หมู่บ้านชาวประมงโวเลนดัม (Volendam) ตั้งอยู่บนทะเลสาบ Markermeer มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการค้าขายทางประมงแบบชาวดัตช์แท้ ๆ ท่าเรือมีความสวยงามและยังคงมีเรือชาวประมงจอดอยู่เป็นจำนวนมาก บ้านเรือนที่นี่ถูกสร้างขึ้นบนเขื่อนกั้นน้ำ รวมถึงบ้านไม้ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ผู้คนจากโวเลนดัมรักในเสียงเพลงและสร้างชื่อเสียงจากดนตรีที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง (Palingsound) การแต่งกายดั้งเดิม (Klederdracht Volendam) และขนบธรรมเนียมประเพณียังคงยึดถือมาจนถึงปัจจุบัน และที่สำคัญ หมู่บ้านชาวประมงโวเลนดัม (Volendam) อยู่ไม่ไกลจากกรุงอัมสเตอร์ดัมเพียงครึ่งชั่วโมง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวแบบวันเดย์ทริป (One Day Trip) ได้เป็นอย่างดี เราจะพาทุกท่านไปเที่ยวที่ หมู่บ้านชาวประมงโวเลนดัม (Volendam) พร้อมสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่น่าสนใจในโวเลนดัม รวมถึงการนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากไปเที่ยวต่อที่เกาะ Marken ซึ่งมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน
การเดินทางไปยังหมู่บ้านชาวประมงโวเลนดัม (Volendam)
นั่งรถบัสสาย 316 (ชาญชลา G-A รถบัสจอดที่สถานีฝั่งแม่น้ำ IJzijde) จากสถานีกลางกรุงอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam Centraal Station) ไปลงที่ป้ายโวเลนดัม (Vissersstraat Station) จากนั้นเดินต่ออีก 6 นาทีไปยัง หมู่บ้านชาวประมง (Volendam) ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 35 นาที ราคาค่าโดยสารประมาณ 5 ยูโร (สำหรับการเดินทางเที่ยวเดียว)
สามารถเดินทางไปที่ หมู่บ้านชาวประมงโวเลนดัม (Volendam) ด้วยบัตร Amsterdam & Region Travel Ticket, I Amsterdam City Card และ Waterland Day Ticket (Plus) วางแผนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเนเธอร์แลนด์
เดินเล่นรอบหมู่บ้านชาวประมงโวเลนดัม (Volendam) ชมบ้านเขาวงกต (het Doolhof)
สิ่งที่โดดเด่นเป็นอันดับแรกหลังจากเดินทางมาถึงที่ หมู่บ้านชาวประมงโวเลนดัม (Volendam) นั้นก็คือบ้านเรือนที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง สร้างด้วยไม้ ทาผนังด้วยสีเขียวเข้ม สีน้ำตาลอ่อน สีส้ม และสีแดงเป็นส่วนใหญ่ บริเวณเขื่อนกั้นน้ำ (De Dijk) ที่ใช้ป้องกันไม่ให้กระแสน้ำจากทะเลสาบไหลเข้ามาท่วมพื้นที่อยู่อาศัย ยังมีการสร้างบ้านเรือนบนสันเขื่อน เมื่อมองไปอีกด้านจะพบกับบ้านเรือนที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ถัดจากเขื่อนกั้นน้ำจะเป็นย่านการท่องเที่ยว เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร สตูดิโอถ่ายภาพ โรงแรม และร้านขายของที่ระลึกมากมาย ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือถัดจากทะเลสาบ Markermeer สามารถมองเห็นเกาะ Marken เป็นพื้นหลัง

เมื่อเดินผ่านย่านนักท่องเที่ยวไปเราจะพบกับบ้านเรือนของผู้คนท้องถิ่น ซึ่งถูกสร้างขึ้นบนถนนแคบ ๆ เป็นแบบเขาวงกต เรียกได้ว่าถ้าหากเดินเข้ามาแบบไม่รู้ทิศทางอาจจะหาทางออกไม่ได้ เพราะสลับซับซ้อนไปด้วยบ้านเรือน สะพาน และแม่น้ำที่เป็นแบบสุ่ม อย่างไรก็ตามหากเดินมายังบริเวณบ้านเรือนของผู้คนท้องถิ่นไม่ควรส่งเสียงดังรบกวนพวกเขา หรือแอบถ่ายรูปผ่านหน้าต่างบ้านเข้าไปยังข้างใน เพราะนั้นถือว่าเป็นการเสียมารยาทมาก ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวก็จริง แต่อีกด้านผู้คนยังดำรงชีพตามปกติ และต้องการชีวิตที่เป็นส่วนตัวและไม่ถูกรบกวนจากนักท่องเที่ยว
โรงประมูลปลาในอดีต (The Fish Auction)
บริเวณท่าเรือ หมู่บ้านชาวประมงโวเลนดัม (Volendam) เราจะพบกับอาคารไม้แห่งหนึ่งตั้งอยู่ สร้างบนคานเสาคอนกรีตมีใต้ถุนยกสูงจากระดับน้ำทะเล สถานที่แห่งนี้คือโรงประมูลปลาในอดีต หรือเรียกว่า Visafslag ในภาษาดัตช์ เป็นหนึ่งในสามอนุสรณ์สถานแห่งชาติในโวเลนดัม อาคารถูกสร้างขึ้นในปี 1934 ใช้เป็นโรงประมูลปลาจนถึงศตวรรษที่ 20 ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นร้านค้าตั้งแต่เดือนเมษายน 2560

ในอดีตชาวประมงเมื่อหาปลามาได้ พวกเขาจะไม่สามารถขายปลาให้กับพ่อค้าโดยตรง แต่ต้องนำปลามาประมูลผ่านบริษัทที่รับประมูลปลาก่อน และขายผ่านราคาประมูลสู่พ่อค้าส่ง ราคาในการประมูลขึ้นอยู่กับชนิดของปลา และความต้องการของผู้ซื้อ ชาวประมงจะได้เงินในการขายปลาหลังหักเปอร์เซ็นต์ของโรงประมูลแล้ว ปลาส่วนใหญ่ที่นำมาประมูลเป็นปลาน้ำจืด และปลาไหล นั้นจึงเป็นที่มาว่าทำไมที่โวเลนดัมจึงเต็มไปด้วยร้านขายอาหารสด และมีชื่อเสียงเกี่ยวกับแซนวิชปลาไหลรมควัน



ชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โวเลนดัม (Volendam Museum)
เป็นการดีหากเราจะเริ่มต้นการท่องเที่ยวที่ หมู่บ้านชาวประมงโวเลนดัม (Volendam) ด้วยการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โวเลนดัมก่อน (Volendam Museum) เพราะที่นั้นเป็นแหล่งเรียนรู้และบอกเล่าเรื่องราวของชาวโวเลนดัมได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมโวเลนดัมจึงเป็นหมู่บ้านที่รู้จักกันดีที่สุดในเนเธอร์แลนด์ เหตุใดนักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวดัตช์หลายล้านคนต่างพากันมาเยี่ยมชมหมู่บ้านชาวประมงในแต่ละปี และเพราะอะไรการแต่งกายแบบดั้งเดิมของชาวโวเลนดัมจึงถูกใช้ในการโปรโมตการท่องเที่ยวของประเทศเนเธอร์แลนด์สู่สายตาชาวโลก สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สามารถหาคำตอบได้ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โวเลนดัม (Volendam Museum)

ภายในมีการจัดแสดงชุดการแต่งกายแบบดั้งเดิมของชาวโวนเลนดัม (Klederdracht Volendam) บ้านซิการ์แบนด์ (Cigar Bands House) ที่ใช้ซิการ์มากกว่า 11 ล้านชิ้นเป็นวอลล์เปเปอร์ ประวัติความเป็นมาของการค้าขายทางประมง รวมถึงการดำเนินวิถีชีวิตในอดีตที่แสดงให้เห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ บ้านเรือน และกิจกรรมงานบ้านภายในครอบครัว และภาพวาดของศิลปินหลายคนที่มาเยี่ยมชมเมืองในยุคนั้น


ข้อมูลเข้าชมมูลพิพิธภัณฑ์ Volendam Museum
- ที่อยู่: Zeestraat 41, 1131 ZD Volendam
- เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน เวลา 10:00-17:00 น.
- ราคาตั๋วเข้าชม 6 ยูโร หรือใช้บัตร Museumkaart เข้าชมฟรี
- จองตั๋วออนไลน์ก่อนเข้าชมได้ที่: Volendam Museum
ชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ดนตรีโวเลนดัม (Palingsound Museum)
Palingsound Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ดนตรีโวเลนดัม มาจากเพลงป๊อปสไตล์ดัตช์แบบคลาสสิกซึ่งมีต้นกำเนิดจากโวเลนดัม ตั้งอยู่ในร้านอาหารชื่อ Paviljoen Smit Bokkum ว่ากันว่าผู้คนจากเมืองโวเลนดัมมีบุคลิกที่เงียบขรึม แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาซ่อนความหลงใหลในเสียงเพลงไว้ภายใต้ใบหน้าที่เงียบขรึมนั้น และพัฒนาเสียงดนตรีที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองจนประสบความสำเร็จ Palingsound Museum จึงเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ความเป็นมากว่า 100 ปีของเพลง Palingsound ในโวเลนดัมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ภายในร้านอาหาร ยังเหมาะสำหรับการลิ้มลองรสชาติของปลาไหลรมควัน รวมถึงเรียนรู้เทคนิคและกรรมวิธีในการผลิตได้อย่างน่าสนใจ

ข้อมูลเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Palingsound Museum
- ที่อยู่: Slobbeland 19, 1131 AA Volendam
- เวลาเปิดทำการ: วันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 09:30-18:00 น.
- ค่าเข้าชม: 1.75 ยูโร
คริสตจักรปฏิรูปโวเลนดัม (Stolpkerk)
เฉกเช่นเดียวกับชาวดัตช์เมืองอื่น ๆ ในประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ผู้คนยังคงนับถือศาสนาและมีการจัดกิจกรรมทางศาสนา ที่หมู่บ้านชาวประมงโวเลนดัม (Volendam) ก็เช่น มีโบสถ์ตั้งอยู่บริเวณบ้านเขาวงกตชื่อว่า Stolphoevekerkje เป็นที่รู้จักในชื่อ Stolpkerk ถูกสร้างขึ้นในปี 1658 เป็นคริสตจักรนิกายโปรเตสแตนต์ที่ถูกแยกออกมา การปฏิบัติตัวบางอย่างยังคงมีขนบธรรมเนียมเป็นของตัวเอง โบสถ์แห่งนี้ยังเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติภายใต้หมายเลข 14449 สถานที่แห่งนี้จึงไม่ใช่สถานที่ทางประวัติศาสตร์ และยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บอกได้ว่าผู้คนที่นี่ยังคงมีความเคร่งครัดทางศาสนา แม้ว่าประชากรเกือบครึ่งจะไม่นับถือศาสนาใด ๆ ก็ตาม

ถ่ายรูปสวมชุดดั้งเดิมแบบชาวโวเลนดัม (Klederdracht Volendam)
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งเหตุผลที่นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลเดินทางมาท่องเที่ยวใน หมู่บ้านชาวประมงโวเลนดัม (Volendam) เพราะการแต่งกายแบบดั้งเดิมที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เรามักจะเห็นภาพผู้คนสวมชุดพื้นบ้านที่ประกอบไปด้วยการตัดเย็บผ้าเป็นกระโปรงยาวคลุมข้อเท้า เสื้อแขนยาวเย็บชายระบายติดกระดุมด้านหน้าและปักลวดลายบริเวณชายคอ สวมหมวกสีขาวที่มีรูปทรงสวยงาม ตามรูปภาพการโปรโมตการท่องเที่ยวของประเทศเนเธอร์แลนด์ สิ่งนี้ยังคงไม่เลือนหายไป และมีการตั้งมูลนิธิขึ้นมาเพื่ออนุรักษ์การแต่งกายแบบดั้งเดิมให้คงไว้
บริเวณย่านท่าเรือมีสตูดิโอรับถ่ายภาพชุดการแต่งกายดั้งเดิมแบบชาวโวเลนดัมอยู่หลายร้าน และมีอุปกรณ์ตกแต่งฉากพร้อม สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก ลองแวะไปถ่ายรูปที่สตูดิโอเหล่านั้นได้ ราคาอยู่ที่ประมาณ 15-20 ยูโรต่อหนึ่งแพ็คเกจต่อบุคคล รายชื่อสตูดิโอถ่ายภาพการแต่งกายดั้งเดิมของชาวโวเลนดัม (Klederdracht Volendam) ที่น่าสนใจ Experience Volendam และ Fotograaf Zwarthoed, Foto de Boer

ลิ้มลองขนม Stroopwafel ราดซอสคาราเมลอุ่น ๆ
Stroopwafel เป็นขนมวาเฟิลทำจากแป้งบาง ๆ สองชั้นประกบเข้าด้วยกัน นิยมรับประทานแบบเดี่ยว ๆ หรือราดด้วยซอสคาราเมลร้อน ๆ หากอยากลองขนมนี้อย่าลืมมองหาร้านขายขนม Stroopwafel รวมถึงแผงขายขนมขนาดเล็กบริเวณท่าเรือ หรือหาซื้อเพิ่มเติมได้ตามร้านซูเปอร์มาร์เก็ตหลักในประเทศเนเธอร์แลนด์ (Albert Heijn) เป็นของฝากก็ดี รับประทานร้อน ๆ ก็ดี จองตั๋วล่วงหน้าเพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์สโตรปวาเฟิล (พิเศษรวมชิมขนมสโตรปวาเฟิล)

ทานแซนวิชปลาไหลรมควันชื่อดัง (Paling) และปลาปลาฮาร์ริง (Haring Fish)
เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ไม่แพ้เรื่องอื่นใด เมื่อมาเที่ยวที่ หมู่บ้านชาวประมงโวเลนดัม (Volendam) อย่าลืมลองทานแซนวิชปลาไหลรมควันสักครั้ง (Paling) แซนวิชที่ว่านี้มีรูปร่างไม่ได้แปลกใหม่อะไร แต่ความพิเศษอยู่ที่เนื้อของปลาไหล เพราะนำมารมควันและลอกหนังออกเอาแต่เนื้อด้านใน จากนั้นหั่นแซนวิชตรงกลางและวางปลาไหลรมควันลงไป พอได้กัดกินแล้วรสชาติเหมือนปลานึ่งบ้านเรา และที่สำคัญไม่มีกลิ่นคาวที่ร้อนแรงขึ้นจมูกเหมือนบ้านปลาฮาร์ริง (Haring Fish) ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาดเช่นกัน รวมถึงปลาทอดกรอบ (Kibbeling) ทานคู่กับซอสมายองเนส สามรถหาซื้ออาหารเหล่านี้ได้ตามร้านขายอาหารสด และแผงขายอาหารสดบริเวณท่าเรือ ราคาประมาณ 4-5 ยูโร

ชิมชีส (Cheese Factory Volendam)
บริเวณถนน Haven มีโรงงานชีสที่น่าสนใจแห่งหนึ่งตั้งอยู่ (Cheese Factory Volendam) ที่นี่จำหน่ายชีส จัดแสดงชีสไว้มากมาย และมีชีสหลายแบบให้เลือก สำหรับผู้ที่สนใจเกี่ยวกับชีสต้องไม่พลาดที่จะลองเข้าไปเยี่ยมเยียนสักครั้ง หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก็สามารถสอบถามจากพนักงานขายได้ พวกเขามีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการผลิตและการค้าชีส และยังได้มีโอกาสชิมชีสเล็ก ๆ น้อยประกอบการตัดสินใจซื้ออีกด้วย

แวะซื้อของฝากกลับไทย
ร้านค้าเกือบครึ่งใน หมู่บ้านชาวประมงโวเลนดัม (Volendam) เต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก และมีของที่ระลึกให้เลือกซื้อมากมายตามความชอบ ของละลึกที่น่าสนใจได้แก่ พวงกุญแจ รองเท้าไม้ ดอกไม้ เข็มกลัด แม่เหล็กติดตู้เย็น ผ้าพันคอ เครื่องลายคราม โปสการ์ด และอีกมากมาย ราคาไม่แพงมากมีทั้งราคาส่งและราคาขายต่อชิ้น

นั่งเรือเฟอร์รี่ไปเที่ยวที่เกาะ Marken
สำหรับท่านใดที่มีเวลาเหลือจากการเดินเที่ยว หมู่บ้านชาวประมงโวเลนดัม (Volendam) แนะนำให้นั่งเรือเฟอร์รี่ไปเที่ยวต่อที่เกาะ Marken ซึ่งเกาะแห่งนี้มีความคล้ายคลึงกับหมู่บ้านชาวประประมง บ้านเรือนในอดีตถูกน้ำทะเลพัดเข้าท่วมจนเสียหาย จึงได้มีการสร้างเขื่อนกั้นน้ำขึ้น และถนนสำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์สาย Zeedijk ทำให้ผู้คนมีความสะดวกในการเดินทาง การดำรงชีวิตของผู้คนในเกาะเป็นแบบเรียบง่าย บ้านเรือนสร้างด้วยไม้และสีสันที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง มีร้านค้า ร้านอาหารบริเวณท่าเรือน สามารถเดินเที่ยวรอบ ๆ เกาะได้ภายในเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง และที่สำคัญ Marken เต็มไปด้วยธรรมชาติและความเงียบสงบ โดยเฉพาะในช่วงเวลาพลบค่ำ

ข้อมูลเรือเฟอร์รี่ Volendam Marken Express
- พิกัดท่าเรือ: Haven 39, 1131 EP Volendam
- ซื้อตั๋วได้ที่ท่าเรือหรือเว็บไซต์: Volendam Marken Express
- เวลาในการเดินทาง: ประมาณ 20 นาที (เรือออกทุก ๆ 30-45 นาที)
- ราคาตั๋วเดินทาง: แบบไปกลับ 16 ยูโร เที่ยวเดียว 10 ยูโร สำหรับเด็กอายุ 4-11 ขวบ ลด 50%
- สามารถใช้บัตร Iamsterdam City Card นั่งเรือเฟอร์รี่ฟรีไปยังเกาะ Marken
เที่ยวเกาะ Marken
Marken เคยเป็นเกาะปิดไม่มีถนนในคาบสมุทร Markermeer อยู่ในเขตการปกครอง Waterland ในจังหวัดนอร์ทฮอลแลนด์ (North Holland) ห่างจากกรุงอัมสเตอร์ดัมเพียง 30 นาที ในอดีตเกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง ผู้คนจึงสร้างบ้านเรือนแบบใต้ถุนยกสูงบนเนินดินเพื่อหลีกเลี่ยงระดับน้ำ ต่อมาในปี 1916 เกิดภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งใหญ่ ส่งผลให้บ้านเรือนพังลงมาทั้งหลัง และมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต จึงได้มีการสร้างเขื่อนกั้นน้ำ afsluitdijk ซึ่งเป็นทางหลวงขนาดใหญ่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ และเป็นหนึ่งในการจัดการน้ำที่ดีที่สุดของเนเธอร์แลนด์ ปิดกั้นเส้นทางน้ำ Zuiderzee จากทะเลเหนือทำให้น้ำกลายเป็นทะเลสาบน้ำจืด ปัจจุบันเรียกว่า Ijsselmeer
ในปี พ. ศ. 2500 ชาวดัตช์ใช้ความสามารถในการจัดการน้ำเพื่อสร้างทางหลวงเล็ก ๆ สาย N518 ไปยังเกาะ นั้นจึงทำให้ Marken ไม่ใช่เกาะปิดอีกต่อไป ปัจจุบัน Marken เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังคงความงดงามทางด้านวัฒนธรรม ผู้คนมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม และดำรงชีวิตอยู่ภายใต้เกาะเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ รอต้อนรับผู้มาเยี่ยมชมและร่วมย้อนเวลากลับไปสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีตพร้อม ๆ กัน

สถานที่ท่องเที่ยวในเกาะ Marken และกิจกรรมที่น่าสนใจ
- อนุสาวรีย์ระลึกถึงผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติน้ำท่วม (Monument Watersnood 1916)
- ท่าเรือ Marken (Haven Marken)
- โรงงานรองเท้าไม้ (Wooden Shoe Factory)
- บ้านตามแบบฉบับ Marken (Original House of Marken)
- พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ Marken (Marken Museum)
- อนุสาวรีย์ระลึกถึงชายผู้ไม่เคยกลับมา (Monument Men of Marken)
- ประภาคารเดินเรือ (The Horse Of Marken Lighthouse)
อนุสาวรีย์ระลึกถึงผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติน้ำท่วม (Monument Watersnood 1916)
Monument Watersnood 1916 เป็นอนุเสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ปี 1916 ซึ่งเกิดขึ้นรอบ ๆ ทะเล Zuiderzee ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ในคืนของวันพฤหัสบดีที่ 13 ถึงวันศุกร์ที่ 14 เดือนมกราคม ปี พ.ศ. 2459 คลื่นพายุทำให้ระดับน้ำในทะเลสูงขึ้น ส่งผลให้เขื่อนหลายสิบแห่งแตก จากนั้นกระแสน้ำก็พัดกระหน่ำเข้าสู่บ้านเรือน ทั้งยังสร้างความเสียหายให้กับทางเดินภายในและแนวสันเขื่อนหลายแห่ง บ้านไม้บางหลังใน Marken พังลงมาทั้งหมด
จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในจังหวัดนอร์ทฮอลแลนด์จำนวน 19 คน ขณะที่อีก 32 คนเสียชีวิตจากภัยพิบัติต่าง ๆ ในทะเล สมเด็จพระราชินีวิลเฮลมินาเสด็จเยี่ยมพื้นที่ประสบภัย ในปี 2559
100 ปีหลังจากภัยพิบัติน้ำท่วม Marken ได้มีการเปิดตัวอนุสาวรีย์เพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิตทั้งหมด 19 คน (16 คนเป็นลูกหลานของผู้คนใน Marken) และเป็นเครื่องเตือนใจของความโหดร้ายที่ภัยพิบัตินำมาซึ่งความสูญเสียในคืนวันพฤหัสบดีที่ 13 ถึงวันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2459

ท่าเรือ Marken (Haven Marken)
บริเวณท่าเรือ Marken เป็นจุดที่เรือเฟอร์รี่จอดรับส่งผู้โดยสารจากโวเลนดัม (Volendam Marken Express) เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินเที่ยวที่ Marken บริเวณนี้มีร้านค้า ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกตั้งอยู่ตลอดความยาวของท่าเรือ เมื่อมองมายังพื้นที่อาศัยของผู้คนท้องถิ่นจะพบกับบ้านเรือนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งส่วนมากมีการสร้างผนังปิดใต้ถุนบ้าน บ้านเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นบนเนินดิน เนื่องจากเกิดน้ำท่วมบ่อยในอดีต จากที่เคยเป็นเกาะปิดเมื่อมีการสร้างถนนเชื่อมเข้าสู่ Marken ทำให้ไม่ได้เป็นเกาะปิดอีกต่อไป อย่างไรก็ตามการใช้ชีวิตของผู้คนที่นี่ยังคงเป็นแบบดั้งเดิม เน้นความเรียบง่าย ท่ามกลางธรรมชาติและทุ่งหญ้าเขียวขจี


โรงงานรองเท้าไม้ (Wooden Shoe Factory)
ใกล้กับลานจอดรถเราจะพบกับโรงงานรองเท้าไม้ตั้งอยู่ สถานที่แห่งนี้จะพาทุกคนไปเรียนรู้เกี่ยวกับการทำรองเท้าไม้ ซึ่งใช้เครื่องมือเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1906 และมีการนำเครื่องจักรไอน้ำเข้ามาใช้งานตั้งแต่ปี 1913 ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 รองเท้าไม้ได้ถูกผลิตขึ้นในเนเธอร์แลนด์ในไม่ช้าเรียกว่า klomp รองเท้าไม้ทำจากไม้อย่างสมบูรณ์ สวนทางกับเครื่องหนังในอดีตที่มีราคาแพง แม้ว่าระยะเวลาจะผ่านมายาวนานแต่โรงงานรองเท้าไม้ยังคงอยู่ บางแห่งเปลี่ยนถ่ายเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างการเรียนรู้ และสืบสานเกี่ยวกับผลิตรองเท้าไม้
นอกจากนี้ภายในโรงงานยังมีร้านค้าขนาดเล็กที่จำหน่ายรองเท้าไม้ และของที่ระลึกมากมาย รวมถึงการสาธิตการทำรองเท้าไม้ใช้เวลาประมาณ 10 ถึง 15 นาที หากสนใจเข้าชมพิพิธภัณฑ์มีค่าเข้าชมราคา 7.50 ยูโร พิกัด Wooden Shoe Factory

บ้านตามแบบฉบับ Marken (Original House of Marken)
ในอดีตด้วยความที่เกิดน้ำท่วมบ่อย ผู้คนจึงสร้างบ้านบนเนินดิน โดยสร้างแบบใต้ถุนยกสูงเพื่อไม่ให้ท่วมบ้าน และนิยมใช้สีเขียวในการทาสีผนังบ้านตัดกับสีขาว มองดูแล้วเด่นเป็นเอกลักษณ์อย่างลงตัว ต่อมามีการจัดการระดับน้ำที่ดี ชาวบ้านไม่ต้องกังวลเรื่องระดับน้ำจากทะเลสาบ ทำให้มีการต่อเติมและสร้างผนังปิดใต้ถุนบ้าน เปลี่ยนถุนโล่งเหล่านั้นเป็นห้องเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ Marken (Marken Museum)
พิพิธภัณฑ์ Marken จัดแสดงประวัติศาสตร์ของ Marken ชีวิตการทำงาน วัฒนธรรมและประเพณีอันยาวนานตั้งแต่ปี พ. ศ. 2526 ส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์มีการรักษาเค้าโครงเดิมไว้เป็นบ้านของครอบครัวชาวประมงในศตวรรษที่ 19 มีลักษณะเฉพาะด้วยการตกแต่งผนังด้วยจานและภาพพิมพ์จำนวนมาก กล่องเก็บสิ่งของเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิม ถังเก็บน้ำฝน และเตียงนอน รวมถึงจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับสิ่งทอและเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิม ภาพวาดและภาพพิมพ์ เครื่องใช้พื้นบ้าน (รวมถึงการแกะสลักไม้และงานปัก) และผลงานพิเศษของ Marker Jan Moenis (พ.ศ. 2418-2496) มีการนำเสนอด้วยภาพและเสียงเน้นทางด้านประวัติศาสตร์ของ Marken
นอกจากนี้ภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีการจำหน่ายสินค้าขนาดเล็กที่น่าสนใจ หนังสือ แผนที่ โปสการ์ด และอื่น ๆ มีค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ราคา 3 ยูโร ในสถานการณ์ไวรัสพิพิธภัณฑ์ปิดยาวไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2021 สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Marken Museum

อนุเสาวรีย์ระลึกถึงชายผู้ไม่เคยกลับมา (Monument Men of Marken)
Monument Men of Marken สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงลูกเรือจำนวน 7 คนจากเครื่องบิน BK 710 ที่ยังคงสูญหายหลังสงครามโลกครั้งที่สองและพวกเขาไม่เคยได้กลับมาบ้าน ได้รับการเปิดผ้าคลุมเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2011 ก่อนจะมีการปรับปรุงใหม่ในปี 2020
กล่าวคือเรือชูชีพในท้องถิ่นค้นพบเครื่องบินโดยบังเอิญในทะเลสาบทางตะวันออกของ Marken ห่างออกไป 4 กิโลเมตร กลุ่มกู้เครื่องบิน 2483-2488 ได้กู้ซากปรักหักพังส่วนหนึ่ง และยอมรับว่ามีต้นกำเนิดมาจากเครื่องบินทิ้งระเบิดชอร์ตสเตอร์ลิง เริ่มแรกสันนิษฐานว่ามาจากเครื่องบินทิ้งระเบิด Short Stirling ที่มีหมายเลขประจำเครื่อง BK 710 ซึ่งหายไปตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2486 เพื่อรำลึกถึงลูกเรือ BK 710 จึงได้มีการสร้างอนุเสาวรีย์ใน Marken ขึ้นเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2554
อย่างไรก็ตามในปี 2019 จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าซากปรักหักพังของเครื่องบินเหล่านั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องบิน BK 710 แต่เป็นเครื่องบิน BK 716 แทน หลังถูกยิงเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2486 บนเรือ Ijsselmeer ในเวลากลางคืน จากผลการค้นพบในครั้งนี้ทำให้ในปี 2020 อนุเสาวรีย์ใน Marken ได้มีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับเครื่องบิน BK710 ที่อ้างถึงก่อนหน้านี้
พวกเขาถูกยิงตกบริเวณทะเลเหนือเมื่อโดยนักขับกลางคืนชาวเยอรมันซึ่งอยู่ห่างจากเกาะเท็กเซลไปทางเหนือ 40 กิโลเมตร ลูกเรือ BK710 หกในเจ็ดคนยังคงสูญหาย ยกเว้นหนึ่งคนที่พบศพและถูกฝังในเมืองฮัมบูร์กปี 2486 Short Stirling BK 710 จึงเป็นอนุเสาวรีย์จารึกชื่อลูกเรือทั้งเจ็ดคนไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจความโหดร้ายของสงคราม และระลึกถึงความกล้าหาญที่พวกเขาได้สละชีพเพื่ออิสระของบ้านเกิดเมืองนอน

ประภาคารเดินเรือ (The Horse Of Marken Lighthouse)
Lighthouse ประภาคารเดินเรือ หรือที่เรียกว่า Paard ในภาษาดัตช์ ตั้งอยู่ที่ปลายด้านตะวันออกของ Marken หอคอยมีความสูง 16 เมตร และระยะแสง 16.7 กิโลเมตร ใช้เพื่อนำทางเรือไปสู่จุดหมายปลายทางที่ถูกต้อง ในปี 1700 ประภาคารเริ่มต้นที่ทรงสี่เหลี่ยม (เป็นหนึ่งในประภาคารสามแห่งที่ Marken, De Ven และ Durgerdam) เพื่อกำหนดเส้นทางจากทะเล Wadden Sea ไปยัง Amsterdam

ในปี พ. ศ. 2382 หอคอยหินทรงสี่เหลี่ยมถูกแทนที่ด้วยเหล็กกลมบนรากฐานเก่า ต่อมามีการสร้างอาคารอิฐพร้อมบ้านและโกดังบนประภาคารทำให้หอคอยมีรูปร่างลักษณะเฉพาะ ในปัจจุบันประภาคารแห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติตั้งแต่ปี พ. ศ. 2503 มีผู้อยู่อาศัยที่นี่และรับผิดชอบในการจัดการและการทำงานที่เหมาะสมของแสง
การเดินไปชมประภาคารเดินเรือใช้เวลาประมาณ 20 นาทีจากหมู่บ้าน Marken (40 นาที ไปและกลับ) ควรเผื่อเวลาไว้สักนิดเพราะเดินไกล ที่ประภาคารจะสวยเป็นพิเศษในช่วงตอนเย็น โดยเฉพาะใกล้พระอาทิตย์ตกดิน
เที่ยวหมู่บ้านกังหันลม (Zaanse schans)

ไม่ไกลจากหมู่บ้านชาวประมงโวเลนดัมมีสถานที่เที่ยวอีกหนึ่งแห่งที่น่าสนใจ นั้นก็คือ หมู่บ้านกังหันลมซานส์สคันส์ ตั้งอยู่ในย่านเมืองซานดัม (Zaandam) ใกล้กับซานไดค์ (Zaandijk) จังหวัดนอร์ทฮอลแลนด์ ห่างจากอัมเตอร์ดัมประมาณ 50 นาที ที่นี่จะพาเราไปสัมผัสเสน่ห์ของกังหันลม บ้านเรือนไม้เก่าแก่ โรงงานทำรองเท้าไม้ รวมไปถึงพิพิธภัณฑ์ซานส์ (Zaans Museum) ที่บอกเล่าประวัติความเป็นมาของซานส์สคันส์และการปกป้องมรดกของพื้นที่ซานส์ได้อย่างครบคลุม
เที่ยวหมู่บ้านไร้ถนนกีโธร์น (Giethoorn)

หมู่บ้านไร้ถนนกีโธร์น เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเนเธอร์แลนด์ ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ‘เวนิสเนเธอร์แลนด์’ (Venice of the Netherlands) ตั้งอยู่ในจังหวัดโอเฟอร์ไรส์เซิล (Overijssel) อยู่ในเขตเทศบาลสเตนไวค์เคอร์ลันด์ (Steenwijkerland) ห่างจากเมืองสเตนไวค์ (Steenwijk) ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ผู้คนใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่มีเส้นทางการเดินรถ เน้นการสัญจรด้วยเรือเป็นส่วนใหญ่ เหมาะสำหรับการสัมผัสบรรยากาศการใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่แบบไม่เร่งรีบท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบ เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ หากมีเวลาเหลือจากการเที่ยวที่หมู่บ้านไร้ถนนกีโธร์นยังสามารถไปเที่ยวต่อที่เมืองซโวลเลอ (Zwolle) ได้อีกด้วย
อย่าลืมเช็คสภาพอากาศในเนเธอร์แลนด์ก่อนจองตั๋วสถานที่ท่องเที่ยว ส่วนการเดินทางนั้นมีความสะดวก คุณสามารถวางแผนการเดินทางในเนเธอร์แลนด์ด้วยระบบขนส่งสาธารณะ การใช้บัตรเดินทาง OV-chipkaart รวมไปถึงการขับรถยนต์เที่ยวในเนเธอร์แลนด์ด้วยตัวเอง