เวนิส (Venice) หรือ “เวเน็ตเซีย” เมืองท่องเที่ยวชื่อดังของอิตาลีที่ไม่เหมือนใคร และยังเป็นเจ้าของฉายา “ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก” (Queen of the Adriatic) มีลำคลองที่คดเคี้ยว สถาปัตยกรรมที่สวยงาม และยังเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมอันยาวนาน ในบทความนี้เราจะพาเดินทางผ่านเมืองด้วยสถานที่สำคัญอันเป็นสัญลักษณ์ เช่น มหาวิหารซานมาร์โคและสะพานริอัลโต ไปจนถึงอัญมณีที่ซ่อนเร้นและการล่องเรือกอนโดลา ครอบคลุมถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่สามารถนำไปปรับใช้กับแผนการเดินทางของคุณเองได้อีกด้วย
เที่ยวเวนิสช่วงไหนดี
ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเที่ยวเวนิสคือฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายน และกันยายนถึงตุลาคม สภาพอากาศอบอุ่นกำลังดี นอกจากนี้เมืองเวนิสยังประสบกับปัญหาน้ำท่วมที่เรียกว่า “Acqua Alta” ที่มักจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวช่วงเดือนตุลาคมถึงมกราคม ใครที่วางแผนมาเที่ยวเวนิสระหว่างช่วงเดือนนี้ควรระมัดระวังเรื่องน้ำท่วม โดยสามารถใช้แอป hi!tide Venice สำหรับตรวจสอบกระแสน้ำขึ้นลงในเวนิสอย่างเป็นทางการ
เที่ยวเวนิสกี่วันดี
เวนิสเป็นเมืองที่ต้องมาเดินเที่ยวและสัมผัสความสวยงามด้วยตัวเอง เวลาที่เหมาะสำหรับการเที่ยวเวนิสคือสัก 2-3 วันกำลังดี วันแรกเดินด้านนอก วันที่สองชมด้านใน วันที่สามแวะไปเกาะอื่นกำลังพอดี แต่ถ้ามีเวลาจำกัดเพียงหนึ่งวันก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยเริ่มจากสถานที่เที่ยวสำคัญรอบ ๆ จัตุรัสซานมาร์โค เช่น มหาวิหารซานมาร์โค ต่อด้วยพระราชวังดอจ และพิพิธภัณฑ์ศิลปะกอร์แรร์ ในตอนท้ายยังมีเวลาเหลือสำหรับเดินลัดเลาะตามลำคลองอีก ซึ่งเราจะมาขยายรายรายละเอียดกันในบทความนี้ อย่าลืมแวะไปอ่าน → เรื่องน่ารู้ก่อนมาเที่ยวเวนิส เพื่อความครบถ้วนสมบูรณ์
ทริปเที่ยวเวนิสเป็นส่วนหนึ่งของการขับรถเที่ยวในยุโรป 2 อาทิตย์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี สโลวีเนีย ฮังการี สโลวาเกีย และสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งเราได้แชร์ประสบการณ์และรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการเที่ยวในประเทศเหล่านี้ไว้อย่างละเอียด ใครที่สนใจสามารถแวะไปอ่านเพิ่มเติมได้ตามลิงก์แนบ
วางแผนเที่ยวเวนิส (Venice) อีตาลี 1 วัน
จุดเริ่มต้นการเดินเที่ยวในเวนิสในครั้งนี้จะเริ่มจาก Piazzale Roma ซึ่งเป็นจุดจอดรถรางสาย T1 ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟของเมืองเวนิสเลย เรานั่งรถรางจากที่พักย่านเมสเตร (Mestre) เข้ามาในเมือง พอมาถึงแล้วก็อาหารเช้าทานที่ร้านค้าเล็ก ๆ ใกล้กับจุดจอดรถรางนี้แหละสะดวกดี พออิ่มท้องแล้วก็เริ่มต้นออกเดินเที่ยวกัน
และแน่นอนว่าทริปนี้เราเลือกที่จะเดินมากกว่านั่งเรือโดยสารเข้าไปยังที่เที่ยวใจกลางเมือง ใครที่ไม่สะดวกเดินสามารถใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะของเวนิสได้ ราคาตั๋วเทียวเดียว 9.50 ยูโร ใช้เดินทางได้ 75 นาที แต่ถ้าวางแผนที่จะใช้ระบบขนส่งสาธารณะทั้งวันแนะนำให้ซื้อบัตรโดยสารรายวันไปเลย ราคา 25 ยูโร
จากจุดจอดรถรางสาย T1 เดินผ่านสะพาน Ponte di Papadopoli ลัดเลาะไปตามเส้นทางเดินเท้าขนาดเล็ก สองริมฝั่งถนนรายล้อมด้วยบ้านเรือนสีพาสเทลสลับกับลำคลองสายเล็กที่ทอดไปตามซอยซอยต่าง ๆ เดินมาไม่ถึง 15 ก็ไปโผล่บนสะพานที่ชื่อว่า Ponte Bernardo ตรงนี้มีมุมถ่ายรูปสวยมองเห็นหอคอยของโบสถ์ Basilica S.Maria Gloriosa dei Frari จากนั้นก็เดินต่อ ซึ่งในทุกซอกซอยมีอะไรให้ตื่นเต้นตลอดเลย และที่ชอบมาก ๆ คือ บ้านเรือนของเขามีสีสันที่สวยงามมาก
เที่ยวเวนิส 1 วัน: สะพานริอัลโต (Rialto Bridge)
เดินต่อไม่ทันได้เหนื่อยเลยในที่สุดก็มาถึงที่เที่ยวยอดนิยมในเวนิสแห่งแรกนั้นก็คือสะพานริอัลโต (ภาษาอิตาลี: Ponte di Rialto) มีบรรยากาศที่สวยงามและก็คึกคักมากเช่นกันด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต่างก็พร้อมใจมาเยี่ยมชมที่นี่
ในเวนิสมีสะพานคนเดินข้ามข้ามคลองใหญ่ (แกรนด์คาแนล) อยู่ด้วยกันสี่สะพาน ซึ่งริอัลโตเป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดแบ่งเขตของซานมาร์โคและซานโปโล ตัวสะพานออกแบบให้มีความโค้งทำให้เรือสามารถลอดใต้สะพานไปได้ ถ้าเราขึ้นไปยืนบนสะพานจะได้ภาพบรรยากาศที่สวยงามของคลองใหญ่ วิวบนยอดสะพานนี้เรียกได้มักพบมากที่สุดเมื่อค้นคำว่าเที่ยวเวนิสเลยทีเดียว
บรรยากาศในลำคลองก็จะพลุ่กพล่ากไปด้วยเรือโดยสาร (Vaporetti) และเรือกอนโดล่า (Gondola) ทางเดินขึ้นและลงบันไดทั้งสองด้านค่อนข้างแออัด แต่ก็คุ้มค่าที่จะยืนรอสักครู่เพื่อถ่ายภาพทิวทัศน์ที่สวยงามของลำคลอง
พื้นที่รอบ ๆ สะพานริอัลโตนอกจากจะเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของเมืองแล้วยังเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการเงินของเมืองที่กำลังเติบโต โดยรวมอสังอสังหาริมทรัพย์ที่แพงที่สุดของเมืองไว้อีกด้วย นอกจากนี้ทางตะวันออกเฉียงเหนือยังมีตลาดริอัลโต ซึ่งเป็นตลาดสดชื่อดังของย่านนี้ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ใครที่มีเวลาลองแวะไปเดินกันได้
ถ้าเดินข้ามสะพานริอัลโตไปจะพบกับท่าเรือริอัลโตที่ให้บริการเรือโดยสารสาย 1 และ 2 จากตรงนี้ถ้าใครไม่สะดวกเดินต่อก็สามารถนั่งเรือสาย 1 ไปลงที่ท่าเรือใกล้จัตุรัสซานมาร์โคได้ แต่เราแนะนำให้เดินต่อเพราะใช้เวลาไม่นาน
เที่ยวเวนิส 1 วัน: จัตุรัสซานมาร์โค (St. mark’s square)
จากสะพานริอัลโตเดินต่ออีกประมาณ 8 เราก็มาถึงใจกลางเมืองเวนิสซึ่งเป็นที่ตั้งยอดนิยมหลายแห่ง หนึ่งในนั้นก็คือจัตุรัสซานมาร์โค (ภาษาอิตาลี: Piazza San Marco) เด่นสง่าด้วยหอระฆังซานมาร์โค พอไปยืนอยู่ตรงกลางจัตุรัสแล้วกลายเป็นเราตัวเล็กนิดเดียวไปเลย ข้างหน้าเราจะมองเห็นมหาวิหารซานมาร์โคซึ่งตั้งอยู่ติดกับพระราชวังดอจ ส่วนทางซ้ายของจัตุรัสคือพิพิธภัณฑ์โบราณคดี (National Archeological Museum) และทางด้านหลังคือพิพิธภัณฑ์ศิลปะ (Museo Correr) เราจะพาไปเข้าชมทั้งหมดนี้ด้วยกัน
จัตุรัสซานมาร์โคสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 9 โดยขนาดและแบบที่เราเห็นในปัจจุบันถูกใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1177 และถูกปูขึ้นในอีกหนึ่งร้อยปีต่อมา นโปเลียนเรียกมันว่า “ห้องรับแขกที่สวยที่สุดในโลก” ที่นี่ยังเป็นจุดที่ต่ำที่สุดในเวนิส เมื่อมีสถานการณ์น้ำสูงทะเลเอเดรียติกสูงขึ้นมากกว่า 94 เซนติเมตรที่เรียกว่า “Acqua Alta” จัตุรัสซานมาร์โคจะถูกน้ำท่วมเป็นที่แรก เมืองมักจะรับมือกับปัญหานี้ด้วยการเปิดไซเรนแจ้งเตือนก่อนที่จะมีการวางทางเดินยกระดับน้ำหลายแห่งในพื้นที่น้ำท่วมหลักเพื่อให้นักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่สามารถเดินได้โดยไม่เปียก
เที่ยวเวนิส 1 วัน: มหาวิหารซานมาร์โค (St. Mark’s Basilica)
หลังจากชมจัตุรัสซานมาร์โคจนพอใจแล้วเราก็จะไปเข้าชมที่เที่ยวอื่น ๆ ต่อกัน ที่แรกเลยก็คือ มหาวิหารซานมาร์โค (ภาษาอิตาลี: Basilica di San Marco) ก่อนที่จะเข้าไปได้ต้องมีตั๋วก่อน แต่คุณพระคนยืนต่อแถวเยอะมาก นี้ขนาดกลางเดือนพฤษภาคมนะ แล้วช่วงเทศกาลท่องเที่ยวคนจะเยอะขนาดไหน ใครที่วางแผนเข้าชมที่นี่แนะนำให้จองตั๋วล่วงหน้ามาก่อน ราคาตั๋วมี 3 แบบ คือ
- เข้าชมมหาวิหารซานมาร์โค 3 ยูโร
- เข้าชมแท่นบูชาทองคำ Pala D’Ora 5 ยูโร
- เข้าชมพิพิธภัณฑ์ Mark’s Museum และระเบียงชมวิว 7 ยูโร
- รวม 17 ยูโร ถ้าต้องการเครื่องเสียงออดิโอไกด์ด้วย 7 ยูโร
- ถ้าใครเลือกทั้งหมดเลยก็ 24 ยูโรพอดีเป๊ะ
เรายืนรอเพื่อซื้อตั๋วใช้เวลาไปทั้งหมดครึ่งชั่วโมงด้วยกัน ใช้แล้วค่ะครึ่งชั่วโมงจริง ๆ บวกกับสภาพอากาศที่ร้อนแล้วอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไร แต่ถ้าใครแบบว่าอยากรอหน่อยไม่เป็นไรก็มาต่อแถวได้ ส่วนใครที่ไม่อยากรอนาน (ขอแนะนำเลยไม่อยากให้ไปเก้อแบบเรา) → แนะนำให้จองตั๋วล่วงหน้าเพื่อเข้าชมมหาวิหารซานมาร์โค ตั๋วนี้ใช้เข้าชมมหาวิหารซานมาร์โคได้ครบทั้งหมดเลย หรือจะใช้บัตรท่องเที่ยวเวนิส (The Venice Pass) ก็เป็นตัวเลือกที่น่าพิจารณาเหมือนกัน เพราะว่านำไปใช้เข้าชมมหาวิหารซานมาร์โค พระราชวังดอจ รวมการนั่งเรือกอนโดลา (แบบแชร์) ได้อีกถึง 30 นาที
เมื่อเข้ามาด้านในมหาวิหารซานมาร์โคจะพบกับโบสถ์ที่ส่องประกายระยิบระยับด้วยกระเบื้องโมเสกสีทองจากช่วงต้นศตวรรษที่ 13 ทำจากแผ่นทองคำเปลว เงิน และอัญมณีล้ำค่า แสดงถึงเรื่องราวจากพระคัมภีร์และตำนานของเซนต์มาร์ก ทางเดินในโบสถ์ยังประดับด้วยหินอ่อนหลากสี ที่นี่ไม่เพียงแต่ใช้เป็นสถานที่เก็บพระธาตุของนักบุญมาร์คเท่านั้น แต่ยังมีแท่นบูชาทองคำอันงดงาม (Pala d’Oro) ที่สร้างโดยช่างทองยุคกลาง
“ช่างเป็นสถานที่ที่สวยงามเหลือเกิน” นี้คือประโยคที่พูดกับตัวเองตั้งแต่ยืนอยู่หน้าเข้าทาง และต้องพูดกับตัวเองอีกหลาย ๆ รอบเมื่อได้เข้าไปสัมผัสความงดงามด้วยตาของตัวเองด้านใน
พิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค
จากชั้นหนึ่งเราขึ้นไปต่อที่ชั้นสองซึ่งเป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค ภายในเปรียบเสมือนคลังสมบัติขนาดเล็กสำหรับเก็บทองคำ สิ่งของล้ำค่า รวมไปถึงพรมเปอร์เซีย ผ้าขนสัตว์ และเสื้อคลุมทางศาสนา ฯลฯ ทั้งหมดให้ความงดงามและยังเปล่งประกายสีทองทั่วห้อง
ไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เมื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โคก็คือม้าดั้งเดิมของซานมาร์โค (Horses of Saint Mark) (และจะได้เห็นแน่นอนเพราะว่าต้องเดินผ่านไปยังระเบียงชมวิว) ม้าที่ว่านี้เป็นรูปปั้นทองสัมฤทธิ์มีทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน ทุกตัวยืนและยกเท้าหน้าหนึ่งข้างแสดงถึงความทรงพลังและมีประวัติอันยาวนานอย่างน่าทึ่งผ่านการเดินทางไกลมาแล้วถึงสามประเทศด้วยกัน
เดิมทีม้าของซานมาร์โคตั้งอยู่ที่ฮิปโปโดรมในจัตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ดของกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี ที่นั้นเคยมีชื่อเสียงในเรื่องของสนามแข่งม้าของยุคไบแซนไทน์ ปัจจุบันกลายมาเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของอิสตันบูล ต่อมาเกิดการปล้นในช่วงสงครามครูเสดครั้งที่สี่เมื่อปี ค.ศ. 1204 ม้าทั้งสี่ตัวได้ถูกย้ายมายังกรุงเวนิสโดยติดตั้งไว้ที่ระเบียงด้านหน้าของมหาวิหารซานมาร์โคในปี ค.ศ.1254
อย่างไรก็ตามม้าทั้งสี่ได้ออกเดินทางอีกครั้งไปยังประเทศฝรั่งเศสตามคำสั่งของนโปเลียนและถูกติดตั้งไว้ที่ประตูชัยแห่งการูแซลในกรุงปารีส จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1815 ม้าได้ถูกส่งกลับมาคืนยังกรุงเวนิสโดยติดตั้งไว้ที่ด้านหน้าระเบียงของมหาวิหารซานมาร์โค แต่เพื่อป้องกันความเสียหายจากมลพิษทางอากาศม้าดั้งเดิมทั้งสี่ตัวได้ถูกย้ายเข้าไปอยู่ด้านใน ส่วนม้าด้านนอกมหาวิหารนั้นเป็นแบบจำลองที่สร้างขึ้นใหม่นั้นเอง
ถัดจากม้าของซานมาร์โคจะเป็นพื้นที่ระเบียงเปิดสามารถมองเห็นโดมหลักและใจกลางของมหาวิหารชั้นหนึ่งได้อย่างชัดเจน และเหมาะมากที่จะเก็บภาพอันงดงามของซานมาร์โคอย่างลงตัวไม่มีที่ติ
ระเบียงชมวิวมหาวิหารซานมาร์โค
ส่วนท้ายของการเข้ามหาวิหารซานมาร์โคจะไปจบลงที่ระเบียงด้านนอกสำหรับชมทิวทัศน์ที่สวยงามของจัตุรัสซานมาร์โค ขวามือสามารถมองเห็นหอนาฬิกาจากศตวรรษที่ 15 (Torre dell’ Orologio) กวาดสายตามาตามทิศทางย้อนเข็มนาฬิกาจะเห็นอาคารพิพิธภัณฑ์ศิลปะตามด้วยพิพิธภัณฑ์โบราณคดี หอระฆังซานมาร์โค และปิดท้ายที่พระราชวังดอจ
เรื่องน่ารู้ก่อนเข้าชมมหาวิหารซานมาร์โค
- เวลาเปิด: วันจันทร์-เสาร์ 09:30-17:15 น. วันอาทิตย์ 14:00-17:15 น. (ตั๋วรอบสุดท้ายจำหน่ายถึงเวลา 16:45 น.)
- สวมเสื้อผ้าที่คลุมไหล่ กางเกงหรือกระโปรงที่คลุมเข่า ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถเข้าไปด้านใน
- ไม่อนุญาตให้นำกระเป๋าเป้ขนาดใหญ่หรือกระเป๋าเดินทางเข้าไปด้านในมหาวิหารซานมาร์โค มีตู้ล็อกเกอร์สำหรับฝากสัมภาระฟรี
- มหาวิหารซานมาร์โคมีขนาดที่ใหญ่พอสมควร ควรเผื่อเวลาเข้าชมไว้ประมาณ 1-1.5 ชั่วโมง
เที่ยวเวนิส 1 วัน: พระราชวังดอจ (Doge’s Palace)
พระราชวังในเวนิสมีหลายแห่งด้วยกัน หนึ่งในนั้นที่ต้องเข้าชมให้คือพระราชวังดอจ (ภาษาอีตาลี: Palazzo Ducale) รวมไปถึงพิพิธภัณฑ์ตัวเลือก เช่น พิพิธภัณฑ์โบราณคดี (National Archeological Museum) และพิพิธภัณฑ์ศิลปะ (Museo Correr) ซึ่งเราเลือกเข้าชมทั้งสามแห่งเลยโดยใช้ตั๋วใบเดียวในราคา 25 ยูโร (ราคาปัจจุบันตั้งแต่เดือนกันยายน 2022 ปรับขึ้นเป็น 30 ยูโร)
รอบเข้าชมช่วงบ่ายสองถึงสี่โมงเย็นคนจะเยอะมาก → แนะนำให้ซื้อตั๋วเข้าชมพระราชวังดอจล่วงหน้า จากประสบการณ์ตรงนำตั๋วที่ได้รับจากอีเมล์ไปให้เจ้าหน้าที่หน้าประตูทางเข้าสแกนคิวอาร์โค้ดได้เลย ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีก็เข้ามาด้านในพระราชวังดอจแล้ว
ความสำคัญของพระราชวังดอจก็คือเคยใช้เป็นที่สำนักของดอจแห่งเวนิส ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้พิพากษาและผู้นำของสาธารณรัฐเวนิสระหว่างปี ค.ศ. 726-1797 ก่อนที่ในปี ค.ศ. 1923 จะกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้บุคคลทั่วไป ที่นี่จึงเปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของอำนาจทางการเมืองในสมัยสาธารณรัฐเวนิสที่จะพาทุกคนร่วมเดินทางเข้าไปชมบรรยากาศภายในด้วยกัน รวมถึงไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือสะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs) ที่สามารถมองเห็นภายในได้ด้วยการซื้อตั๋วเข้าชมเท่านั้น
ชั้น 1 พระราชวังดอจแห่งเวนิส
ที่ตั้งของสภาผู้แทนราษฎรแห่งเวนิส (Hall of the Great Council)
จากลานกว้างด้านนอกเมื่อเดินเข้าไปด้านในของพระราชวังดอจตามเส้นทางที่ลูกศรกำหนดไว้ ห้องแรกที่เจอคือ “Hall of the Great Council” ที่ตั้งของสภาผู้แทนราษฎรแห่งเวนิส ยาว 53 เมตร และกว้าง 25 เมตร ไม่เพียงแต่เป็นห้องที่ใหญ่และสง่างามที่สุดในพระราชวังดอจแต่ยังเป็นหนึ่งในห้องที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปอีกด้วย
ในอดีตทุกวันอาทิตย์หลังเสียงระฆังที่หอซานมาร์โคดังขึ้นสมาชิกสภาจะรวมตัวกันในห้องโถงนี้โดยมีดอจนั่งเป็นประธานอยู่ที่แท่นศูนย์กลางขนาบข้างด้วยที่ปรึกษาของเขาสองแถวตามความยาวตลอดห้อง ที่ด้านหลังของแท่นบัลลังก์ยังสามารถมองเห็นภาพเขียนสีน้ำมัน “Paradiso” ที่ยาวที่สุดในโลกแสดงถึงฉากสวรรค์พร้อมภาพบุคคลทางศาสนา ภาพนี้ถูกนำมาแทนที่ภาพเก่าที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ไฟไหม้ ผนังห้องยังตกแต่งด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเวนิส โดยเจาะจงถึงความสัมพันธ์ของเมืองกับตำแหน่งสันตะปาปาและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่เพดานตกแต่งด้วยตัวอย่างวีรกรรมเฉพาะตัวของของชาวเวนิส
ห้องจัดแสดงภาพวาดเก่าจากห้องโถงสภาผู้แทนราษฎรแห่งเวนิส (The Guariento Room)
ใกล้กับห้องสภาผู้แทนราษฎรแห่งเวนิสเราจะพบกับห้องกวาเรียนโต ซึ่งจัดแสดงภาพวาดเก่าสำหรับห้องโถงใหญ่ที่เราไปชมก่อนหน้านี้ ภาพนี้ถูกวาดโดยศิลปินชาวปาดวน Guariento เมื่อราวปี ค.ศ. 1365 และเกือบพังยับเยินในกองไฟในปี ค.ศ. 1577 ความร้อนของไฟทำให้เหลือสีเพียงไม่กี่สี่ สีแดงที่เห็นเป็นรอยเดิมของภาพวาดต้นฉบับ ภาพทั้งหมดสื่อถึงเรื่องราวทางสวรรค์ ลองจินตนาการว่าถ้าไม่ถูกไฟไหม้ภาพนี้คงยังส่องประกายด้วยสีสันและปิดทองหรูหรางดงาม
ชั้น 2 ของพระราชวังดอจแห่งเวนิส
จากชั้นหนึ่งเดินมาต่อที่ชั้นสองจะเป็นห้องทำงานของสภาต่าง ๆ เริ่มจากสภาหอการค้า (The Council Chamber) มีหน้าที่หลักในการจัดระเบียบและประสานงานการทำงานของวุฒิสภารวมถึงกิจกรรมทางการเมืองและนโยบายต่างประเทศ การตกแต่งส่วนใหญ่ในห้องนี้ถูกทำขึ้นใหม่หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ในปี ค.ศ. 1574 เพดานด้านบนแกะสลักและเสริมด้วยแผ่นสี่เหลี่ยมและวงกลมอย่างงดงาม
ก้าวผ่านประตูของสภาหอการค้าไปเราจะพบกับห้องโถงประชุมสภาวุฒิสภา (Senate Chamber) เป็นหนึ่งในสถาบันสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดในเวนิส ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 13 และค่อยๆ พัฒนาไปตามกาลเวลา จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 16 องค์กรนี้มีหน้าที่รับผิดชอบหลักในการดูแลกิจการทางการเมืองและการเงินในด้านต่าง ๆ ห้องได้ถูกปรับปรุงใหม่หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ในปี ค.ศ. 1574 เช่นกัน ผนังห้องถูกประดับด้วยภาพวาดสี่ภาพที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์เฉพาะของประวัติศาสตร์เวนิส
เดินมาอีกนิดจะพบกับห้องสภาสิบ (The Chamber of the Council of Ten) ในอดีตเคยวางแผนใช้เป็นห้องประชุมชั่วคราวของสภาสิบคนที่ได้รับเลือกจากวุฒิสภา ซึ่งมีหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงของสาธารณรัฐและปกป้องรัฐบาลจากการโค่นล้มหรือการทุจริต ดังนั้นพวกเขาจึงมีอำนาจทางการในลงโทษขุนนางที่พยายามโค่นล้มสถาบันของรัฐ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้เป็นห้องประชุมถาวรในเวลาต่อมา
การตกแต่งในห้องสภาสิบส่วนใหญ่แสดงออกถึงเพื่อแสดงอำนาจของสภาสิบผู้รับผิดชอบในการลงโทษผู้กระทำผิดและปล่อยผู้บริสุทธิ์ผ่านเพดานแกะสลักและปิดทองที่แบ่งออกเป็น 25 ช่อง
จากห้องสถาต่าง ๆ ในพระราชวังดอจแห่งเวนิสก็มาถึงคลังอาวุธ (Armory) เปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์ทหารขนาดเล็กใช้สำหรับเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ รวมไปถึงชุดเกราะจากศตวรรษที่ 15 และ 16 อาวุธปืนและกระสุนมากกว่า 2,000 ชิ้น เข็มขัดพรหมจรรย์ เครื่องมือทรมานประเภทต่างๆ และแม้กระทั่งอาวุธขนาดเล็กที่กฎหมายห้ามไว้
สะพานแห่งการถอนหายใจ (Bridge of Sighs)
จากคลังอาวุธก็มาถึงสถานที่สุดท้ายของการเข้าชมพระราชวังดอจแห่งเวนิสนั้นก็คือสะพานแห่งการถอนหายใจ (Bridge of Sighs) สร้างขึ้นเชื่อมต่อกันระหว่างตัวพระราชวังและอาคารที่กำหนดให้เป็นเรือนจำใหม่ ตัวสะพานมีทางเดินสองทางและปิดล้อมด้วยกำแพงอย่างหนาแน่น
บนกำแพงมีเพียงหน้าต่างฝั่งละสองบานเท่านั้นโดยมีเพียงช่องเล็ก ๆ ที่มองเห็นบรรยากาศน้อยเพียงน้อยนิด นักโทษที่ผ่านการพิจารณาคดีจะเดินผ่านสะพานนี้ไปยังห้องขังที่พวกเขาจะต้องรับโทษ เสียงถอนหายใจเปรียบเสมือนอิสระครั้งสุดท้ายเมื่อมองหน้าต่างบานเล็กไปเห็นการใช้ชีวิตของผู้คนภายนอก
สะพานแห่งการถอนหายใจถ้าไม่ได้เข้าชมภายในสามารถเดินไปดูมุมมองภายนอกได้ที่ต้นสะพานติดกับพระราชวังดอจ อย่างไรก็ตามพระราชวังดอจมีขนาดใหญ่พอสมควร ควรเผื่อมีเวลา 2-3 ชั่วโมงสำหรับการเดินชมแบบทั่วถึงและไม่รีบเร่ง
เที่ยวเวนิส 1 วัน: พิพิธภัณฑ์ศิลปะกอร์แรร์ (Museo Correr)
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองที่เราไปเที่ยวมากขึ้นคือการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ เราจึงเลือกใช้เวลาบางส่วนไปกับการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในเวนิส และนั้นก็เป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่า
พิพิธภัณฑ์ศิลปะกอร์แรร์ ตั้งอยู่ในอาคารทางทิศใต้ของจัตุรัสซานมาร์โคสามารถมองเห็นมหาวิหารจัตุรัสซานอย่างชัดเจน ความน่าสนใจของที่นี่ก็คือรวบรวมคอลเล็กชันงานศิลปะเก่าแก่ ภาพวาด และวัตถุที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ของเมืองเวนิส รวมถึงรูปปั้นประติมากรรมหินอ่อนของนักปฏิมากรอันโตนิโอคาโนวาชื่อดัง
พิพิธภัณฑ์ยังผนวกเข้ากับพระราชวังเดิมซึ่งเคยเป็นที่ประทับของของกษัตริย์และจักรพรรดิในสมัยศตวรรษที่ 19 รวมถึงสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์โจเซฟที่ 1 และสมเด็จพระจักพรรดินีเอลิซาเบธ “ซีซี” เมื่อครั้งเสด็จเยือนเวนิส ทั้งหมดนี้เราไม่เพียงแต่จะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองเวนิสเท่านั้นแต่ยังได้มีโอกาสเข้าชมห้องประทับต่าง ๆ ที่จัดตกแต่งไว้อย่างงดงามตระการตา และนั้นก็คุ้มค่าที่จะพิจารณาแวะเข้าไปเยี่ยมชมสักครั้ง
ด้านในของพิพิธภัณฑ์ศิลปะ (Museo Correr) แบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ ห้องนีโอคลาสสิกและคอลเล็กชันรูปปั้นของคาโนวา ตามด้วยอพาร์ตเมนต์อิมพีเรียลของพระราชวัง และคอลเล็กชันงานศิลปะเก่าแก่ที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ของเมืองเวนิส
มาเริ่มกันที่ส่วนแรกเลยดีกว่าคือห้องนีโอคลาสสิกและคอลเล็กชันรูปปั้นของคาโนวา เป็นห้องบอลรูมที่หรูหราและโอ่อ่านี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในวังด้วยการตกแต่งสไตล์เอ็มไพร์อย่างวิจิตรบรรจง ศูนย์กลางของเพดานเป็นจิตรกรรมฝาผนังด้วยสันติภาพล้อมรอบด้วยคุณธรรมและความฉลาดหลักแหลมแห่งโอลิมปัส
จากนั้นจะเข้าสู่เล็กชันรูปปั้นของคาโนวา เขาเกิดในครอบครัวของช่างสกัดหินที่มีประสบการณ์ และได้รับการฝึกอบรมด้านเทคนิคจากปู่ของเขารวมไปถึงเวิร์กช็อปจากช่างแกะสลักบาโรกผู้ชำนาญการระหว่างอะโซโลและเวนิส ไม่นานก่อนที่เขาจะได้พบกับสมาชิกในแวดวงสมัยใหม่และทรงอิทธิพลของเวนิส และเริ่มพัฒนาทิศทางแบบคลาสสิกขั้นพื้นฐานจนที่ในที่สุดก็กลายมาเป็นประติมากรรมที่แสดงออกถึงการเคลื่อนไหวที่มีเอกลักษณณ์เฉพาะตัว
ต่อมาจะเป็นส่วนของอพาร์ตเมนต์อิมพีเรียลของพระราชวัง (The Imperial Apartments of the Princess “Sissi”) ที่มีความงดงามหรูหราไม่แพ้ห้องห้องบอลรูมเลยทีเดียว ที่นี่เคยใช้เป็นที่ประทับของจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งออสเตรียเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรลอมบาร์เดียเวนิส รวมถึงการเสด็จเยือนเวนิสของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์โจเซฟที่ 1และสมเด็จพระจักพรรดินีเอลิซาเบธ ก่อนที่จักรพรรดินีเอลิซาเบธ หรือที่มีชื่อเล่นว่า “ซีซี” จะเสด็จกลับมาประทับที่นี่อีกครั้งเป็นเวลาเจ็ดเดือน
ประวัติของพระองค์อย่างละเอียดรวมไปถึงที่ประทับเมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระจักพรรดินีมีจัดแสดงไว้อย่างเป็นทางการในพระราชวังฮอฟบวร์กของกรุงเวียนนา ซึ่งเป็นหนึ่งในที่เที่ยวยอดนิยมในกรุงเวียนนา
ภายในอพาร์ตเมนต์อิมพีเรียลของพระราชวังแบ่งออกเป็นหลายห้อง เริ่มตั้งแต่ห้องรับประทานอาหารอย่างไม่เป็นทางการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์นีโอคลาสสิกดั้งเดิม ตรงกลางห้องเราจะสังเกตเห็นโต๊ะทานอาหารแบบฝรั่งเศสที่ออกแบบอย่างหรูหราด้วยทองสัมฤทธิ์ปิดทอง
ต่อมาคือห้องบัลลังก์ลอมบาร์ดี-เวเนเทียประดับด้วยตราแผ่นดิน และโคมไฟระย้าแก้วขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้หลากสีสร้างขึ้นบน Murano ในศตวรรษที่สิบแปด จากนั้นจะเข้าสู่ห้องประชุมสาธารณะของจักรพรรดินีเอลิซาเบธ ใช้สำหรับรับบุคคลหรือกลุ่มคนที่ได้รับการรับรองระหว่างที่เธออยู่ที่เวนิส ห้องนี้เด่นสง่ากระจกบานใหญ่ปิดทองสลักอยู่เหนือเตาผิง (ศตวรรษที่สิบเก้า) เป็นการคืนชีพอันมีค่าของสไตล์เวนิสบาโรก
จากห้องรับรองบุคคลต่าง ๆ จะเข้าสู่ห้องที่จักรพรรดินีเอลิซาเบธใช้ประทับเป็นการส่วนตัวประกอบไปด้วยหลายส่วน คือ ห้องน้ำตกแต่งด้วยหินอ่อนและลวดลายคลาสสิกยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ตามด้วยห้องสำหรับศึกษาและอ่านเขียนส่วนพระองค์ ห้องแต่งตัว ห้องนอนที่โดดเด่นด้วยผ้าม่านสไตล์นีโอบาโรกที่หรูหรา และเตียงนอนสไตล์โรโคโค ต่อมาคือห้องทางเดินส่วนตัวมีระเบียงที่ให้ทัศนียภาพที่งดงาม ก่อนจะปิดท้ายที่ห้องรับประทานอาหารท่ามารถมองเห็นจัตุรัสซานมาร์โคและอพาร์ตเมนต์ของราชวงศ์
ส่วนสุดท้ายของพิพิธภัณฑ์ศิลปะกอร์แรร์คือคอลเล็กชันงานศิลปะเก่าแก่ที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ของเมืองเวนิสซึ่งจัดแสดงไว้ในห้องขนาดเล็กกว่า 20 ห้อง โดยแสดงให้เห็นชีวิตและวัฒนธรรมของสาธารณรัฐเวเนเชียนตลอดหลายศตวรรษของความยิ่งใหญ่ทางการเมืองและความเป็นอิสระผ่านพิพิธภัณฑ์ห้องสมุด ตู้เก็บหนังสือหายากที่มีต้นฉบับ และงานพิมพ์ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 16 จนถึงปลายศตวรรษที่ 18
นอกจากนี้ยังมีเหรียญกษาปณ์ตั้งแต่รากฐาน (ค.ศ. 820) ภาพวาดผังเมืองเก่าแก่ของเวนิส ตลอดจนศิลปะการพิมพ์แม่พิมพ์ ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 15 เป็นต้นไป เมื่อครั้งเวนิสเป็นเมืองหลวงของศิลปะการพิมพ์และการตีพิมพ์ของยุโรป
ทั้งสามส่วนที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะกอร์แรร์ใช้เวลาในการเข้าชมทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง หากต้องการลงลึกในรายละเอียดในแต่ละส่วนของการเข้มชมอาจใช้เวลาที่มากกว่านี้ ควรเผื่อเวลา 2-3 ชั่วโมงสำหรับการเดินชมแบบทั่วถึงและไม่รีบเร่ง
ลำคลองแกรนด์คาแนลในเวนิส (คลองใหญ่)
แกรนด์คาแนล (Grand Canal) เป็นลำคลองรูปตัว S ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเวนิส มีความยาวประมาณ 3.8 กิโลเมตร ริมฝั่งแกรนด์คาแนลมีบรรยากาศที่สวยงาม และเรียงรายไปด้วยอาคารเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ที่มีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 13-18 กว่า 170 แห่ง ที่นี่จึงเหมาะเลยทีเดียวสำหรับการเดินชมวิวและเก็บภาพความประทับใจ
วิธีการชมความสวยงามของแกรนด์คาแนลสามารถทำได้หลายวิธี
นั่งเรือกอนโดลา (Gondola) ในลำคลองเวนิส
แน่นอนว่ากิจกรรมที่หลายคนต่างพูดถึงเมื่อมาเยือนเวนิส คือการนั่งเรือกอนโดลาไปชมภาพบรรยากาศที่สวยงามของเมืองทางสายน้ำ เรือกอนโดที่ให้บริการนักท่องเที่ยวมักมี 3 แบบ คือ เรือกอนโดลาข้ามฟากที่มีราคาถูก เรือกอนโดลาแบบแชร์กับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ มักมีราคาถูกในระดับหนึ่ง และเรือกอนโดลาแบบส่วนบุคคลหรือนักท่องเที่ยวที่มาเป็นกลุ่ม มักมีราคาแพงที่สุดตั้งแต่ 80 ยูโรขึ้นไป แต่ถ้าหารค่าเรือกันหลายคนราคาก็จะถูกลง
เรือกอนโดลาส่วนใหญ่ให้บริการตั้งแต่เวลา 11:00-21:00 น. ตอนกลางคืนจะสวยงามเป็นพิเศษด้วยแสงไฟจากบ้านเรือน อย่าลืมเตรียมเงินสดมาด้วยนะคะ เพราะค่าเรือจะรับจ่ายเป็นเงินสดเท่านั้น
นั่งเรือกอนโดลาจากตรงไหนดี?
เรือกอนโดลาตั้งอยู่เกือบทุกที่ริมฝั่งแกรนด์คาแนล จุดที่พบเยอะที่สุดคือใกล้กับสะพานริอัลโตและท่าเรือใกล้กับจัตุรัสซานมาร์โค ในซอกซอยเล็ก ๆ ยังพบจุดขึ้นเรือกอนโดลาเช่นกัน
- ท่าเรือใกล้กับจัตุรัสซานมาร์โค: จะเป็นพื้นที่ทะเลทำให้มีคลื่นเล็กน้อยจากเรือโดยสารอื่น ๆ
- ท่าเรือใกล้สะพานริอัลโต: เป็นลำคลองแบบปิดไม่มีคลื่น เหมาะสำหรับการนั่งเรือกอนโดลา ถ้าเป็นไปได้ลองเดินออกมาจากสะพานริอัลโตสักนิดเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรทางน้ำที่ติดขัด
- ตัวเลือกสุดท้ายคือนั่งเรือกอนโดลาจากซอยเล็ก ๆ ที่ห่างจากย่านท่องเที่ยว
ลิงก์สำหรับจองตั๋วนั่งเรือกอนโดลาในลำคลองเวนิส
เมื่อเลือกเรือกอนโดลาตามแบบที่ต้องการแล้วสามารถซื้อตั๋วที่หน้างานและจ่ายเงินพร้อมลงเรือได้เลย วิธีนี้ดีที่ได้เห็นเรือก่อนใช้บริการ และสามารถสอบถามเส้นทางการเดินเรือกับคนขับได้เลย อีกวิธีหนึ่งที่สะดวกคือการจองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าตามลิงก์ด้านล่าง ช่วยประหยัดเวลาโดยไม่ต้องไปยืนรอซื้อตั๋ว สามารถนำตั๋วไปใช้งานได้จริง และที่สำคัญมีตั๋วราคาถูกกว่าไปจองหน้าที่งานซะอีก
- Grand Canal by Gondola with Commentary (35 ยูโร/50 นาที)
- Grand Canal Gondola with App Commentary (34 ยูโร/30 นาที)
- Venice: Shared Gondola Ride Across the Grand Canal (39 ยูโร/30 นาที)
- Venice: Shared Gondola Ride through the Lagoon City (39 ยูโร/30 นาที)
นั่งเรือข้ามไปยังเกาะใกล้เวนิส วางแผนเที่ยวเวนิส (Venice)
ที่เที่ยวในวนิสสามารถใช้เวลา 1-2 วันก็เข้าชมแบบทั่วถึง อาจจะแบ่งเป็นที่เที่ยวด้านนอก 1 วัน เข้าชมพิพิธภัณฑ์ครึ่งวัน จากนั้นก็ออกไปเที่ยวเกาะรอบนอกเวนิส ซึ่งมีเกาะสามแห่งที่มีชื่อเสียง คือ San Giorgio Maggiore, Murano และ Burano ทั้ง 3 แห่งใช้เวลานั่งเรือประมาณ 5-40 นาที
เกาะซานจิออร์จิโอแม็กจิออเร่ (San Giorgio Maggiore)
เกาะมูราโน่ (Murano)
เรื่องน่ารู้: เรือโดยสารสาย 4.1 วิ่งทวนเข็มนาฬิการอบเกาะเวนิส สาย 4.2 วิ่งตามเข็มนาฬิการอบเกาะเวนิส ทั้ง 2 สายผ่านวิ่งออกจากท่าเรือเดียวกันคือ Fondamente Nove ไปยังเกาะมูราโน่ ระหว่างทางแวะรับส่งผู้โดยสารที่เกาะ San Michele → ดูแผนที่เส้นทางเดินเรือโดยสารไปเกาะมูราโน่
เกาะบูราโน่ (Burano)
เที่ยวเวนิสงบเท่าไร? วางแผนเที่ยวเวนิส (Venice)
ค่าใช้จ่ายสำหรับเที่ยวเวนิส 3 วัน 2 คืนอยู่ที่ประมาณ 250-300 ยูโร คิดเป็นเงินไทยประมาณ 9,000-12,000 บาท ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ค่าที่พัก การเดินทาง อาหาร และกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงค่าทางด่วนจากสวิสเซอร์แลนด์ผ่านเมืองมิลานและเวนิสของอิตาลี 24 ยูโร ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน → เช็คราคาและจองตั๋วเครื่องบินราคาประหยัดได้ที่นี่
budget
โรงแรม: 90-100 ยูโร
โฮสเทล: 70-90 ยูโร
การเดินทาง: 25 ยูโร
ซื้อตั๋วเดินทางในเวนิส
กิจกรรมและตั๋ว: 30-50 ยูโร
รถเช่า: 50-150 ยูโร
อาหาร: 10-30 ยูโร/มื้อ
เครื่องดื่ม: 10-15 ยูโร
เที่ยวอย่างอุ่นใจไปกับบัตรเดบิต Wise สำหรับใช้จ่ายทั่วโลก สามารถใช้ถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มต่างประเทศตามอัตราแลกเปลี่ยนจริงโดยไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง ใช้ชำระค่าอาหาร จองที่พักหรือตั๋วเครื่องบิน รวมถึงในร้านค้าออนไลน์ทั่วโลกกว่า 50+ สกุลเงิน ทั้งยังรองรับการชำระผ่าน MasterCard, Apple Pay และ Google Pay โดยไม่ต้องกังวลในการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ใช้มานานกว่า 4 ปีไม่ผิดหวัง → สมัครรับบัตรเดบิต Wise ไว้ใช้ประโยชน์ด้วยตัวเองตอนนี้เลย
สรุปวางแผนเที่ยวเวนิส (Venice)
เที่ยวเวนิสแบบหนึ่งวันเต็มได้เห็นสถานที่เที่ยวยอดนิยมครอบคลุมถึงจัตุรัสซานมาร์โค มหาวิหารซานมาร์โค พระราชวังดอจ พิพิธภัณฑ์ศิลปะกอร์แรร์ สะพานริอัลโต แถมในตอนท้ายยังมีเวลาเหลือสำหรับเดินเล่นรอบคลองใหญ่หรือจะนั่งเรือกอนโดลาชมวิวก็ดี
ส่วนใครที่อยากไปชมเกาะรอบเวนิสด้วยอาจจะต้องเผื่อเวลาไว้ประมาณครึ่งวันเพราะการเดินทางด้วยเรือใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที อย่างไรก็ตามถ้ามีเวลาเที่ยวเวนิสประมาณ 2-3 วันกำลังดี หรือถ้ามีเวลา 1 วันก็เพียงพอที่จะชมความงดงามในเวนิสแบบเต็มอิ่ม ส่วนใครที่ชอบแพลนนี้ก็สามารถนำไปปรับใช้กับแผนการเที่ยวเวนิสของตัวเองได้เลยค่า
แหล่งข้อมูลวางแผนเที่ยว
Thank you
การเปิดเผย: บทความนี้มีลิงก์แอฟฟิลิเอทบางส่วน การกดที่ลิงก์ไม่มีค่าใช้จ่าย หากซื้อสินค้าหรือบริการจากลิงก์ดังกล่าว เราอาจได้รับค่ากำลังใจเล็กน้อยสำหรับนำไปพัฒนาบล็อก 🧡