อาเมอร์สโฟร์ต (Amersfoort) เมืองใหญ่เป็นอันดับสองของจังหวัดอูเทร็คท์ ตั้งอยู่ตอนกลางของเนเธอร์แลนด์ ห่างจากสถานีรถไฟเมืองอูเทร็คท์เพียง 15 นาที อาเมอร์สโฟร์ตเป็นเมืองสมัยใหม่ที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงรักษาความเป็นศูนย์กลางของเมืองแบบยุคกลางไว้เป็นอย่างดี โดยรวมสถานที่เที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์ไว้หลายแห่ง เช่น โบสถ์ Onze Lieve Vrouwetoren ที่มีหอคอยสำหรับชมทิวทัศน์อันงดงามของเมือง ใจกลางเมืองเก่ายังมีมหาวิหาร Sint-Joriskerk ที่มีหอคอยโรมันจากปีศตวรรษที่ 14 รวมไปถึงพิพิธภัณฑ์ Museum Flehite ทำหน้าที่บอกเล่าประวัติความเป็นมาของเมืองและรวมผลงานศิลปะไว้อย่างน่าสนใจ
ที่เที่ยวในเมืองอาเมอร์สโฟร์ต (Amersfoort)
โบสถ์กลางเมืองอาเมอร์สโฟร์ต (Onze Lieve Vrouwetoren)
Onze Lieve Vrouwetoren เป็นหนึ่งในที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ของเมืองอาเมอร์สโฟร์ต ตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟเมืองอาเมอร์สโฟร์ตเพียง 13 นาที โบสถ์นี้มาจากยุคกลางตอนปลายสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบกอทิกราวปี ค.ศ. 1450-1500 มีความสูง 98 เมตร ทำให้เป็นโบสถ์สูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเนเธอร์แลนด์รองจากมหาวิหารโดมในเมืองอูเทร็คท์และโบสถ์ใหม่ในอัมสเตอร์ดัม
ถ้ามองจากภายนอกจะเห็นว่าตัวโบสถ์มีสามสี ส่วนหัวมงกุฎมีหัวสีเทาซึ่งเป็นสีที่แตกต่างจากส่วนสีเทาของนาฬิกา และฐานก่อด้วยอิฐสีแดงชนิดหนึ่ง ในอดีตนั้นการก่อสร้างของส่วนนาฬิกาทำจากหินธรรมชาติซึ่งแข็งแรงและหนักกว่าอิฐ แต่เนื่องจากการหาหินธรรมชาติในเมืองอาเมอร์สโฟร์ตเป็นเรื่องยาก จึงมีการสร้างส่วนของนาฬิกาจากหินธรรมชาติเพียงบางส่วนและเปิดช่องตรงกลางเพื่อให้ผู้คนได้ยินเสียงระฆังด้านนอกโบสถ์
ส่วนฐานสร้างจากอิฐเนื่องจากหินธรรมชาติมีความยุ่งยากในการใช้งาน มีน้ำหนักมากและต้องตัดให้ได้ขนาดก่อน ดังนั้นเมื่อฐานของโบสถ์ไม่ต้องมีช่องเปิดขนาดใหญ่แบบส่วนของนาฬิกาจึงสร้างด้วยอิฐแทน ส่วนยอดมงกุฎนั้นย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ.1651 มีฟ้าผ่าลงบนหอคอยทำให้เกิดไฟไหม้หลังคาไม้ อย่างไรก็ตามด้วยความโชคดีมีช่างไม้คนหนึ่งนามว่า Lenaert Nicasius เป็นคนใช้ขวานตัดส่วนที่เป็นไม้ออกไปได้ จากนั้นจึงมีการสร้างมงกุฎใหม่ที่สง่างามขึ้นมาแทน
โบสถ์ Onze Lieve Vrouwetoren เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ในช่วงเดือนเมษายนถึงปลายเดือนตุลาคมเรายังสามารถเดินขึ้นบันได 346 ขั้นไปชมความสวยงามของทิวทัศน์ด้านบน (กับไกด์) วันไหนที่อากาศดียังสามารถมองเห็นเมืองอัมสเตอร์ดัมและอูเทร็คท์ได้อีกด้วย ทัวร์เดินขึ้นหอคอยมีทุกวันในรอบเวลาปกติ 14:00 น. ราคา 8.50 ยูโร ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง สามารถซื้อตั๋วได้ที่สำนักงานข้อมูลนักท่องเที่ยวเมืองอาเมอร์สโฟร์ต (VVV Amersfoort) ตั้งอยู่ทางด้านขวามือ (ถ้าหันหน้าเข้าหอคอย) หรือที่เว็บไซต์ Onze Lieve Vrouwetoren Ticket
เมื่อเดินชมโบสถ์และขึ้นหอคอยไปชมวิวที่สวยงามของเมืองอาเมอร์สโฟร์ตแล้วก็เดินต่อไปตามถนน Breestraat ซึ่งนำเราไปสู่พิพิธภัณฑ์ศิลปะและประวัติศาสตร์เมืองอาเมอร์สโฟร์ต (Museum Flehite) ระหว่างทางจะพบกับบ้านเรือนเก่าแก่ที่เป็นอนุสรณ์สถานอยู่หลายหลัง
บ้านสมัยศตวรรษที่ 16 (Huize Heimwee)
Huize Heimwee เป็นบ้านจากศตวรรษที่ 16 สร้างขึ้นบนฐานของกำแพงเมืองราวปี ค.ศ.1259 บ้านนี้มีผู้อยู่อาศัยหลายราย เริ่มจากในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เจ้าหน้าที่ของเทศบาลเมือง Leusden ได้อาศัยอยู่ที่นี่ ต่อมาเป็นนายกเทศมนตรีของเทศบาลอิสระ Hoogland ในเมืองอูเทร็คท์
หลังจากนั้นบ้านได้รับการปรับปรุงด้วยซุ้มปั้นใหม่และหน้าต่างบานเลื่อน ก่อนที่เทศบาลเมืองอาเมอร์สโฟร์ตจะปรับปรุงอาคารหลังนี้ให้เป็นบ้านพักของนายกเทศมนตรี หลังจากนั้นก็ขายในปี พ. ศ. 2519 สถาปนิกและศิลปินนามว่า Henk Rooimans ได้เข้าอาศัยอยู่ที่นี่นานกว่า 40 ปีกับภรรยาและลูก ๆ ของเขา ซึ่ง Rooimans เป็นบุตรชายของนักวางผังเมือง A.H. Rooimans ที่ดำรงตำแหน่งในเมืองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489-2523
เดินต่อไปจนสุดถนน Breestraat จะเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะและประวัติศาสตร์เมืองอาเมอร์สโฟร์ต ทางด้านหลังพิพิธภัณฑ์สามารถมองเห็นอาคารเดิมที่มาจากบ้านกำแพงในศตวรรษที่ 15 และ 16 ก่อนจะมีการสร้างใหม่และใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จนถึงปัจจุบัน
พิพิธภัณฑ์ศิลปะและประวัติศาสตร์เมืองอาเมอร์สโฟร์ต
Museum Flehite เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะและประวัติศาสตร์เมืองอาเมอร์สโฟร์ต ตั้งอยู่ในบ้านเก่าแก่สามหลังที่สร้างขึ้นในยุคกลางตอนปลายปี ค.ศ. 1540 ด้านในจัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับภูมิทัศน์ของเมืองจากศตวรรษที่ 17 เรื่องราวเกี่ยวกับรัฐบุรุษผู้โด่งดังชาวอาเมอร์สโฟร์ต รวมไปถึงภาพวาดจากจิตกรที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น Jacob van Campen, Randenbroek Van Campen และ Hendrik Jan Wolter
ส่วนห้องใต้หลังคายังมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์เก่าแก่ Eysink และภาพถ่ายจากสงครามปี ค.ศ. 1940-1945 เมื่อครั้งที่เมืองของอาเมอร์สโฟร์ตเคยถูกยึดครอง นอกจากนิทรรศการถาวรแล้วทางพิพิธภัณฑ์ยังมีการจัดนิทรรศการชั่วคราวเพื่อให้เกิดความหลากหลายได้อย่างน่าสนใจ
พิพิธภัณฑ์ Museum Flehite ยังเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือของ Amersfoort in C มูลนิธิและความร่วมมือของสถาบันทางวัฒนธรรมสี่แห่งในเมืองอาเมอร์สโฟร์ต ได้แก่ Mondriaanhuis, Kunsthal KAdE และ FASadE Architecture Center
เปิด: วันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 10:00-17:00 น. ราคาตั๋วเข้าชม 16 ยูโร หรือใช้บัตร Museumkaart เข้าชมฟรี จองตั๋วออนไลน์ก่อนเข้าชมได้ที่ Museum Flehite Amersfoort Ticket
ประตูเมืองอาเมอร์สโฟร์ต (Koppelpoort Gate)
ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะและประวัติศาสตร์เมืองอาเมอร์สโฟร์ตเดินตรงมาตามถนน Kleine Spui เพียง 3 นาทีจะเป็นที่ตั้งของประตูเมืองอาเมอร์สโฟร์ต (Koppelpoort Gate) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองที่ห้ามพลาดอย่างเด็ดขาดเพราะว่ามีความเก่าแก่ย้อนไปถึงปี ค.ศ. 1400 เลยทีเดียว
Koppelpoort Gate เป็นประตูจากยุคกลางมีแม่น้ำ Eem ไหลผ่านและมีความยาวประมาณ 18 กิโลเมตร ประตูเมืองสร้างเสร็จราวปี ค.ศ.1425 โดยผสมผสานระหว่างประตูทางบกกับประตูทางน้ำเข้าด้วยกัน และเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองแห่งที่สองซึ่งสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1380-1450
ตรงประตูเมืองหลายคนอาจจะสังเกตเห็นว่ามีกล่องสีดำติดอยู่ แล้วกล่องนี้มีหน้าที่อะไรนะ? คำตอบก็คือเป็นช่องเชิงเทียนหรือที่เรียกในภาษาดัตช์ว่า “mezekouw” มีไว้เพื่อใช้ป้องกันเมือง ตรงเชิงเทียนสามารถเปิดได้คันทวยต่อด้วยกล่องดำที่มีความร้อน เมื่อมีฝ่ายตรงข้ามหรือข้าศึกที่อยู่บนเรือพยายามลอดใต้ประตูเมืองเข้ามา พวกเขาจะถูกกล่องดำนั้นโยนใส่
เรื่องน่ารู้อีกหนึ่งอย่างเดี่ยวกับประตูเมืองอาเมอร์สโฟร์ตก็คือใช้หินทุกชนิดในการสร้าง ในอดีตผู้คนที่ต้องการอาศัยอยู่ในเมืองอาเมอร์สโฟร์ตต้องมีส่วนร่วมในการสร้างกำแพงเมือง และแทนที่จะต้องจ่ายเป็นเงินเทศบาลกลับขอให้เป็นหินแทน ดังนั้นผู้คนจึงต้องซื้อหินด้วยตนเองและรวบรวมหินเหล่านั้นกลับมาให้เทศบาล บ้างก็มาจากซัพพลายเออร์หลายรายทั่วประเทศ และอาจเป็นไปได้ว่าหินบางส่วนถูกนำมาจากแม่น้ำสายหนึ่ง สำหรับค่าปรับก็ต้องจ่ายเป็นหินเหมือนกัน ใครที่โดนใบสั่งต่าง ๆ ต้องรับโทษด้วยการไปเอาหินจากโรงอิฐและนำมาส่งที่เทศบาล หากมีหินร่วงหล่นมาจากกำแพงเมืองจะถูกเก็บไว้และนำมาใช้ใหม่ในภายหลังเพื่อซ่อมแซมผนังส่วนอื่น ๆ
โรงงานพิมพ์ผ้าฝ้ายด้วยมือแห่งแรกในยุโรปจากศตวรรษที่ 17
ข้าง ๆ ประตู Koppelpoort ด้านซ้ายมือ (ถ้ายืนอยู่ฝั่งประตูด้านใน) จะมองโรงงานพิมพ์ผ้าฝ้ายด้วยมือแห่งแรกในยุโรปจากศตวรรษที่ 17 (The Volmolen) ตั้งอยู่ มองดูจากภายนอกแล้วที่นี่อาจเหมือนอนุสรณ์สถานแห่งชาติทั่วไป แต่จริงๆ แล้วสถานที่แห่งนี้ได้รับการบูรณะและเปิดเป็นโรงงานพิมพ์ผ้าฝ้ายด้วยมือชื่อว่า “Katoendrukkerij” ซึ่งริเริ่มโดย Nathalie Cassée ผู้นำเทคนิคเกี่ยวกับการพิมพ์ผ้าฝ้ายแบบดั้งเดิมกลับมาสู่เมืองอาเมอร์สโฟร์ตอีกครั้ง ที่นี่ยังเปิดให้บุคคลทั่วไปที่สนใจเข้าร่วมเวิร์กชอปงานฝีมือ การพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์บล็อก และออกแบบการพิมพ์บล็อกเป็นของตัวเอง
เดินต่อไปผ่านประตูเมือง Koppelpoort Gate เราจะเจอกับสะพานลอดใต้เส้นทางรถไฟผ่านไปยังเมืองอีกฝั่งซึ่งมีความทันสมัยและเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร โรงหนัง รวมถึงท่าเรือซึ่งมีเรือท่องเที่ยวจอดอยู่จำนวนมาก ย่านนี้ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ Kunsthal KadE อยู่ภายในอาคารขนาดใหญ่ที่ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ คาเฟ่ภายในพิพิธภัณฑ์สามารถเข้าไปนั่งดื่มกาแฟได้โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของห้องสมุดสาธารณะเมืองอาเมอร์สโฟร์ต Eemland Library (Eemhuis) ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าไปภายในได้ แต่ต้องเบาเสียงนิดหนึ่งเนื่องจากเป็นสถานที่อ่านหนังสือสำหรับใครหลายคน
ห้องสมุดสาธารณะเมืองอาเมอร์สโฟร์ต (Eemhuis)
ตามตัวเมืองใหญ่ ๆ ของเนเธอร์แลนด์ต่างมีห้องสมุดสาธารณะไว้สำหรับบริการประชาชน ที่เมืองอาเมอร์สโฟร์ตก็เช่นกัน มีห้องสมุดสาธารณะชื่อว่า Eemland Library ตั้งอยู่ในอาคารขนาดใหญ่ที่มีสถาปัตยกรรมโดดเด่นชื่อว่า Het Eemhuis ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก Neutelings Riedijk ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2014 ภายในห้องสมุดมีขนาดกว้างขวางมากกว่า 5500 ตารางเมตร มีห้องอ่านหนังสือแบบเงียบสงบ และพื้นที่ตรงกลางขนาดใหญ่ประกอบด้วยชานระเบียงเก้าชั้นสำหรับอ่านหนังสือ และสืบค้นข้อมูลของนักเรียนนักศึกษา
นิทรรศการศิลปะร่วมสมัย (Kunsthal KAdE)
KAdE ตั้งอยู่ติดกับห้องสมุด Eemland Library ที่นี่นำเสนอนิทรรศการร่วมสมัย (สมัยใหม่) และวัฒนธรรมภาพร่วมสมัย โดยไม่มีคอลเลกชันของตัวเองแต่เน้นการจัดนิทรรศการและเปิดรับแรงกระตุ้นจากทั่วทุกมุมโลก นอกจากนิทรรศการแล้ว Kunsthal KAdE ยังจัดโปรแกรมทัวร์ กิจกรรมเวิร์กชอปเพื่อพัฒนาตัวเองรวมถึงการบรรยายแบบสาธารณะอีกด้วย
ด้านหน้าทางเข้า KadE ยังมีร้านขายของขนาดเล็กที่จำหน่ายเครื่องประดับและหนังสือศิลปะมากมาย รวมไปถึงคาเฟ่ สำหรับทานอาหารกลางวันหรือนั่งพักทานกาแฟโดยไม่ต้องซื้อบัตรเข้าชม Kunsthal ใครที่สนใจศิลปะสมัยใหม่ลองแวะไปชมนิทรรศการของที่นี่กันได้
เปิด: วันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 10:00-17:00 น. ราคาตั๋วเข้าชม 13 ยูโร หรือใช้บัตร Museumkaart เข้าชมฟรี จองตั๋วออนไลน์ก่อนเข้าชมได้ที่ Kunsthal KAdE Ticket
แวะดื่มกาแฟที่ร้าน Livingstone coffee
หลังจากเดินชมห้องสมุดแล้วเราเดินย้อนกลับมาตั้งต้นที่พิพิธภัณฑ์ Museum Flehite จากนั้นเดินไปตามถนน Havik ซึ่งจะนำเราไปสู่จัตุรัสกลางเมืองอาเมอร์สโฟร์ตที่เรียกว่า “Hof” ระหว่างทางจะเห็นบ้านเรือนเก่าแก่หลายหลัง พอเดินไปเรื่อย ๆ เราเจอกับร้านกาแฟแห่งหนึ่งชื่อว่า “Livingstone coffee” ตั้งอยู่บนถนน Groenmarkt จากรีวิวในอินเทอร์เนตบอกว่ากาแฟที่นี่มีรสชาติดีทีเดียว เราเลยลองสั่งมากาแฟลาเต้ดื่มบ้าง ปรากฎว่ารสชาติดีจริงๆ เข้มข้นได้ใจมาก พอได้กาแฟสักแก้วมาดื่มแล้วก็ทำให้มีแรงเดินเที่ยวต่อได้อีกยาว ๆ
จัตุรัสใจกลางเมืองอาเมอร์สโฟร์ต (Hof)
จากร้านกาแฟ Livingstone coffee แค่ 1 นาทีเราจะเห็นจัตุรัสใจกลางเมืองอาเมอร์สโฟร์ต (Hof) เป็นที่ตั้งของโบสถ์เก่าแก่จากศตวรรษที่ 13 (Sint-Joriskerk) รายล้อมด้วยร้านค้า ร้านอาหารและคาเฟ่จำนวนมาก ทุกวันศุกร์และวันเสาร์จะมีตลาดนัดประจำสัปดาห์ตั้งอยู่ที่นี่เช่นกัน
มหาวิหาร Sint–Joriskerk Amersfoort
อย่างที่กล่าวไปว่าใจกลางจัตุรัส Hof เป็นที่ตั้งของมหาวิหาร Sint–Joriskerk ที่นี่มีความเก่าแก่ตั้งแต่ปี ค. ศ. 1200 ด้านในมีหอคอยแบบโรมันประมาณปี ค. ศ. 1300 ที่ยังคงหลงเหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบัน ที่นี่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในวันอังคาร-วันเสาร์ ระหว่างเวลา 11:00-17:00 น. มีค่าเข้าชม 2 ยูโร
เดินเล่นที่ถนน Krommestraat
ด้านหลังมหาวิหาร Sint-Joriskerk มีถนนอีกหนึ่งสายที่น่าสนใจ นั้นก็คือ ถนน Krommestraat เรียกได้ว่าเป็นถนนที่สวยที่สุดในเมืองอาเมอร์สโฟร์ตเลยก็ว่าได้ สองฝั่งเต็มไปด้วยร้านค้าแนววินเทจน่ารัก ๆ ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองซึ่งมาจากผู้ประกอบการอิสระ ร้านขายเครื่องประดับแฟชั่น รวมไปถึงคาเฟ่และร้านอาหารจำนวนมาก
นอกจากถนน Krommestraat แล้วในเมืองอาเมอร์สโฟร์ตยังมีถนนชอปปิงอีกหลายสายที่น่าสนใจ เช่น ถนน Langestraat, Utrechtsestraat รวมถึงห้างสรรพสินค้า Winkelcentrum Sint Jorisplein ที่สามารถเดินผ่านไปหอคอย Onze Lieve Vrouwetoren ได้เช่นกัน
แวะทานของว่างและขนมที่ร้าน Corazon bakery
ก่อนหน้านี้เราได้ดื่มกาแฟคลายความง่วงกันไปแล้วแต่ไม่ได้ช่วยให้เราหายหิวแต่อย่างใด ตรงถนน Krommestraat มีร้าน Corazon bakery ตั้งอยู่ ร้านนี้เขาขายอาหารเพื่อสุขภาพแล้วก็ของว่างเยอะเลย เราจึงตัดสินใจซื้อไส้กรอกเพื่อสุขภาพมาทานแก้หิว ซอสที่มากับไส้กรอกคือร่อยมาก (อร่อยแบบอยากเดินกลับไปถามมากเลยว่าทำจากซอสอะไร) พอทานรวมกับผักที่ได้มาตามรูปแล้วคืออิ่มท้องมีแรงเดินต่อเลย
บ้านศิลปินชาวดัตช์ Piet Mondrian (Mondrian House)
จากถนนชอปปิง Krommestraat เราเดินต่อไปตามถนน Langegracht ตามด้วยถนน Kortegracht จะเจอกับบ้านศิลปินชาวดัตช์ที่ชื่อว่า “Piet Mondrian” ผู้มีบ้านเกิดในเมืองอาเมอร์สโฟร์ต มอนเดรียนเป็นจิตรกรและนักทฤษฎีชาวดัตช์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 20 และมีชื่อเสียงไปทั่วโลกในฐานะหนึ่งในผู้ก่อตั้งศิลปะนามธรรม (เรขาคณิต) ผลงานของเขาถูกจัดแสดงในบ้าน Mondrian House รวมถึงนิทรรศการสมัยใหม่โดยใช้เทคนิคภาพและเสียง ช่วยให้ผู้เข้าชมเข้าไปสัมผัสถึงประสบการณ์ทางศิลปะของมอนเดรียนอย่างเต็มที่
เปิด: วันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 10:00-17:00 น. ราคาตั๋วเข้าชม 13 ยูโร หรือใช้บัตร Museumkaart เข้าชมฟรี จองตั๋วออนไลน์ก่อนเข้าชมได้ที่ Mondrian House Ticket
ถนนวงกลมจากกำแพงเมืองแห่งแรก (Muurhuizen)
จากบ้านมอนเดรียนเดินต่อไปจนเข้าสู่ถนนสายสำคัญของเมืองอาเมอร์สโฟร์ตที่ชื่อว่า “Muurhuizen” เป็นถนนวงกลมส่วนแรกของกำแพงเมืองแห่งแรกมีความยาวประมาณ 1.3 กิโลเมตร ส่วนที่สองและสามเรียกว่าถนน Breestraat และถนน Krankeledenstraat
ในอดีตนั้นเมื่อเมืองเริ่มขยายตัวอันเป็นผลมาจากความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจในปี ค. ศ. 1380 จึงมีการสร้างกำแพงเมืองใหม่ทำให้กำแพงเก่าถูกรื้อถอน บ้านประมาณ 1500 หลังถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุของกำแพงเก่าตามแนวที่กำแพงเมืองตั้งอยู่ เนื่องจากการก่อสร้างบ้านเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างกันจึงเกิดเป็นรูปทรงที่หลากหลายขึ้น ปัจจุบันถนน Muurhuizen มีบ้านเรือนของผู้คนในพื้นที่และธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานแห่งชาติถึง 61 แห่ง
อาคารที่มีชื่อเสียงในถนน Muurhuizen
- Museum Flehite: ตั้งอยู่ในบ้านกำแพงยุคกลางตอนปลายสามหลังสร้างขึ้นในปี 1540
- Nieuwenburgh: อาคารเลขที่ 5-7 มีด้านหน้าอิฐเก่าแก่จากปี 1645 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบ้านตามแบบที่ควรจะเป็น
- De Bollenburgh: บ้านที่ทนายความของรัฐ Amersfoort Johan van Oldenbarnevelt (1547-1619) ผู้มีบ้านเกิดในเมืองอาเมอร์สโฟร์ตใช้ชีวิตในวัยเด็ก
- Tinnenburg House: บ้านกำแพงประตูระบายน้ำสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 เพื่อระบายน้ำจากแม่น้ำ Heiligenbergerbeek
- Dieventoren: หอคอยแห่งเดียวที่หลงเหลือในเมืองอาเมอร์สโฟร์ต
บ้านกำแพงประตูระบายน้ำ (Tinnenburg House)
Tinnenburg House (มักถูกเรียกว่า Groot Tinnenburg) เป็นหนึ่งในบ้านเก่าแก่บนถนน Muurhuizen ใกล้กับสะพาน Weeshuisgaag ถ้ามองผิวเผินอาจจะเหมือนบ้านเก่าแก่ทั่วไป แต่ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าที่กำแพงมีรอยอิฐล็อกที่ไม่ราบเรียบหลงเหลืออยู่ ที่เป็นแบบนี้เพราะว่าสถานที่แห่งนี้เคยถูกสร้างเป็นประตูระบายน้ำมาก่อน และยังเป็นอนุสาวรีย์ในเมืองอาเมอร์สโฟร์ต
ย้อนกลับไปในอดีตหลังจากที่เมืองอาเมอร์สโฟร์ตได้รับสิทธิ์เมืองในปี ค. ศ. 1259 กำแพงเมืองได้ถูกสร้างขึ้น น้ำจากแม่น้ำ Heiligenbergerbeek ได้ไหลเข้าสู่เมืองที่มีกำแพงล้อมรอบทางด้านตะวันออก บ้าน Tinnenburg จึงถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 เพื่อปกป้องทางน้ำนี้ โดยรวมกันระหว่างบ้านสองหลังคือ Tinnenburg กับบ้าน Huis Rommelenburg
ภาพตัดขวางของกำแพงเมืองเห็นได้ชัดเจนที่ผนังด้านข้างของบ้าน Tinnenburg กำแพงมีความสูงประมาณ 7 เมตรและหนา 60 เซนติเมตร ทางฝั่งเมืองมีทางเดินโค้งและเชิงเทิน ด้านนอกกำแพงมีคลองสองคลอง อย่างไรก็ตามหลังการสร้างกำแพงเมืองแห่งที่สองประตูระบายน้ำที่บ้าน Tinnenburg ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป และถูกรื้อถอนราวปี ค. ศ. 1450 บ้าน Tinnenburg จึงถูกดัดแปลงเป็นบ้านส่วนตัว ส่วนบ้าน Rommelenburg ถูกทำลายในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19
ประตูเมืองจากศตวรรษที่ 13 (Kamperbinnenpoort Gate)
จากบ้าน Tinnenburg House เราเดินข้ามสะพาน Weeshuisgang จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปตามถนน Zuidsingel ประมาณ 5 นาทีจะเจอกับ Kamperbinnenpoort ซึ่งเป็นประตูเมืองที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในเมืองอาเมอร์สโฟร์ต และยังเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองแห่งแรกของอาเมอร์สโฟร์ตอีกด้วย
ที่นี่เร่มก่อสร้างในศตวรรษที่ 13 ก่อนที่ประตูส่วนใหญ่จะพังยับเยินในศตวรรษที่ 16 เหลือเพียงประตูส่วนหน้าเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2370 ซุ้มประตูระหว่างหอคอยถูกรื้อถอนและสร้างขึ้นใหม่ระหว่างปี พ.ศ. 2474-2476 ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2457 สภาเมืองอาเมอร์สโฟร์ตได้ตัดสินใจที่จะรื้อประตูแห่งนี้ แต่รัฐบาลแห่งชาติไม่อนุมัติและให้เงินช่วยเหลือเพื่อฟื้นฟูประตูและอนุรักษ์ไว้ให้คนรุ่นหลัง ปัจจุบัน Kamperbinnenpoort เลยกลายมาอนุสรณ์สถานแห่งชาติหมายเลข 7924 ของเมืองอาเมอร์สโฟร์ต
ลำคลองเมืองอาเมอร์สโฟร์ต (Amersfoort Canals)
นอกจากสถานที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์แล้วเมืองอาเมอร์สโฟร์ตยังมีลำคลองที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างวงแหวนเมืองเก่า ริมลำคลองจะสลับไปกับบ้านเรือนและร้านค้าต่าง ๆ ในลำคลองเรายังสามารถล่องเรือชมเมืองได้อีกด้วยนะคะ ที่ตั้งท่าเรือนักท่องเที่ยวจะอยู่บริเวณถนน Langegracht และ Hellestraat ติดกับหอคอย Onze Lieve Vrouwetoren
เดินมาเรื่อย ๆ ตามถนน Zuidsingel ทางด้านซ้ายมือเราจะพบกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเซนต์นิโคลัส (The Burgerweeshuis) ก่อตั้งขึ้นในปี ค. ศ. 1551 จากอารามเก่าแก่ Mariënhof และได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น Stadskinderhuys สำหรับเป็นที่พักพิงของผู้ยากจน รวมไปถึงผู้ป่วยละเด็กกำพร้าที่พ่อแม่มีสิทธิพลเมืองอาเมอร์สโฟร์ต ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่ออีกเป็น Het Borgerweeshuys สถานที่ดังกล่าวบริหารงานโดยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ปัจจุบันห้องประชุมของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ปัจจุบันยังหลงเหลืออยู่ ส่วน Mariënhof ใช้เป็นสถานที่จัดการประชุม
บาร์ลิ้มรสไวน์ (Sister Margaux)
ด้านหลังของ Burgerweeshuis เราจะพบกับลานสนามหญ้าเขียวขจี ซึ่งเป็นที่ตั้งของบาร์ดื่มไวน์ชื่อว่า “Zuster Margaux” (Sister Margaux) ภายในอารามเก่าแก่ Mariënhof โดยถูกปรับเปลี่ยนจากสถานที่เก่าแก่เป็นสถานที่ทานอาหารแบบสมัยใหม่แต่ยังให้บรรยากาศแบบเก่า ๆ จากสมัยก่อน
Sister Margaux ยังมีไวน์ให้เลือกมากถึง 40 ชนิดด้วยกัน เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบการดื่มไวน์ พื้นที่ด้านนอกมีโต๊ะนั่งเล่นกลางแจ้งพร้อมการตกแต่งที่สวยงาม ที่นี่ยังได้ชื่อว่าเป็นบาร์ลิ้มรสไวน์อันดับหนึ่งในอาเมอร์สโฟร์ตอีกด้วย เปิดวันอังคารถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 17:00 น. เป็นต้นไป ส่วนวันเสาร์และอาทิตย์ เปิดตั้งแต่เวลา 15:00 น.
ประตูระบายน้ำจากศตวรรษที่ 15 (Monnikendam)
เดินต่อไปอีกตามถนน Plantsoen Oost เราจะเห็นประตูระบายน้ำ Monnikendam สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นราวปี ค. ศ. 1420 เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองที่สองตั้งแต่ปี ค. ศ. 1380-1451 ประตูประกอบด้วยหอคอยสองแห่งที่เชื่อมต่อกันด้วยซุ้มประตู ที่ประตูด้านล่างสามารถเปิดปิดได้ และยังมีส่วนสำคัญในจัดการน้ำเพื่อลดระดับน้ำขึ้นน้ำลงจากตัวเมือง
อย่างไรก็ตามเมื่อกำแพงเมืองเก่าถูกรื้อถอน ประมาณปี พ. ศ. 2383 ประตูระบายน้ำ Monnikendam ได้รวมอยู่ในการก่อสร้างสวนสาธารณะแห่งใหม่ เมื่อขึ้นไปยืนบนประตู Monnikendam มองไปด้านนอกจะพบกับถนน หากเดินตรงไปข้างหน้าจะพบกับสวนสาธารณะ และเป็นทางเดินกลับไปสู่ย่านเมืองเก่า
หอคอยแห่งเดียวที่หลงเหลือในเมือง (Dieventoren)
เดินผ่านประตูระบายน้ำ Monnikendam และกลับเข้าสู่ถนน Muurhuizen อีกครั้งเราจะพบกับสถานที่สำคัญอีกหนึ่งแห่งนั้นก็คือ Plompe หรือ Dieventoren เป็นหอคอยแห่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่จากกำแพงเมืองแห่งแรกที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองอาเมอร์สโฟร์ต หลังการสร้างกำแพงเมืองที่สองหอคอยได้ถูกเปลี่ยนเป็นเรือนจำจนถึงศตวรรษที่ 19 ก่อนที่ทางเข้าประตูจะได้รับการบูรณะในศตวรรษที่ 20
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับหอคอย Dieventoren อีกหนึ่งอย่างก็คือระฆังที่หอคอย Dieventoren จะไม่ดังพร้อมกันกับที่โบสถ์ Sint–Joriskerk ยกเว้นในกรณีที่เกิดภัยพิบัติในเมืองอาเมอร์สโฟร์ต นั่นหมายความว่าถ้าเราเดินเที่ยวอยู่ดี ๆ แล้วได้ยินเสียงระฆังดังขึ้นพร้อมกัน ให้รีบวิ่งค่ะ!
อาเมอร์สโฟร์ต (Amersfoort) เป็นเมืองที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อแต่ก็เป็นรู้จักกันดีไม่น้อยของชาวดัตช์ และที่สำคัญตั้งอยู่ห่างจากเมืองอูเทร็คท์เพียง 15 นาที เหมาะสำหรับการเที่ยวแบบครึ่งวันหรือเดย์ทริปถ้าแผนที่จะเข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วย อย่าลืมเช็คสภาพอากาศในเนเธอร์แลนด์ และวางแผนการเดินทางในเนเธอร์แลนด์ด้วยระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงการขับรถยนต์เที่ยวในเนเธอร์แลนด์ด้วยตัวเอง
การเดินทางไปเมืองอาเมอร์สโฟร์ต (Amersfoort)
อาเมอร์สโฟร์ตตั้งอยู่ห่างจากอูเทร็คท์เพียง 15 นาที และห่างจากอัมสเตอร์ดัมเพียง 50 นาที นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะหรือรถยนต์ ดังรายละเอียด
แผนที่เดินเที่ยวเมืองอาเมอร์สโฟร์ต
แหล่งข้อมูลวางแผนเที่ยว
Thank you
การเปิดเผย: บทความนี้มีลิงก์แอฟฟิลิเอทบางส่วน การกดที่ลิงก์ไม่มีค่าใช้จ่าย หากซื้อสินค้าหรือบริการจากลิงก์ดังกล่าว เราอาจได้รับค่ากำลังใจเล็กน้อยสำหรับนำไปพัฒนาบล็อก 🧡