เที่ยวเซวิญ่า (Seville) เมืองสวยที่อบอวลไปด้วยแก่นแท้ของสเปนตอนใต้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อันดาลูเซีย” ต้องบอกเลยว่าเมืองนี้ใครไปก็ต้องตกหลุมรัก เพราะนอกจากสภาพแวดล้อมของบ้านเมืองที่น่าอยู่แล้ว เซวิญ่ายังขึ้นชื่อในเรื่องของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานอิทธิพลของมัวร์และคริสเตียนเข้าด้วยกันได้อย่างน่าลงตัว โดยรวมที่เที่ยวสำคัญน่าไปเยือนหลายแห่ง เช่น พระราชวังอัลคาซาร์อันวิจิตรงดงาม อาสนวิหารขนาดมหึมาซึ่งเป็นที่ฝังศพของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส รวมถึงจัตุรัสพลาซาเดอเอสปานาและแลนด์มาร์คเห็ดแห่งเซวิญ่าอันโดดเด่นที่ใครหลายคนอาจจะเห็นรูปภาพมาบ้างแล้ว การเดินทางไปเยือนเซวิญ่าในทริปนี้จึงมีแต่ได้กับได้ และที่สำคัญค่าใช้จ่ายไม่แพง แถมอาหารอันดาลูเซียก็อร่อยถูกปาก เพราะฉะนั้นจะรอช้าอยู่ไง เตรียมเก็บกระเป๋าและตามแผนของเราได้เลย
สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในเซวิญ่า
เที่ยวเซวิญ่า: พระราชวังอัลคาซาร์แห่งเซวิญ่า (Royal Alcázar of Seville)
ถ้าให้เลือกเข้าชมที่เที่ยวเพียงแห่งเดียวในเซวิญ่าก็ต้องบอกว่าขอเลือกเข้าชมพระราชวังอัลคาซาร์แห่งเซวิญ่าอย่างแน่นอน เพราะนอกจากความสวยงามในสไตล์ผสมระหว่างมูเดคาร์และกอทิกที่ตราตรึงใจแล้ว พระราชวังแห่งนี้ยังเป็นเป็นมรดกโลกในปี 1987 พร้อมด้วยอาสนวิหารแห่งเซวิญ่าและหอจดหมายเหตุแห่งอินดีส และยังปรากฏให้เห็นในซีรีส์โทรทัศน์ชื่อดังอย่าง “Game of Thrones” ของ HBO อีกด้วย นอกจากนี้ถ้าใครเป็นแฟนตัวยงของการถ่ายภาพต้องบอกเลยว่ามาที่นี่แล้วได้รูปสวย ๆ กลับไปแน่นอน ดังนั้นการไปเยือนเซวิญ่าต้องใส่พระราชวังอัลคาซาร์แห่งเซวิญ่าไว้ในลิสต์ห้ามพลาดอย่างเด็ดขาด
พระราชวังอัลคาซาร์แห่งเซวิญ่าแบ่งออกเป็นหลายส่วน ครอบคลุมถึงพระราชวังปูนปั้นเก่าแก่ที่สุดของอัลคาซาร์และเป็นพื้นที่เดียวที่ยังเหลืออยู่จากยุคมุสลิม พระราชวังมูเดคาร์ที่สร้างโดยกษัตริย์ปีเตอร์ที่ 1 และพระราชวังแบบกอทิกที่สร้างโดยอัลฟอนโซที่ 10 ดังนั้นการเข้าชมพระราชวังสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ โดยเริ่มจากพระราชวังจากยุคมุสลิม ตามด้วยพระราชวังมูเดคาร์ และปิดท้ายด้วยพระราชวังแบบกอทิกและสวนอัลคาซาร์ตามลำดับ จากประสบการณ์ตรงใช้เวลาเข้าชมพระราชวังและเดินเล่นในสวนรวมประมาณ 2 ชั่วโมง โดยรวมแล้วแนะนำให้เผื่อเวลาเข้าชมไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมงกำลังดี
ไฮไลท์ของการเข้าชมพระราชวังอัลคาซาร์แห่งเซวิญ่าก็คือพระราชวังปูนปั้นเก่าแก่จากยุคมุสลิม พระราชวังมูเดคาร์ ลานของหญิงสาว ห้องบัลลังก์ พระราชวังกอทิก สวนอัลคาซาร์ และห้องอาบน้ำสไตล์อาหรับ ซึ่งลานของหญิงสาวหรือที่รู้จักกันในชื่อ The Courtyard of the Maidens เป็นส่วนที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดของพระราชวังอัลคาซาร์แห่งเซวิญ่าก็ว่าได้ ลานนี้เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมมูเดคาร์ที่ผสมผสานอิทธิพลการออกแบบของทั้งอิสลามและคริสเตียนเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว
เมื่อไปยืนที่ด้านใดด้านหนึ่งของลานจะพบว่าใจกลางมีสระน้ำที่สะท้อนภาพเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ช่วยเพิ่มบรรยากาศแห่งความเงียบสงบให้กับพื้นที่ รอบ ๆ สระได้รับการออกแบบส่วนโค้งและเสาอย่างวิจิตรบรรจง ประดับด้วยงานปูนปั้นอันละเอียดอ่อนและลวดลายเรขาคณิตอันประณีต
ว่ากันว่าชื่อของลานหญิงสาวมาจากตำนานที่เล่าว่าครั้งหนึ่งชาวมัวร์เรียกร้องหญิงพรหมจารี 100 คนเป็นประจำทุกปีเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการจากอาณาจักรชาวคริสต์ อย่างไรก็ตามเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักประวัติศาสตร์
ตรงข้ามกับลานของหญิงสาวคือห้องโถงเอกอัครราชทูตหรือห้องบัลลังก์ และนับเป็นห้องที่มีความสวยงามเป็นสองเท่าจากห้องต่าง ๆ ที่เราชมมาก่อนหน้านี้ โดยมีส่วนที่โดดเด่นที่สุดคือโดมไม้ทรงครึ่งวงกลมจากศตวรรษที่ 15 ล้อมรอบด้วยวงเวียนตามดวงดาวและปิดทองอันวิจิตรงดงาม เดิมจึงเรียกว่าห้องนี้ว่า “Half Orange” และเป็นห้องโถงดั้งเดิมของพระราชวังมุสลิม
ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 16 โดมของห้องบัลลังก์ได้รับการต่อเติมระเบียงเหล็กที่หันแล้วจำนวน 4 ระเบียง โดยมีมังกรมีปีกค้ำอยู่ ระเบียงเหล่านี้เชื่อมต่อกับห้อง Royal High Quarter และเป็นงานฝีมืออันงดงามของช่างทำกุญแจ ห้องบัลลังก์ยังเคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีย์ชื่อดังอย่าง “Game of Thrones” อีกด้วย
นอกจากพระราชมูเดคาร์ ลานของหญิงสาว ห้องบัลลังก์ และพระราชวังกอทิกที่เป็นไฮไลท์การเข้าชมแล้ว ยังมีสวนแห่งอัลคาซาร์ที่ห้ามพลาดไปเดินเล่นเช่นกัน สวนนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมและถูกถ่ายภาพมากที่สุดอีกหนึ่งแห่งของพระราชวังอัลคาซาร์แห่งเซวิญ่า โดยถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียงและเต็มไปด้วยพืชพรรณดอกไม้และต้นปาล์มที่โดดเด่น มีศาลาสไตล์อิตาลี “Pabellón de Carlos V” ตั้งอยู่ใจกลาง ในขณะที่ฝั่งขวามือเป็นทางเดินไปยังชั้นใต้ดินของพระราชวังกอทิก ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องอาบน้ำสไตล์อาหรับ (The Baths of Doña María de Padilla) ที่ใครหลายคนอาจจะเคยเห็นในฉากหนึ่งของซีรีส์ “Game of Thrones” มาแล้ว
ห้องอาบน้ำสไตล์อาหรับเป็นพื้นที่ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ โดยมีต้นกำเนิดย้อนกลับไปในยุคอัลโมฮัด และมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากแผ่นดินไหวที่ลิสบอนในศตวรรษที่ 18 อย่างไรก็ตามตำนานเล่าว่าสถานที่ลึกลับและน่าหลงใหลแห่งนี้ โดญญา มาเรีย เด ปาดิลยา ผู้เป็นพระสนมของกษัตริย์ดอนเปโดรจะอาบน้ำและพบกับกษัตริย์ผู้เป็นที่รักของเธอที่นี่
ด้วยความที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต้องการเข้าชมพระราชวังอัลคาซาร์แห่งเซวิญ่าเยอะมาก เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงความแออัดแนะนำให้เข้าชมพระราชวังตอนเริ่มเปิดให้บริการระหว่างเวลา 09:30-10:30 น. ของวันธรรมดา ซึ่งเป็นช่วงที่คนกำลังน้อยและสะดวกในการเดินชมอาคารต่าง ๆ และสวน เช่นเดียวกับเวลา 16:00-17:00 น. ก็เหมาะกับการเข้าชมพระราชวัง เพราะใกล้เวลาปิดคนจะเริ่มน้อย และถ้าไปเที่ยวพระราชวังในวันจันทร์จะได้เข้าชมฟรีระหว่างเวลานี้ด้วย ส่วนฤดูที่เหมาะกับการมาเยือนเซวิญ่าคือฤดูใบไม้ผลิระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม และฤดูใบไม้ร่วงระหว่างเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศดี ดอกไม้ในสวนต่าง ๆ ก็บานสะพรั่งเต็มที่
เที่ยวเซวิญ่า: มหาวิหารเซวิญ่า (Catedral de Seville)
ชมพระราชวังอัลคาซาร์เสร็จแล้วต้องไม่พลาดที่จะไปชมมหาวิหารเซวิญ่ากันต่อ มหาวิหารแห่งนี้เป็นมหาวิหารกอทิกอันงดงามที่ใหญ่ที่สุดในโลกและยังเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกอีกด้วย โดยตั้งเด่นสง่าอยู่ใจกลางย่านประวัติศาสตร์ของเมืองตรงข้ามกับพระราชวังอัลคาซาร์แห่งเซวิญ่า มีประตูทางเข้าอยู่ที่ฝั่งถนน Av. de la Constitución ใกล้กับหอระฆังกิรัลดา
ความน่าสนใจของมหาวิหารเซวิญ่าก็คือการรวมโครงสร้างแบบคริสเตียนเข้ากับโครงสร้างบางส่วนที่เคยเป็นมัสยิดมาก่อน มีความเก่าแก่ย้อนไปจนถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 15 หลังจากที่กษัตริย์ชาวคริสต์พิชิตเมืองเซวิญ่า และเพื่อแสดงถึงความมั่งคั่งและอำนาจของคริสตจักรคาทอลิกในภูมิภาคนี้ อาสนวิหารจึงถูกสร้างขึ้นโดยเน้นสไตล์กอทิกเป็นหลัก โดดเด่นด้วยส่วนโค้งสูง ประกอบด้วยหลังคาโค้งและหน้าต่างโค้งปลายแหลม ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของสถาปัตยกรรมกอทิกแบบสเปน
องค์ประกอบอีกหนึ่งอย่างที่สร้างความโดดเด่นให้กับมหาวิหารเซวิญ่าก็คือหอระฆังกิรัลดา (Giralda) ซึ่งเดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นสุเหร่าของมัสยิดใหญ่ ต่อมาได้กลายเป็นหอระฆังของอาสนวิหาร มีทางลาดที่เป็นเอกลักษณ์แทนที่จะเป็นบันได ซึ่งช่วยให้ผู้ที่ถูกเรียกไปสวดมนต์สามารถขี่ม้าขึ้นไปด้านบนได้
การเข้าชมมหาวิหารเซวิญ่าแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ อาสนวิหารเซวิญ่าและหอระฆังกิรัลดา โดยเส้นทางการเข้าชมจะเริ่มที่หอระฆังก่อนตามด้วยด้านในของมหาวิหาร สำหรับหอระฆังกิรัลดาผู้เข้าชมต้องเดินตามเส้นทางลาดวนประมาณ 35 รอบไปจนถึงชั้นบนสุด การเดินใช้เวลา 10-15 นาที (แล้วแต่ความเร็ว) เมื่อมาถึงด้านบนแล้วจะพบกับหอระฆังที่เป็นจุดศูนย์กลางของอาคาร ทั้งสี่ด้านขนาบข้างด้วยทางเดินมีโครงเหล็กดัดปิดรอบด้านเพื่อป้องกันความปลอดภัย
หอระฆังกิรัลดามีความสูงประมาณ 104 เมตร ซึ่งสูงกว่าหอนาฬิกาบิกเบนในลอนดอนที่สูง 96 เมตร และมีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของหอคอยแห่งปิซาที่สูง 56 เมตร และนั้นก็ทำให้หอระฆังแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในอาคารที่สูงที่สุดในโลก นอกจากนี้กิรัลดายังมีระฆังรวมทั้งหมด 24 ใบ โดย 18 ใบสามารถหมุนได้ ในขณะที่ 6 ใบทำหน้าที่เป็นลูกตุ้ม ปัจจุบันระฆังได้รับการตั้งโปรแกรมอิเล็กทรอนิกส์ และส่งเสียงดังสม่ำเสมอตลอดทั้งวัน
นักท่องเที่ยวสามารถเดินตามเส้นทางแต่ละด้านเพื่อชมความสวยงามของเมืองเซวิญ่าแบบพาโรนามา มองเห็นพระราชวังที่เราไปชมมาก่อนหน้านี้ รวมถึงลานของมหาวิหารที่ปลูกต้นส้มเรียงเป็นแถวอย่างสวยงาม ตลอดจนย่านซานตาครูซเก่าแก่ และหอจดหมายเหตุอินดีสที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน
เมื่อชมวิวบนหอระฆังเสร็จแล้วสามารถเดินกลับลงมาที่ประตูทางเข้ามหาวิหาร เมื่อเข้าไปด้านในจะพบกับอาสนวิหารอันโออ่า มองแล้วให้ความรู้สึกงดงามตระการตาอย่างบอกไม่ถูก โดยมีทางเดินตรงกลางที่ยาวที่สุดกว่าอาสนวิหารใด ๆ ในสเปน และมีความสูงถึง 42 เมตร ส่วนเพดานด้านบนประดับด้วยสีทองสว่างใสว
การเข้าชมอาสนวิหารเซวิญ่าแบ่งออกเป็นหลายส่วน โดยมีไฮไลท์ที่ห้ามพลาดคือโบสถ์หลัก (Capilla Mayor) ที่จัดแสดงแท่นบูชาหลัก (Main Altar) ประดับด้วยแผ่นทองคำเปลวอันวิจิตรประณีตและมีฉากชีวิตของพระคริสต์ ถือเป็นผลงานชิ้นเอกแท่นบูชาในศิลปะบาโรกแบบสเปนที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งของโลก แท่นบูชานี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับแผงที่นั่งคณะนักร้องประสานเสียงขนาดใหญ่ (Coro) ซึ่งเป็นไม้แกะสลักอย่างประณีตจำนวน 114 ที่นั่งในสไตล์กอทิกมูเดคาร์และออร์แกนขนาดใหญ่ ส่วนฝั่งขวามือถัดจากทางเดินตรงกลางคือแท่นบูชาเงิน
นอกจากแท่นบูชาหลักที่มีความงดงามแล้วยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพพลาดก็คือหลุมฝังศพของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา ซึ่งตั้งอยู่บนแท่นปูนสี่เหลี่ยมสีขาวขนาดใหญ่และแบกด้วยประติมากรรมชายสี่คน ซึ่งเป็นตัวแทนของอาณาจักรทั้งสี่ของสเปน ได้แก่ แคว้นคาสตีล เลออน อารากอน และนาวาร์รา อาสนวิหารเซวิญ่ายังเป็นสถานที่เก็บรักษาอัฐิของกษัตริย์สเปนหลายพระองค์ รวมถึงพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 3 แห่งแคว้นกัสติยาที่พิชิตเมืองเซวิญ่า กษัตริย์ปีเตอร์ที่ 1 และฟอนโซที่ 10 (ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเฟอร์ดินานด์)
ทางด้านขวาของหลุมศพของโคลัมบัสเป็นห้องต่าง ๆ ที่จัดแสดงผลงานชิ้นเอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาสนวิหาร รวมถึงห้องสักการะหลักขนาดใหญ่ที่มีโดมหินแกะสลักอย่างประณีต (Sacristía Mayor) ห้องนี้ประดับด้วยภาพวาดล้ำค่าที่สุดสองชิ้นที่รังสรรค์โดยศิลปินชื่อดังอย่างฟรานซิสโก ปาเชโก ขณะที่ใจเป็นที่ตั้งของภาชนะเงินขนาดใหญ่น้ำหนักกว่า 475 กิโลกรัม สร้างขึ้นโดยช่างเหล็กยุคเรอเนซองส์ในช่วงทศวรรษที่ 1580
ใกล้กับห้องสักการะหลักคือลานเปิดโล่งที่เรียกว่า “Patio del Cabildo” โดดเด่นด้วยหลังคากระจกแบบโปร่งแสงและมีน้ำพุขนาดเล็กตั้งอยู่ในกลาง ถัดจากห้องนี้คือพื้นที่ต้อนรับหรือพบปะของกลุ่มนักบวชที่รับผิดชอบในการดูแลอาสนวิหารเรียกว่า “Antecabildo” ก่อนที่จะเข้าไปในห้องศาลา (Chapter House) มีไว้เพื่อใช้ในการประชุมหรือตัดสินใจเกี่ยวข้องกับการบริหารงานของอาสนวิหารรวมถึงเรื่องพิธีกรรม การเงิน และแง่มุมอื่น ๆ ของชีวิตในอาสนวิหาร ห้องนี้โดดเด่นด้วยบัลลังก์ของอาร์คบิชอป ประดับเพดานโค้งอันวิจิตรประณีต รวมถึงงานไม้ละเอียดและภาพวาดทางศาสนา
เมื่อชมมหาวิหารเซวิญ่าด้านในจนครบแล้วอย่าลืมแวะมาเดินเล่นต่อที่ลานด้านนอก ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของอาสนวิหาร ลานนี้เรียกว่าลานแห่งส้ม “Patio de los Naranjos” ได้รับการตั้งชื่อตามต้นส้ม 66 ต้น ที่ปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบ และมีน้ำพุขนาดเล็กที่ช่วยสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับพื้นที่ ในอดีตลานนี้เคยเป็นลานหลักของมัสยิดและใช้สำหรับเป็นทางเข้าหอระฆังกิรัลดา ถ้ามองไปทางซ้ายมือจะพบกับประตู “Puerta del Perdón” ซึ่งชื่อเรื่องซุ้มโค้งสไตล์มูเดคาร์ที่สวยงามและงานแกะสลักอันวิจิตรบรรจง ปัจจุบันประตูนี้ใช้สำหรับเป็นทางออกเมื่อชมมหาวิหารเซวิญ่าเสร็จนั้นเอง
เที่ยวเซวิญ่า: จัตุรัสพลาซาเดอเอสปานา (Plaza de España)
จากมหาวิหารเซวิญ่าเราจะไปต่อกันที่จัตุรัสพลาซาเดอเอสปานา ซึ่งเป็นที่เที่ยวยอดนิยมอีกหนึ่งแห่งของเซวิญ่า จัตุรัสนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่สวนสาธารณะ “Parque de María Luisa” ถูกสร้างขึ้นสำหรับงานนิทรรศการ Ibero-American Exposition ในปี 1929 โดยเป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งของสถาปัตยกรรมแบบภูมิภาคนิยม ผสมผสานอิทธิพลต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นอิฐเปลือย กระเบื้องเซรามิก และงานเหล็กดัด รวมถึงสไตล์การฟื้นฟูเรอเนซองส์และการฟื้นฟูมัวร์จากหลายศตวรรษก่อน
เมื่อไปยืนอยู่ใจกลางพลาซาเดอเอสปานาเราจะพบกับลักษณะเด่นคืออาคารรูปครึ่งวงกลม มีน้ำพุประดับตั้งเด่นสง่าอยู่ตรงกลาง ในขณะที่พื้นหลักถูกคั่นด้วยคลองขนาดเล็กและมีสะพานเป็นทางเดินเชื่อมโยงไปยังอาคารส่วนต่าง ๆ ลักษณะอาคารทรงกลมนี้แสดงถึงการโอบกอดอดีตอาณานิคมของสเปน เช่นเดียวกับสะพานที่เป็นตัวแทนอาณาจักรโบราณของสเปน
ลักษณะเด่นอีกหนึ่งอย่างของพลาซาเดอเอสปานาที่สังเกตุเห็นก็คือการประดับด้วยกระเบื้องเซรามิกหรูหราที่เรียกว่า “Azulejos” โดยมีลวดลายเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ แสดงถึงฉากจากจังหวัดต่าง ๆ ของสเปน นักท่องเที่ยวสามารถพบกระเบื้องสีสันสดใสเหล่านี้ได้ตามส่วนต่าง ๆ ของอาคาร รวมถึงซุ้มส่วนหน้าของอาคารหลักที่เป็นตัวแทน 48 จังหวัดของสเปน บริเวณนี้ยังมีที่นั่งเหมาะสำหรับการเลือกเก็บภาพสวย ๆ อีกด้วย
นอกจากนี้จัตุรัสพลาซาเดอเอสปานายังเคยเคยปรากฏในภาพยนตร์หลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง “Star Wars: Episode II – Attack of the Clones” ซึ่งใช้เป็นสถานที่ของเมืองธีดบนดาวเคราะห์นาบู การได้มาเดินเที่ยวด้วยตัวเองจึงไม่เพียงแต่ได้ชื่นชมความงามทางสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่ยังได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาทั้งในตอนกลางวันและกลางคืนอีกด้วย นับว่าเป็นกิจกรรมที่ทำได้ฟรีแบบไม่เสียค่าเข้าชมเลย
เที่ยวเซวิญ่า: แลนด์มาร์คเห็ดแห่งเซวิญ่า (Setas de Seville)
ชมพลาซาเดอเอสปานาเสร็จแล้วเราจะเปลี่ยนบรรยากาศไปชมสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าของเซวิญ่ากันบ้าง นั้นก็คือแลนด์มาร์คเห็ดแห่งเซวิญ่า หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Metropol Parasol” และมักเรียกกันว่า “เห็ดแห่งเซวิญ่า” เนื่องจากมีลักษณะคล้ายป่าเห็ดขนาดยักษ์นั้นเอง
แลนด์มาร์คเห็ดแห่งเซวิญ่าเป็นสถาปัตยกรรมที่สำคัญสุดแห่งหนึ่งในเมือง ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวเยอรมัน และก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2554 ประกอบด้วยโครงไม้ขนาดใหญ่ที่มองแล้วคล้ายร่มกันแดด 6 ชิ้น ซึ่งตั้งอยู่เหนือจัตุรัส La Encarnación ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 150 x 70 เมตร ในระหว่างการก่อสร้างแลนด์มาร์คเห็ดแห่งนี้ยังมีการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญ รวมถึงซากดึกดำบรรพ์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 จนถึงยุคอัลโมฮัด ตลอดจนเครื่องปั้นดินเผา สิ่งประดิษฐ์ และอื่น ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้มีการจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ชั้นใต้ดิน
นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นหรือนั่งพักผ่อนในจัตุรัสที่มีบรรยากาศดี หรือขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นด่านฟ้าเพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามของเมืองเซวิญ่าแบบพาโรนามา บริเวณนี้ยังสวยงามเป็นพิเศษในตอนกลางคืนด้วยไฟประดับหลากสี นอกจากเดินเล่นชมวิวแล้วชั้นล่างของแลนด์มาร์คเห็ดแห่งเซวิญ่ายังเป็นที่ตั้งของตลาดดั้งเดิม (Mercado de la Encarnación) ที่รวมแผงขายอาหารท้องถิ่นกว่า 40 ร้านให้ได้เลือกทานกันอีกด้วย
เที่ยวเซวิญ่า: หอจดหมายเหตุอินดีส (Archivo de Indias)
สำหรับใครที่ชอบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ลองแวะไปที่หอจดหมายเหตุอินดีส ตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังอัลคาซาร์แห่งเซวิญ่า ความน่าสนใจของสถานที่แห่งนี้ก็คือการจัดเก็บเอกสารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเมืองเซวิญ่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสำรวจและการล่าอาณานิคมของจักรวรรดิสเปนในทวีปอเมริกา โดยมีการก่อตั้งในศตวรรษที่ 18 ทำหน้าที่รวบรวมคอลเลกชันเอกสารจำนวนมหาศาล รวมถึงจดหมาย แผนที่ พระราชกฤษฎีกา และรายงานที่บันทึกเหตุการณ์บทบาทสำคัญของจักรวรรดิสเปนในการสร้างโลกใหม่
หอจดหมายเหตุอินดีสยังเชื่อมโยงไปถึงสภาแห่งการค้าที่ตั้งอยู่ในพระราชวังอัลคาซาร์แห่งเซวิญ่า (ฝั่งขวามือด้านตะวันตกของลานแห่งการล่า) ซึ่งเกิดจากห้อง 2 ห้อง คือ ห้องพลเรือเอก (The Admiral’s Room) และห้องผู้ชม (The Audience Chamber) ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสภาการค้าแห่งอเมริกา (House of Trade of the Indies) ก่อตั้งในปี 1503 โดยสมเด็จพระราชินีอิซาเบลลาที่ 1 แห่งแคว้นกัสติยา และกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งอารากอน เพื่อเป็นโกดังศุลกากรสำหรับควบคุมการค้า การเดินเรือ และการสำรวจดินแดนทวีปอเมริกาที่เพิ่งค้นพบ ต่อมาได้ย้ายได้ไปที่หอจดหมายเหตุแห่งอินดีสนั้นเอง
สภาแห่งการค้าทำหน้าที่จนถึงปี 1717 ก่อนจะย้ายไปยังสำนักงานใหญ่ที่เมืองกาดิซของแคว้นอันดาลูเซีย และทำหน้าที่ต่อจนถึงปี 1790 ในที่สุดก็ถูกยุบในศตวรรษที่ 18 เนื่องจากการปรับโครงสร้างองค์กรของรัฐบาล รวมถึงความสำคัญของเซวิญ่าในฐานะท่าเรือการค้าที่ลดลง และเปลี่ยนจุดสนใจด้านการบริหารไปยังกรุงมาดริดแทน หอจดหมายเหตุอินดีสจึงเปรียบเสมือนคลังสมบัติที่วัดค่าไม่ได้ โดยนำเสนอมุมมองที่หลากหลายต่อผู้เยี่ยมชม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความทะเยอทะยาน ความสำเร็จ และความขัดแย้งในช่วงเวลาสำคัญนี้ในประวัติศาสตร์
นอกจากเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจแล้ว หอจดหมายเหตุอินดีสยังถือเป็นผลงานชิ้นเอกของสถาปัตยกรรมเรอเนซองส์ของสเปนอีกด้วย โดยมีลานภายในและแกลเลอรีอันหรูหรา เหมาะสำหรับเก็บภาพสวย ๆ ได้อย่างดี รวมถึงสามารถเดินเล่นตามส่วนต่าง ๆ เพื่อชมจดหมายเหตุที่จัดเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบในตู้ไม้แกะสลักขนาดใหญ่ ที่สำคัญหอจดหมายเหตุอินดีสมีขนาดไม่ใหญ่มากสามารถเดินชมได้ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง
เที่ยวเซวิญ่า: ย่านประวัติศาสตร์ซานตาครูซ (Barrio Santa Cruz)
มาเที่ยวเซวิญ่าถ้าไม่แวะไปเดินเล่นที่ย่านตาครูซก็อาจจะพลาดบรรยากาศดั้งเดิมของเมืองไป ย่านนี้เป็นย่านเก่าแก่และงดงาม โดยมีต้นกำเนิดมาจากยุคกลาง เมื่อครั้งหนึ่งเคยเป็นย่านของชาวยิวที่เจริญรุ่งเรืองจนถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันเป็นที่รู้จักจากถนนอันคดเคี้ยว ผสมผสานอาคารสีขาวแบบดั้งเดิมพร้อมระเบียงเหล็กดัด และจัตุรัสอันมีเสน่ห์ที่เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้
ย่านซานตาครูซยังมีบรรยากาศที่ครึกครื้นซึ่งเต็มไปด้วยร้านทาปาสบาร์ดั้งเดิม ร้านอาหาร และร้านค้าต่าง ๆ มากมาย และยังรวมที่เที่ยวน่าสนใจไว้หลายแห่ง เช่น พระราชวังอัลคาซาร์แห่งเซวิญ่า หอจดหมายเหตุอินดีส ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมของเมืองสไตล์บาโรก สวนสาธารณะมูริลโล และโรงละครลากาซาเดลฟลาเมงโก
การเดินเที่ยวย่านซานตาครูซสามารถใช้จุดเริ่มต้นจากประตูทางออกของลานธงดั้งเดิม (Patio de Banderas) ของพระราชวังอัลคาซาร์แห่งเซวิญ่า (กดเพื่อดูแผนที่) จากนั้นเลี้ยวขวาไปตามถนน Joaquín Romero Murube จะเจอกับจัตุรัสเล็ก ๆ น่ารักแห่งแรกก็คือ Plaza de la Alianza ซึ่งมีน้ำพุประดับอยู่ใจกลางและโอบล้อมพื้นที่ทั้งหมดด้วยอาคารสีเหลืองและสีแดงสดใส อาคารเหล่านี้เป็นที่ตั้งของร้านอาหารและโรงแรมที่พักใกล้พระราชวัง
จากจัตุรัสนี้เดินตรงไปตามถนน C. Rodrigo Caro ที่อยู่ติดกับกำแพงพระราชวังและเลี้ยวซ้ายไปเล็กน้อยจะเจอกับมุมถ่ายภาพที่สวยงามอีกหนึ่งแห่ง โดยมีฉากหลังเป็นบ้านหลังสีขาวขนาดใหญ่สลับกับสีเหลืองจากขอบหน้าต่างและประตู พอเก็บภาพสวย ๆ เสร็จแล้วเดินผ่านจุดนี้ไปจะเจอกับจัตุรัส Plaza Doña Elvira ซึ่งเป็นหนึ่งในจัตุรัสที่สวยที่สุดในย่านซานตาครูซเลยก็ว่าได้
จัตุรัส Plaza Doña Elvira โดดเด่นด้วยต้นส้มและม้านั่งที่ประดับด้วยกระเบื้องเซรามิกสีฟ้า มีน้ำพุขนาดเล็กตั้งอยู่ตรงกลาง รอบ ๆ จัตุรัสมีร้านอาหาร ร้านขายของ พิพิธภัณฑ์ และโรงแรมที่พักตั้งแต่ 3 ดาวขึ้นไป ถ้าใครมีเวลาไม่รีบแนะนำให้นั่งพักผ่อนที่จัตุรัสนี้ บรรยากาศเย็นสบายม๊ากมาก
เดินต่อจากจัตุรัส Plaza Doña Elvira ไปตามถนนสายเล็กที่ชื่อว่า Gloria จะเจอกับจัตุรัสขนาดเล็กอีกหนึ่งแห่งที่มีบรรยากาศน่ารัก (Plaza de los Venerables) ซึ่งโดดเด่นด้วยอาคารสไตล์บาโรก (Hospital de los Venerables) ที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือ ปัจจุบันกลายมาเป็นศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมของเมือง ว่ากันว่าด้านในเป็น Hidden jam ของย่านซานตาครูซที่ซ่อนตัวอยู่ในลานขนาดเล็กล้อมด้วยอาคารสีชมพูสดใสซึ่งจัดแสดงผลงานศิลปะ และผสมผสานกับเรื่องราวทางศาสนาด้วยโบสถ์ขนาดเล็กที่ประดับด้วยจิตกรรมฝาผนังอย่างงดงาม ถ้ามีเวลาประมาณ 30-45 นาทีลองแวะเข้าไปชมกันได้ อย่าลืมเตรียมค่าตั๋วไว้ด้วย 12 ยูโร
นอกจากจัตุรัสขนาดเล็กที่มีบรรยากาศน่ารักที่เราจะได้เห็นในย่านซานตาครูซแล้ว ถ้าเดินเล่นตามตรอกซอกซอยแคบ ๆ ไปเรื่อย ๆ จะพบว่าย่านนี้รวมร้านค้าบูติกไว้เยอะมาก แต่ละร้านขายทุกอย่างตั้งแต่พัดแบบสเปนดั้งเดิมไปจนถึงกระเบื้องเซรามิกที่วาดด้วยมือ รวมถึงชุดเดรสสวย ๆ เหมาะสำหรับใส่เดินเที่ยวช่วงหน้าร้อน และของชำร่วยสไตล์อันดาลูเซียในราคาจับต้องได้
ในตอนท้ายของการเดินเที่ยวที่ย่านซานตาครูซเส้นทางจะนำเรากลับไปยังมหาวิหารเซวิญ่าผ่านถนน C. Mateos Gago บริเวณนี้รวมบาร์ทาปาสแบบดั้งเดิม ร้านอาหาร และร้านกาแฟไว้มากมาย ที่สำคัญมีร้านทาปาสชื่อดัง “Bodega Santa Cruz” ตั้งอยู่ตรงทางแยกถนน C. Rodrigo Caro อีกด้วย ร้านนี้นอกจากอาหารจะอร่อยและราคาไม่แพงแล้ว บรรยากาศยังดีอีกด้วย มีที่นั่งให้เลือกจับจองทั้งด้านในและด้านนอก เอาเป็นว่าเหมาะสำหรับสำหรับคนที่อยากนั่งชิวพร้อมทานทาปาสดั้งเดิมไปในตัว
เที่ยวเซวิญ่า: พลาซาเดลกาบิลโด (Plaza del Cabildo)
เดินเที่ยวย่านซานตาครูซกันแล้วอย่าลืมแวะไปชมจัตุรัสเก่าแก่ที่มีเสน่ห์อีกหนึ่งแห่งของเซวิญ่า นั้นก็คือพลาซาเดลกาบิลโด ตั้งอยู่ห่างจากมหาวิหารเซวิญ่าเพียง 3 นาที จัตุรัสนี้เรียกได้ว่าเป็น Hidden jam อีกหนึ่งแห่งในย่านเมืองเก่า ถ้าไม่เดินมาดูด้วยตัวเองแถบไม่รู้เลยว่ามีสถานที่สวย ๆ แบบนี้ซ่อนอยู่ พอไปถึงแล้วจะเห็นจัตุรัสครึ่งวงกลมประดับอาคารที่มีส่วนโค้งพร้อมลวดลายจิตกรรมฝาผนังสีส้มสดใส ในขณะที่ใจกลางเป็นที่ตั้งของน้ำพุขนาดเล็ก ที่สำคัญมีบรรยากาศที่เงียบสงบมาก เหมาะสำหรับนั่งผ่อนคลายและเก็บภาพสวย ๆ
เที่ยวเซวิญ่า: พระราชวังปาลาซิโอเดอดูเอนญาส (Palacio de las Dueñas)
พระราชวังปาลาซิโอเดอดูเอนญาสเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเซวิญ่าที่เราเข้าชมแบบไม่ได้คาดหวังมาก่อน เพราะเห็นรีวิวจากอินเทอร์เน็ตด้วยรูปกิ่งก้านของต้นดอกไม้ที่เลื้อยไปตามผนังของอาคารและมีเวลาเหลือก็เลยลองแวะไป พอได้เข้าชมจริง ๆ แล้วต้องบอกว่าไม่ผิดหวังเลย เพราะสวยอลังการมากและที่สำคัญรวมความน่ารักไว้หลายมุม จนต้องยกให้เป็นไฮไลท์ 3 แห่งของทริปเซวิญ่าคู่กับพระราชวังอัลคาซาร์แห่งเซวิญ่าและมหาวิหารเซวิญ่าเลย
ความน่าสนใจของพระราชวังปาลาซิโอเดอดูเอนนอกจากจะเป็นพระราชวังและที่อยู่อาศัยเก่าแก่ที่สร้างขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 15 โดยต้นตระกูลปิเนดาแล้ว ยังเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์และชนชั้นสูงของสเปนอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะราชวงศ์อัลบาซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางที่โดดเด่นที่สุดของสเปน ทำหน้าที่เป็นที่อยู่อาศัยของพวกเขามาหลายชั่วอายุคน ตัวพระราชวังได้รับการบูรณะหลายครั้งตามยุคสมัยและรสนิยมของผู้อยู่อาศัย โดยแต่ละครั้งก็เพิ่มความงดงามทางสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากสไตล์มูเดคาร์และสไตล์กอทิกให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
ด้านในพระราชวังปาลาซิโอเดอดูเอนแบ่งออกเป็นหลายส่วน โดยเริ่มจากส่วนนอกที่เป็นแพงสี่เหลี่ยมล้อมรอบพื้นที่ทั้งหมด เมื่อเดินผ่านกำแพงนี้ไปจะเจอกับสวนดอกไม้และสมุนไพรที่มีบรรยากาศดี โดดเด่นด้วยทางเดินในสวน มีน้ำพุขนาดเล็กตั้งอยู่ใจกลาง และมีม้านั่งตั้งอยู่ตามจุดต่าง ๆ สำหรับนั่งพักผ่อนและดื่มด่ำกับความเงียบสงบ แต่ละจุดยังมีมุมถ่ายภาพที่สวยงามสามารถมองเห็นต้นปาล์มอายุกว่าร้อยปีเป็นฉากหลัง ที่สำคัญได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากต้นส้มที่ปลูกไว้มากมายในสวนอีกด้วย
สวนด้านนอกที่ว่าสวยและเงียบสงบแล้วถ้าเดินเข้าไปด้านในจะพบกับไฮไลท์ของจัตุรัสขนาดใหญ่ที่เพิ่มเสน่ห์ความน่ารักขึ้นเป็นสองเท่า จัตุรัสนี้ล้อมรอบด้วยห้องต่าง ๆ ซึ่งโดดเด่นด้วยส่วนโค้งตามรูปแบบสถาปัตยกรรมมูเดคาร์และสไตล์กอทิกที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว แต่ละด้านมีทางเดินนำไปสู่น้ำพุขนาดเล็กที่ประดับด้วยกระเบื้องอย่างสวยงาม และโอบล้อมรับพื้นที่ทั้งสี่ด้านด้วยต้นปาล์มอายุกว่าร้อยปี มองแล้วรู้สึกเงียบสงบและผ่อนคลายจนอยากจะยืนชมเพื่อซึบซับรรยากาศเหล่านี้นาน ๆ
นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นรอบจัตุรัสเพื่อเก็บภาพความประทับใจ รวมถึงสามารถเข้าชมห้องด้านในได้อีกด้วย โดยแต่ละห้องประดับด้วยงานศิลปะอันงดงาม เฟอร์นิเจอร์โบราณ รวมถึงงานศิลปะการตกแต่งถักทอด้วยภาพ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของยุคสมัยที่ล่วงลับไปแล้ว และยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับรสนิยมทางวัฒนธรรมของตระกูลขุนนางที่อาศัยอยู่ในพระราชวัง นับว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีในพระราชวังแห่งนี้
โดยรวมแล้วต้องบอกว่าพระราชวังปาลาซิโอเดอดูเอนญาสเป็นที่เที่ยวสุดน่ารักของเซวิญ่าที่ให้ความลงตัวอย่างพอดิบพอดี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสถาปัตยกรรม การตกแต่งภายในห้องต่าง ๆ รวมถึงสวนอันกว้างขวางที่ให้การพักผ่อนไปในตัว แม้พระราชวังแห่งนี้จะไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าพระราชวังอัลคาซาร์แห่งเซวิญ่า แต่ก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากความเล็กนี้สำหรับการเข้าชมได้ภายใน 1 ชั่วโมง ตั๋วเข้าชมยังรวมเครื่องออดิโอไกด์สำหรับสำฟังข้อมูลเพิ่มเติมด้วย เช่นเดียวกับการบริการจากพนักงานที่เป็นมิตร เมื่อทุกอย่างมารวมกันถ้าไม่เชียร์ให้ลองมาที่นี่ด้วยตัวเองสักครั้งก็อาจจะพลาด Hidden jam อีกหนึ่งแห่งของเซวิญ่าไป
เที่ยวเซวิญ่า: ย่านทริอานา (Triana)
เที่ยวย่านเมืองเก่าของเซวิญ่ากันแล้วต้องไม่พลาดที่จะไปเดินเล่นที่ย่านเพื่อนบ้านอย่างทริอานากันบ้าง ย่านนี้เป็นย่านเก่าแก่ที่รวมความมีชีวิตชีวาไว้ได้อย่างน่าสนใจ ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำกัวดัลกิบีร์ (Guadalquivir) ถ้าเดินมาจากมหาวิหารเซวิญ่าใช้เวลาประมาณ 15 นาที
พอมาถึงแล้วจะเห็นสะพาน Puente de Triana ซึ่งเป็นสะพานเหล็กเก่าแก่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับใจกลางเมือง ถ้าเดินตามสะพานนี้ไปจะมองเห็นทิวทัศน์อันน่าทึ่งของแม่น้ำและเส้นขอบฟ้าของเซวิญ่า โดยเฉพาะตอนใกล้พระอาทิตย์ตกเย็นบรรยากาศดีมาก มีคนมานั่งเล่นชมวิวริมแม่น้ำ ในน้ำก็มีการพายเรือ หรือจะนั่งเรือเที่ยวก็ได้เช่นกัน
ในอดีตย่านทริอานาเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ชาวโรมันและชาวมัวร์ ไปจนถึงชุมชนชาวยิวและยิปซี ย่านนี้ก็เลยเต็มไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมอันหลากหลายที่ได้ทิ้งร่องรอยไว้ตามสถาปัตยกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานกระเบื้องเซรามิกที่เราจะเห็นอยู่ตามอาคารบ้านเรือน รวมถึงถนนสายเล็ก ๆ ที่ปูด้วยหิน และกลิ่นหอม ๆ ของอาหารสเปนที่แตะจมูกจากร้านอาหารและบาร์ทาปาสดั้งเดิมตามสองฝั่งถนน เมื่อทุกอย่างมารวมตัวกันนับว่าเป็นย่านน่ารักที่เหมาะสำหรับการปิดท้ายของวันเลยทีเดียว
เที่ยวเซวิญ่า: หอคอยแห่งศตวรรษที่ 12 (Torre del Oro)
จากริมแม่น้ำกัวดัลกิบีร์ถ้ามองไปจนสุดเกือบจะถึงสะพานอีกฝั่ง (Puente de San Telmo) จะเห็นหอคอยตอร์เรเดลโอโรตั้งอยู่ทางด้านซ้ายมือ (Torre del Oro) หอคอยนี้รู้จักกันในชื่อ “หอคอยทองคำ” มาจากแสงสีทองของแผ่นกระเบื้องด้านนอกที่เปล่งประกายเมื่อแดดส่องถึง ซึ่งปัจจุบันหายไปแล้ว หอคอยถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 13 ในสมัยราชวงศ์อัลโมฮัด ทำหน้าที่ปกป้องทางเข้าเมืองเซวิญ่าจากภัยคุกคามทางแม่น้ำ และยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบป้อมปราการที่รวมถึงหอคอยอื่น ๆ
ปัจจุบันหอคอยตอร์เรเดลโอโรเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ทางทะเลขนาดเล็ก (Museo Naval de Sevilla) ที่จัดแสดงประวัติศาสตร์การเดินเรืออันยาวนานของเซวิญ่า ด้านบนหอคอยยังให้ทิวทัศน์ที่สวยงามของเมือง นับว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ยอดนิยมสำหรับการถ่ายภาพริมแม่น้ำกัวดัลกิบีร์
เที่ยวเซวิญ่า: ตลาดทริอานา (Mercado de Triana)
นอกจากหอคอยตอร์เรเดลโอโรที่เป็นจุดเด่นใกล้สะพานทริอานาแล้ว ถ้าเดินตามสะพานนี้ไปจนสุดถนนจะเจอกับตลาดท้องถิ่น Mercado de Triana ตั้งอยู่ทางขวามือ ตลาดนี้ขึ้นชื่อเรื่องผลิตผลสดใหม่และสินค้าหัตถกรรมแบบอันดาลูเซียแท้ ๆ โดยรวมแผงขายของไว้มากมาย ตั้งแต่ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ชีส ไปจนเครื่องเทศ และผลิตภัณฑ์งานฝีมือ ฯลฯ เรียกได้ว่ามีครบเลย
ตลาดทริอานายังมีบาร์และร้านอาหารเล็ก ๆ สำหรับคนที่อยากลองทาปาสและอาหารแบบดั้งเดิมที่ปรุงด้วยวัตถุดิบสดใหม่ ร้านที่ไปลองแล้วอาหารอร่อยและราคาไม่แพงตั้งอยู่ทางด้านหลังตลาดชื่อว่า “Bar la Muralla” (หมายเลข 72) ร้านนี้ขายทั้งอาหารทะเล เนื้อย่าง ไส้กรอกไอบีเรีย สตูว์โฮมเมด รวมถึงปลาทอด เมนูที่แนะนำคือข้าวผัดสเปนและเนื้อทอดฟลาเมนกินซึ่งเป็นอาหารดั้งเดิมของอันดาลูเซีย ราคาอาหารเฉลี่ยคนละประมาณ 12 ยูโร ร้านเปิดทุกวัน (ยกเว้นวันอาทิตย์) ตั้งแต่เวลา 07:00-16:00 น.
เที่ยวเซวิญ่า: พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์เซวิญ่า (Seville Museum of Fine Arts)
ในเซวิญ่ามีพิพิธภัณฑ์ให้เลือกเข้าชมหลายแห่ง เช่นเดียวกับพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ที่มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย พิพิธภัณฑ์นี้คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้รักงานศิลปะเลยก็ว่าได้ โดยตั้งอยู่ในคอนแวนต์เก่าสมัยศตวรรษที่ 17 และถือเป็นงานศิลปะในตัวเอง
ด้านในพิพิธภัณฑ์ประกอบด้วยลานขนาดใหญ่และสวนอันเงียบสงบ ในขณะที่ห้องโถงตามอาคารชั้นต่าง ๆ ถูกดัดแปลงเป็นเวทีสำหรับการเดินทางผ่านโลกแห่งศิลปะสเปน ผ่านคอลเลกชันที่เป็นขุมสมบัติของผลงานชิ้นเอกตั้งแต่ยุคกลางจนถึงศตวรรษที่ 20 จากศิลปินชื่อดังหลายคน
พิพิธภัณฑ์ยังเน้นการจัดแสดงภาพวาดที่เชื่อมโยงเรื่องราวทางศาสนาและประวัติศาสตร์ รวมถึงงานประติมากรรม มัณฑนศิลป์ และวัตถุทางศาสนา เพื่อนำเสนอมุมมองที่ครอบคลุมเกี่ยวกับโลกศิลปะตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยรวมแล้วใครที่ชอบงานศิลปะภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงบลองแวะไปกันได้ ที่สำคัญค่าเข้าไม่แพงและมีออดิโอไกด์ให้รับฟังข้อมูลฟรีอีกด้วย
เที่ยวเซวิญ่า: สนามสู้วัวกระทิงเก่าแก่ของสเปน (Plaza de Toros Seville)
รู้หรือไม่ว่าในเซวิญ่ามีสนามสู้วัวกระทิงที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในสเปน ตั้งอยู่ที่จัตุรัส Plaza de Toros Seville หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “Maestranza” จัตุรัสที่ว่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่สู้วัวกระทิงเท่านั้น แต่ยังเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและประเพณีของสเปนที่มีชีวิตตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ซึ่งทำหน้าที่เป็นเวทีศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่ามาธาดอร์สวมชุดหลากสีสัน และเผชิญหน้ากับวัวผู้น่าเกรงขามในการเต้นรำแห่งความกล้าหาญ สิ่งเหล่านี้ผสมผสานทั้งทักษะการฝึกฝนและประเพณีเข้าด้วยกัน
แม้ว่าประเพณีการสู้วัวกระทิงจะเป็นเรื่องที่แบ่งขั้วและเกิดการถกเถียงในปัจจุบัน แต่สนามสู้วัวกระทิงแห่งนี้ได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การสู้วัวกระทิงในมุมที่เจาะลึกผ่านพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กด้านใน ที่จัดแสดงวัตถุทุกประเภทที่แสดงถึงประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของการสู้วัวกระทิงในสเปน ครอบคลุมถึงภาพวาด โปสเตอร์ เครื่องแต่งกาย รวมถึงชมสนามแข่งขันจริงที่มีประติมากรรมของนักสู้วัวกระทิงที่มีชื่อเสียง
ค้นหาและเปรียบเทียบที่พักในเซวิญ่า
การเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองเซวิญ่า
เซวิญ่ามีสนามบินหลักที่เรียกว่าสนามบินเซวิญ่า (Seville Airport; SVQ) ให้บริการในภูมิภาคอันดาลูเซียตะวันตก และยังเป็นสนามบินที่พลุกพล่านที่สุดเป็นอันดับ 6 ของสเปน ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเซวิญ่าไปทางตะวันออกประมาณ 10 กม. นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงใจกลางเมืองได้อย่างง่ายดายด้วยรถบัสสนามบินภายในเวลา 35 นาที
การเดินทางในเซวิญ่าด้วยระบบขนส่งสาธารณะ
เซวิญ่ามีระบบขนส่งมวลชนที่ได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดี ทำให้การเดินทางรอบเมืองเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายโดยใช้รูปแบบการขนส่งที่หลากหลาย ข้อมูลด้านล่างคือวิธีเดินทางในเซวิญ่าด้วยระบบขนส่งสาธารณะ
ค่าโดยสารรถไฟใต้ดินเที่ยวเดียวแบ่งตามโซนระหว่าง 1.35-1.8 ยูโร ตั๋วไปกลับราคาระหว่าง 2.70-3.60 ยูโร ถ้าวางแผนที่จะใช้รถไฟใต้ดินบ่อย ๆ แนะนำให้ซื้อบัตรแบบเหมาจ่ายจะคุ้มกว่า (One Day Bonus) บัตรนี้ใช้เดินทางได้ไม่จำกัดเที่ยวในหนึ่งวัน แต่เอาจริง ๆ การเดินเที่ยวในเซวิญ่าสะดวกเพราะเป็นเมืองเล็ก ดังนั้นการซื้อตั๋วเหมาจ่ายรายวันอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด
การเดินทางไปเซวิญ่าจากอัมสเตอร์ดัม
อัมสเตอร์ดัมตั้งอยู่ห่างจากเซวิญ่าประมาณ 2,234 กม. นักท่องเที่ยวที่ต้องการไปเที่ยวเซวิญ่าสามารถเชื่อมต่อการเดินทางจากเมืองใกล้เคียงได้สะดวก เช่น อัมสเตอร์ดัม บรัสเซลส์ ปารีส บอร์โด บาร์เซโลนาหรือมาดริด ครอบคลุมตัวเลือกด้วยเที่ยวบิน รถไฟ และรถยนต์ ดังรายละเอียด
เที่ยวเซวิญ่าใช้งบเท่าไร
ค่าใช้จ่ายสำหรับเที่ยวเซวิญ่า 2 วัน 3 คืน สำหรับ 2 คน อยู่ที่ประมาณ 758 ยูโร คิดเป็นเงินไทยประมาณ 29,000 บาท ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ค่าที่พัก การเดินทาง อาหาร กิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงค่าที่จอดรถและค่าทางด่วน ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน เช็คราคาและจองตั๋วเครื่องบินราคาประหยัดได้ที่นี่
budget
โรงแรม: 68-160 ยูโร
โฮสเทล: 20-110 ยูโร
การเดินทาง: 5-35 ยูโร
ซื้อตั๋วเดินทาง
กิจกรรมและตั๋ว: 10-15 ยูโร/แห่ง
รถเช่า: 18-56 ยูโร
อาหาร: 15-25 ยูโร/มื้อ
ที่จอดรถ: 15-20 ยูโร/วัน
เที่ยวอย่างอุ่นใจไปกับบัตรเดบิต Wise สำหรับใช้จ่ายทั่วโลก สามารถใช้ถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มต่างประเทศตามอัตราแลกเปลี่ยนจริงโดยไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง ใช้ชำระค่าอาหาร จองที่พักหรือตั๋วเครื่องบิน รวมถึงในร้านค้าออนไลน์ทั่วโลกกว่า 50+ สกุลเงิน ทั้งยังรองรับการชำระผ่าน MasterCard, Apple Pay และ Google Pay โดยไม่ต้องกังวลในการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ใช้มานานกว่า 4 ปีไม่ผิดหวัง → สมัครรับบัตรเดบิต Wise ไว้ใช้ประโยชน์ด้วยตัวเองตอนนี้เลย
แผนที่เที่ยวเซวิญ่าด้วยตัวเอง
แหล่งข้อมูลวางแผนเที่ยว
Thank you
การเปิดเผย: บทความนี้มีลิงก์แอฟฟิลิเอทบางส่วน การกดที่ลิงก์ไม่มีค่าใช้จ่าย หากซื้อสินค้าหรือบริการจากลิงก์ดังกล่าว เราอาจได้รับค่ากำลังใจเล็กน้อยสำหรับนำไปพัฒนาบล็อก 🧡