องเพลงคริสต์มาสเก่าแก่ (Candle Night) เกาดา (Gouda)
ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่เมืองเกาดายังมีประเพณีการจุดเทียนและร้องเพลงคริสต์มาสเก่าแก่ที่สืบทอดกันมายาวนานหลายทศวรรษ จัดขึ้นบริเวณศาลากลางแห่งนี้ เทียน 1,500 ถูกจุดขึ้นและส่องสว่างไปทั่วหน้าต่างของศาลากลาง และอีกหลายพันดวงทำให้หน้าต่างของอาคารในใจกางเมืองเกาดาสว่างไสว ภายในกิจกรรมยังมีการกล่าวสุนทรพจน์จากนายกเทศมนตรีและจุดไฟต้นคริสต์มาสขนาดยักษ์ ใครที่เดินทางมาเที่ยวเมือเกาดาในช่วงวันและเวลาดังกล่าวก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมนี้ได้ รายละเอียดเพิ่มเติม: Goudabijkaarslicht

พิพิธภัณฑ์ชีส (Goudse Waag) เกาดา (Gouda)
มาถึงเมืองแห่งชีสทั้งทีต้องไม่พลาดที่จะมาเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของชีสที่มีชื่อเสียงระดับโลกของที่นี่ Goudse Waag เป็นพิพิธภัณฑ์ชีสที่ตั้งอยู่ในโรงชั่งน้ำหนักชีสในอดีต ที่แห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานบริการข้อมูลนักท่องเที่ยวเมืองเกาดาอีกด้วย (VVV Gouda) พิพิธภัณฑ์ชีสมีตั๋วเข้าชมพร้อมไกด์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวของชีสและประวัติของเมืองได้อย่างน่าสนใจ หากมีเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงลองแวะไปเข้าร่วมทัวร์นี้ได้นะคะ

Goudse Waag เป็นอาคารเก่าแก่ที่มีอายุตั้งแต่ปี 1668 ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก Pieter Post ชั้นล่างเคยใช้เป็นโรงชั่งน้ำหนักชีส เนื่องจากในอดีตเกษตรกรในท้องถิ่นบรรทุกเกวียนด้วยชีสของพวกเขาไปขายที่ตลาดชีส ก่อนที่จะขายได้ต้องมีการชั่งน้ำหนักก่อนและตรวจสอบความถูกต้อง การชั่งน้ำหนักไม่ได้ชั่งแบบฟรีแต่ต้องจ่ายเงินในการชั่งน้ำหนัก Goudse Waag จึงเป็นแหล่งรายได้สำคัญของเมืองในช่วงเวลานั้น

ชั้นแรกของพิพิธภัณฑ์ชีสถูกดัดแปลงเป็นร้านขายชีสรวมไปถึงร้านขายของที่ระลึกต่าง ๆ ใครที่สนใจชิมชีสก็สามารถสอบถามพนักงานได้จากชั้นนี้ หรือแม้แต่ซื้อของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม


สำหรับใครที่จองตั๋วเข้าชมพร้อมไกด์นำทัวร์ไว้เมื่อถึงเวลาก็จะมีไกด์มาบรรยายให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมาของชีสเกาดา รวมไปถึงประวัติความเป็นมาของเมืองเกาดาด้วย คุณลุงไกด์ยังพาเดินออกไปด้านนอกหน้าอาคาร Goudse Waag พร้อมบรรยายประวัติความเป็นมาให้ฟังอย่างละเอียดเลย ก่อนที่จะเดินเข้ามายังด้านในและเดินขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อฟังรายละเอียดในส่วนต่าง ๆ ต่อ มีการเปิดวิดีโอเกี่ยวกับบรรยากาศการซื้อขายชีสที่ตลาดชีสที่มีเกษตรกรมากมายบรรทุกชีสมาชั่งน้ำหนักที่นี่ การผลิตท่อยาสูบดินเผา รวมไปถึงภาพบรรยากาศเมืองเกาดาในอดีต

หลายคนอาจจะสังเกตเห็นตราหินที่ติดอยู่ด้านหน้าอาคาร Goudse Waag ส่วนนั้นเป็นส่วนที่ทำให้ขึ้นใหม่และถูกนำมาแทนที่ตัวเก่าที่มีความเสียหายตามกาลเวลา ส่วนตัวเก่านั้นถูกเก็บไว้ด้านในอาคารบริเวณชั้นสองแห่งนี้

เดินขึ้นไปต่อยังชั้นที่สามจะเป็นสถานที่จัดแสดงประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับชีส ชนิดของโคนมที่นำมาทำชีส ขั้นตอนการทำชีสผ่านวิดีโอ เครื่องชั่งน้ำหนัก รวมไปถึงประเภทของชีสแบบต่าง ๆ ซึ่งชีสแต่ละลูกที่เราเห็นนั้นมีขนาดที่ถูกคัดเลือกมาแล้วว่ามีความเหมาะสมในการจัดเก็บ แต่ละลูกมีน้ำหนักประมาณ 12 กิโลกรัม ชีสที่มีคุณภาพดีจะต้องไม่มีรูช่องแอร์ภายใน หากมีรูสองรูไม่เป็นไรถือว่ายังมีคุณภาพที่ดี ชีสสามารถเก็บไว้ได้นานและมีชื่อเรียกตามช่วงอายุที่แตกต่างกันออกไป

ชีสไม่เพียงแต่อร่อยเท่านั้นนะคะแต่ยังมีสารอาหารที่สำคัญ เช่น ไขมัน โปรตีน แคลเซียมแร่ธาตุ (มะนาว) และวิตามิน โปรตีนเป็นสารอาหารที่สำคัญที่สุดในชีส มีปริมาณ 24 กรัมต่อชีสเกาดา 100 กรัม ซึ่งคุณค่าทางโภชนาการของโปรตีนนมในชีสเปรียบได้กับโปรตีนในเนื้อสัตว์ ชีสจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเนื้อสัตว์ ส่วนไขมันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้ชีสมีรสชาติ แคลเซียม (มะนาว) มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและบำรุงรักษากระดูกและฟัน ชีสเกาดา 100 กรัมมีแคลเซียม 785 มิลลิกรัม เกือบเป็นจำนวนรวมต่อวันที่คนทั่วไปต้องการ

สำหรับการชั่งน้ำหนักชีสจะชั่งด้วยตุ้มน้ำหนัก ‘De Waag’ ที่เป็นทางการเพื่อหลีกเลี่ยงการฉ้อโกง เกษตรกรและพ่อค้าต้องต้องชั่งน้ำหนัก และพวกเขาต้องจ่ายค่าธรรมเนียม การชั่งน้ำหนักจึงเป็นแหล่งรายได้สำคัญของเมือง ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการค้าอย่างเป็นธรรมและสร้างความน่าเชื่อถือของเกาดาในฐานะศูนย์กลางทางการค้า

ในภาพแสดงรายละเอียดกระบวนการทำให้ชีสสุก หลังจากบ่มชีสแล้วชีสจะสุก เกลือจะถูกดูดซึมเข้าสู่ชีสในขณะที่มันสุก ความชื้นบางส่วนจะค่อย ๆ ระเหยไป และมีการทำความสะอาดชีสสัปดาห์ละครั้ง ใช้เวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ในการสุก สีของชีสจะเปลี่ยนไปด้วยจากสีเหลืองอ่อนเป็นสีน้ำตาลอ่อน รสชาติของชีสอ่อนจะเบาและเป็นครีมมี่ ส่วนชีสเก่ามีรสชาติที่เข้มข้นตามช่วงอายุ เช่น ชีสเด็ก (อายุ 4 สัปดาห์) ชีสเด็กเต็มที่ (อายุ 10 สัปดาห์) ชีสผู้ใหญ่ (อายุ 4 เดือน) ชีสผู้ใหญ่เต็มที่ (อายุ 7 เดือน) ชีสแก่ (อายุ 10 เดือน) และชีสแก่มาก ๆ (อายุ 1 ปีหรือมากกว่า)

ข้อมูลเข้าชมพิพิธภัณฑ์ชีส (Goudse Waag)
- ที่อยู่: Markt 35, 2801 JK Gouda
- เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน เวลา 10:00-17:00 น.
- ราคาตั๋วเข้าชม 7.50 ยูโร จองช่วงเวลาก่อนเข้าชมได้ที่: Goudse Waag Ticket
ตลาดชีสเกาดา (Gouda Cheese Market)
นอกจากนี้ด้านหน้าอาคาร Goudse Waag บริเวณ Markt Square ในทุกวันพฤหัสบดี ระหว่างเวลา 10:00-12:30 น. ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน ถึง 28 สิงหาคม ยังเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าชีสจำนวนมากที่นำชีสมาวางขายที่ตลาดชีส เกษตรกรและผู้ค้าจะเจรจาข้อตกลงและมีการซื้อขายชีสจำนวนมาก ทั้งยังมีการจัดแสดงวงล้อชีสสีสันจัดจ้านผสมผสานกับกลิ่นของชีส รายล้อมไปด้วยตลาดรายสัปดาห์และแผงขายของงานฝีมือจำนวนมาก ใครที่เดินทางไปเที่ยวเมืองเกาดาในวันเวลาดังกล่าวอย่าลืมแวะไปชมภาพบรรยายกาศความสนุกสนานของตลาดชีสกันได้ ที่สำคัญยังมีโอกาสได้ชิมชีสฟรีด้วยนะคะ


โรงงานวาฟเฟิลน้ำเชื่อม (Kamphuisen syrup waffle factory) เกาดา (Gouda)
นอกจากเรื่องชีสที่มีชื่อเสียงของเมืองเกาดาแล้วที่นี่เขายังเป็นต้นกำเนิดของวาฟเฟิลน้ำเชื่อมชื่อดังอีกด้วย Kamphuisen syrup waffle factory เป็นโรงงานผลิตวาฟเฟิลน้ำเชื่อม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2353 ตั้งอยู่ที่ Markt 69 ด้านหน้าศาลากลางเกาดา สังเกตง่าย ๆ คือมีรถเข็นขายวาฟเฟิลตั้งอยู่ด้านหน้าร้าน ที่แห่งนี้นอกจากจะพาเราไปเรียนรู้เกี่ยวประวัติความเป็นมาของขนมวาฟเฟิลน้ำเชื่อมแล้ว เขายังพาไปชมโรงงานผลิตวาฟเฟิลน้ำเชื่อมของจริงที่ซ่อนอยู่ด้านในด้วย และท้ายสุดเราจะได้ลิ้มรสชาติความอร่อยของเจ้าวาฟเฟิลน้ำเชื่อมนี้แบบสดใหม่จากเครื่องผลิตเลยทีเดียว

การเข้าชมโรงงานวาฟเฟิลน้ำเชื่อมแรกเริ่มเราจะได้ชมประวัติความเป็นมาของ Kamphuisen ผ่านวิดีโอความยาวประมาณ 20 นาที จากนั้นเราจะได้เข้าชมโรงงานขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง โรงงานนี้สามารถผลิตขนมวาฟเฟิลน้ำเชื่อมได้มากถึง 10,000 ชิ้นต่อวันเลยทีเดียว
วิธีการผลิตวาฟเฟิลใช้เพียงพนักงานในส่วนของการนำส่วนผสมที่มิกซ์เข้ากันดีแล้วไปใส่ในเครื่องสำหรับหยอดลงบนแม่พิมพ์ จากนั้นแม่พิมพ์จะบดวาฟเฟิลให้กลายเป็นแผ่นบางและใหลไปตามสายพาน เครื่องหยอดน้ำเชื่อมจะหยอดน้ำเชื่อมลงบนวาฟเฟิลจากนั้นจะประกบวาฟเฟิลสองแผ่นให้ติดกันโดยมีน้ำเชื่อมอยู่ด้านใน จากนั้นจะไปใหลไปตามสายพานเพื่อนำเข้าเครื่องทำให้น้ำเชื่อมเย็นลง ขั้นตอนสุดท้ายจะมีเลเซอร์ตรวจจับขนมวาฟเฟิลน้ำเชื่อมเพื่อวัดคุณภาพและขนาดที่เหมาะสม ถ้าชิ้นไหนขนาดไม่ได้ตามที่ต้องการก็จะถูกนำออกไปทำอย่างอื่น ส่วนที่ได้คุณภาพก็จะถูกบรรจุลงในกล่องเตรียมจัดจำหน่ายต่อไป ขนมวาฟเฟิลน้ำเชื่อมที่นี่ไม่ได้จัดจำหน่ายแค่ในเนเธอร์แลนด์เท่านั้นนะคะแต่ยังส่งออกไปทั่วโลกเลย ใครที่สนใจก็สามารถเข้าไปเยี่ยมชมที่เว็บไซต์กันได้
ในตอนท้ายของการทัวร์โรงงานเราจะได้ลิ้มรสขนมวาฟเฟิลน้ำเชื่อมสดใหม่จากเครื่องผลิตเลยทีเดียว รสชาติหอมหวานอร่อย แถมยังได้ซื้อขนมขนมวาฟเฟิลน้ำเชื่อมกลับไปฝากคนที่บ้านด้วย ราคาห่อละ 3.85 ยูโร
ข้อมูลเข้าชมโรงงานวาฟเฟิลน้ำเชื่อม (Kamphuisen syrup waffle factory)
- ที่อยู่: Markt 69, 2801 JM Gouda
- เวลาเปิดทำการ: วันอังคาร – วันเสาร์ เวลา 10:00-18:00 น.
- ราคาตั๋วเข้าชม 9.95 ยูโร
- จองช่วงเวลาก่อนเข้าชมได้ที่: Kamphuisen syrup waffle factory Ticket
บ้านสไตล์โกธิกตอนปลาย (De Vier Gekroonden) เกาดา (Gouda)
ทางด้านหลังโรงงานวาฟเฟิลน้ำเชื่อมเราจะพบกับบ้านแห่งหนึ่งมีสีสันสะดุดตา ที่แห่งนี้คือ De Vier Gekroonden เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติที่อยู่ในรายชื่อ 100 อันดับแรกของสำนักงานมรดกวัฒนธรรมแห่งชาติ หากมีเหตุภัยพิบัติอันใดสถานที่แห่งนี้จะได้รับการคุ้มครองเป็นอันดับแรก ๆ De Vier Gekroonden สร้างด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์กอทิกตอนปลาย ในปี 1527 เป็นบ้านหินที่เก่าแก่ที่สุดหลังหนึ่งทางตะวันตกของเนเธอร์แลนด์ บ้านได้รับการปรับปรุงหลายครั้งอย่างไรก็ตามส่วนตรงกลางของซุ้มนั้นได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุด

อาคารสไตล์กอทิกจากศตวรรษที่ 15 (Agnietenkapel) เกาดา (Gouda)
Agnietenkapel เป็นอาคารส่วนที่เหลือของอารามสตรีเก่า Agnietenconvent ตั้งอยู่บนตลาดใหม่ (Nieuwe Markt) ใกล้กับพิพิธภัณฑ์ชีส สามารถเดินมาถ่ายภาพได้ง่าย ที่แห่งนี้ก่อสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับ Saint Agnes ปัจจุบัน Agnietenkapel ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นโบสถ์แล้ว แต่ใช้สำหรับการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่าง ๆ เช่น นิทรรศการและงานเลี้ยงรับรอง

กังหันลมบนพื้นที่ปราสาทเกาดาในอดีต Molen’t Slot (Mill on the Castle)
ตามที่กล่าวไปตอนต้นบทความว่าฐานของปราสาทเกาดาในอดีตมีอาคาร De Volmolen ปัจจุบันตั้งอยู่ ใกล้กับอาคารนี้คือกังหันลม Molen’t Slot ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ปราสาทด้วยเช่นกัน เป็นโรงโม่แป้งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2375 เพื่อแทนที่โรงสีหอแปดเหลี่ยมก่อนหน้านี้ที่ถูกทำลายด้วยไฟในปี พ.ศ. 2374 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 เทศบาลเมืองเกาดาได้กลายมาเป็นเจ้าของโรงสี Molen’t Slot ภายในมีหินเจียรสองคู่ที่ขับเคลื่อนด้วยลมและคู่ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า

ลำคลองเกาดา (Canals Of Gouda)
นอกจากสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของเมืองเกาดาแล้ว ลำคลองเกาดายังมีความน่าสนใจและสามารถเดินชมทัศนียภาพของอาคารบ้านเรือนโดยรอบได้อีกด้วย หรือสำหรับใครที่อยากจะนั่งเรือทัวร์ชมเมืองจากแม่น้ำก็สามารถทำได้เช่นกัน ราคา 15 ยูโร (สำหรับรอบเดียว) ใช้เวลาประมาณ 1.5 ชั่วโมง รายละเอียดเพิ่มเติม: Reederijdeijsel




เดย์ทริปเมืองอูเทร็คท์
สำหรับใครที่ท่องเที่ยวในเมืองเกาดาแล้วมีเวลาเหลือสามารถนั่งรถไฟไปเที่ยวต่อที่เมืองอูเทร็คท์ได้ ห่างจากเมืองเกาดาเพียง 20 นาที ค่าตั๋วเดินทางประมาณ 7 ยูโร (สำหรับการเดินทางเที่ยวเดียว) เมืองอูเทร็คท์มีหอคอย Dom Tower ที่สูงที่สุดในประเทศเนเธอร์แลนด์ มหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สร้างขึ้นรอบ ๆ หอคอยโดม พิพิธภัณฑ์ Centraal Museum บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมือง รวมถึงท่าเทียบเรือและห้องใต้ดินที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง สามารถดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟและอาหารบริเวณระเบียงริมลำคลอง หรือเดินเล่นแบบสบาย ๆ
อูเทร็คท์ยังเป็นบ้านเกิดของ “มิฟฟี่” (Nijntje) กระต่ายตัวเล็กเพศหญิงสีสันน่ารักสดใสมาจากหนังสือภาพวาดที่เขียนโดยศิลปินชาวดัตช์นามว่า Dick Bruna เดินเที่ยวชมเมืองเสร็จแล้วหากมีเวลาเหลือลองเดินทางไปชมปราสาท De Haar Castle ปราสาทใหญ่และหรูหราที่สุดในเนเธอร์แลนด์

เกาดา (Gouda) เนเธอร์แลนด์ เมืองที่ไม่ได้มีชื่อเสียงระดับโลกแค่ในด้านชีส ขนมวาฟเฟิลน้ำเชื่อม ท่อยาสูบและเครื่องปั้นดินเผา แต่ยังเป็นสถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เกาดา มีโบสถ์ที่ยาวที่สุดในเนเธอร์แลนด์ (Sint-Janskerk) ขึ้นชื่อเรื่องหน้าต่างกระจกสีลวดลายต่าง ใจกลางเมืองยังเป็นที่ตั้งของศาลากลางสไตล์กอทิกจากศตวรรษที่ 15 และบ้านชั่งน้ำหนัก Goudse Waag แหล่งซื้อขายชีสที่มีชื่อเสียงในอดีต สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่แสดงถึงความเป็นเกาดาและซ่อนเสน่ห์มากมายรอให้ผู้คนเดินทางมาสัมผัสเสน่ห์เหล่านั้นด้วยตัวเอง เกาดา (Gouda) ตั้งอยู่ห่างจากกรุงอัมสเตอร์ดัมประมาณ 50 นาที เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่กำลังมองหาการท่องเที่ยวแบบเดย์ทริป ที่สำคัญเดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ
คำแนะนำในการท่องเที่ยวเมืองเกาดา (Gouda)
- เมืองเกาดาเป็นเมืองที่สามารถเดินเท้าเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ได้ง่าย สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งยังอยู่ใกล้เคียงกัน การเดินเที่ยวด้วยตัวเองจึงเป็นวิธีการที่สะดวกและขอแนะนำอย่างยิ่ง สามารถดาวน์โหลด โบรชัวร์เที่ยวเมืองเกาดา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไฮไลท์สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ รวมถึงการเดินทาง และอื่น ๆ ในเมืองเกาดา หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (VVV Gouda) ตั้งอยู่ใกล้พิพิธภัณฑ์ชีส (Goudse Waag)
- ควรจองตั๋วและเวลาเข้าชมพิพิธภัณฑ์ล่วงหน้า เนื่องจากพิพิธภัณฑ์แต่ละแห่งจำกัดจำนวนผู้เข้าชมแต่ละรอบ และเพื่อความแน่ใจว่าไปถึงพิพิธภัณฑ์จะได้เข้าชมอย่างแน่นอน
- ไม่ควรพลาดที่จะเข้าชมพิพิธภัณฑ์เกาดา แหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ของเมืองและรวบรวมผลงานศิลปะหลายแขนงโดยเฉพาะเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียง โบสถ์ที่ยาวที่สุดในเนเธอร์แลนด์ (Sint-Janskerk) ชมหน้าต่างกระจกหลากสี บ้านชั่งน้ำหนัก Goudse Waag แหล่งเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของชีสเกาดา รวมไปถึงโรงงานผลิตขนมวาฟเฟิลน้ำเชื่อมซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากเกาดา
การเดินทางไปยังเมืองเกาดา (Gouda)
นั่งรถไฟจากสถานี Amsterdam Central Station ไปยังสถานี Gouda Station ใช้เวลาประมาณ 52 นาที ค่าโดยสาร 12.40 ยูโร (สำหรับการเดินทางเที่ยวเดียว) จากนั้นเดินอีกประมาณ 10 นาทีไปยังใจกลางเมืองเก่า วางแผนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเนเธอร์แลนด์