เที่ยวปอร์โต (Porto) เมืองใหญ่อันดับ 2 ของโปรตุเกส เมืองนี้ต้องบอกเลยว่ามีเสน่ห์ไม่แพ้ลิสบอนเลยทีเดียว และที่สำคัญใครไปตั้งแต่ครั้งแรกก็อาจจะชอบเลย เพราะด้วยบ้านเมืองที่มีหลากสีสันและตั้งลดหลั่นลงมาตามไหล่เขาไปจนถึงชายฝั่งแม่น้ำโดรูเกิดเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามราวกับภาพวาด
ปอร์โตยังมีพอร์ตไวน์มีชื่อเสียงระดับโลกที่น่าไปลิ้มลองด้วยตัวเอง และรวมที่เที่ยวน่าสนใจไว้หลายแห่ง ตั้งแต่อาสนวิหารปอร์โตสไตล์โรมาเนสก์ไปจนถึงสะพานดอมหลุยส์ที่ 1 อันโดดเด่น และลิฟราเรียเลโล่ที่ว่ากันว่าเป็นร้านหนังสือสวยงามที่สุดในยุโรป
แม้จะมีเวลาเที่ยวแบบเดย์ทริปแต่ก็เพียงพอสำหรับการสัมผัสความสวยงามของปอร์โตด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับคู่มือนี้ที่จะพาทุกคนไปเดินเที่ยวปอร์โตด้วยกันตั้งแต่เช้าจนถึงชมพระอาทิตย์ตกเย็น พร้อมที่เที่ยวน่าสนใจ รวมถึงวิธีเดินทางเข้าเมือง การใช้ระบบขนส่งสาธารณะของที่นี่ และงบเที่ยวที่ต้องกระซิบไว้ก่อนว่าไม่แพงเลย
ใช้บัตรปอร์โตการ์ด (Porto Card)
สำหรับคนที่วางแผนเที่ยวปอร์โต 1-4 วัน เพื่อความประหยัดแนะให้ใช้บัตร Porto Card บัตรนี้ไม่เพียงแต่นำไปใช้เดินทางฟรีด้วยระบบขนส่งสาธารณะได้เท่านั้น แต่ยังรวมการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฟรีทั้ง 7 แห่ง พร้อมรับส่วนลดสูงสุดถึง 50% สำหรับที่เที่ยวสำคัญหลายแห่ง ครอบคลุมถึงพระราชวังโบลซา โบสถ์และหอคอยเคลริโกส อาคารคาซ่าดามิวสิคา ทัวร์พร้อมไกด์ ฯลฯ รวมถึงส่วนลดร้านอาหารและร้านค้าที่ร่วมรายการอีกมากมาย คุ้มค่าและไม่ต้องซื้อตั๋วเดินทางบ่อย ๆ แบบนี้ต้องมีติดตัวไว้เที่ยวปอร์โตด้วยตัวเองแล้วน๊า
เที่ยวปอร์โต: ทานมื้อเช้าที่คาเฟ่เก่าแก่กว่า 100 ปี (Majestic Café)
เริ่มต้นมื้อเช้าในปอร์โตเราก็ไปกันที่ Majestic Café ซึ่งเป็นคาเฟ่ร้านดังตั้งอยู่ใจกลางถนนซานตาคาตารินา (R. de Santa Catarina) ร้านนี้นอกจากจะมีความเก่าแก่กว่า 100 ปีแล้ว ด้านในยังตกแต่งสวยงามและมีบรรยากาศดีอีกด้วย โดยเน้นโทนสีขาวและชมพู ประดับผนังด้วยกระจกที่มีส่วนโค้งจากไม้ขัดเงาและมีที่นั่งเรียงสามแถว
เมนูขึ้นชื่อของคาเฟ่มะเจสทิคก็คือ Rabanada (8 ยูโร) หรือเฟรนช์โทสต์สูตรลับเฉพาะของทางร้าน ที่ว่ากรอบนอกนุ่มในมาพร้อมซอสราดหน้าที่ไม่เหมือนใคร และโรยด้วยธัญพืชแบบกรุบกริบ พอทานแล้วกรอบนอกนุ่มในสมคำล่ำลือจริง ๆ แต่ซอสอาจจะติดหวานไปนิดหนึ่ง อีกอย่างที่เราลองก็คือทาร์ตไข่ (3 ยูโร) แป้งของทางร้านค่อนข้างจะหนา แต่ครีมข้างในอร่อย ส่วนรสชาติก็ว่าติดหวานไปอีกเช่นกัน อันนี้แล้วแต่คนชอบเลย แล้วก็ปิดท้ายด้วยกาแฟคาปูชิโน่ (3.25 ยูโร) ซึ่งก็ช่วยดับความหวานของเฟรนช์โทสต์และทาร์ตไข่ได้ดี
สงวนราคาที่จ่ายไปสำหรับสองคนคือ 24 ยูโร เป็นมื้อเช้าที่คิดว่าแพงไปนิด แล้วทาร์ตไข่ก็แพงเช่นกันถ้าเทียบกับร้านทั่วไปที่อยู่ประมาณ 1-1.5 ยูโรต่อชิ้น โดยรวมแล้วไม่หักแต้มที่ร้านตกแต่งสวย บรรยากาศดี ส่วนราคาก็สมเหตุสมผลกับความเก่าแก่ของร้าน เอาเป็นว่าถ้าใครอยากได้ประสบการณ์ด้วยตัวเองก็ลองแวะมากันได้
เที่ยวปอร์โต: ลิ้มลองทาร์ตไข่ (Pastéis de Nata)
อิ่มท้องกับมื้อเช้าแบบเบา ๆ กันแล้วเราก็เดินเล่นต่อในถนนซานตาคาตารินา ถนนนี้นอกจากจะรวมร้านค้าและโรงแรมหลายแห่งแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของโบสถ์ Chapel of Souls ที่มีกระเบื้องวาดสีฟ้าประดับที่ผนังด้านนอกอีกด้วย รวมถึงมีร้านขายทาร์ตไข่ที่เราแวะไปลองก็คือ Fábrica da Nata ตั้งอยู่ห่างจากคาเฟ่มะเจสทิคเพียง 3 นาที
ความน่าสนใจของร้านนี้นอกจากจะได้คะแนน 4.6 ดาวจากกูเกิ้ลรีวิวแล้ว ทาร์ตไข่ของเขายังไม่แพง เพียง 1.20 ยูโรต่อชิ้น พอลองแล้วอร่อย ความหวานกำลังพอดี ข้างในเป็นครีมนุ่ม ๆ บรรยากาศภายในร้านก็ดี ตกแต่งด้วยกระเบื้องภาพวาดสีฟ้า มีโซนที่นั่งด้านใน แล้วก็โซนหน้าร้านขายทาร์ตไข่ ทางร้านยังมีเมนูอาหารเช้าในราคาถูกด้วยเพียง 4 ยูโร ถ้าใครที่อยากได้มื้อเช้าราคาประหยัด บรรยากาศดี ราคาไม่แพง แนะนำร้านนี้เลย
นอกจากทาร์ตไข่ที่ร้าน Fábrica da Nata ถ้าเดินตามถนน Formosa ไปจะมีทาร์ตไข่รสชาติดีอีกหนึ่งร้าน คือ Manteigaria ร้านนี้มีสาขาในลิสบอนที่ไปลองมาแล้วชอบ รสชาติหวานกำลังดี แป้งกรอบนอกนุ่มใน ครีมข้างในอร่อย ราคาชิ้นละ 1.30 ยูโร ส่วนใครที่อยากเรียนรู้วิธีการทำทาร์ตไข่อย่างใกล้ชิด → ลองเข้าร่วมคลาสทำทาร์ตไข่พร้อมสูตรดั้งเดิมคุณยาย ก็เป็นไอเดียที่ดีเหมือนกัน
เที่ยวปอร์โต: เดินตลาดท้องถิ่นโบลเฮา (Mercado do Bolhão)
จากร้านทาร์ตไข่ Manteigaria เดินต่อไปอีก 1 นาที จะเจอกับตลาดโบลเฮาตั้งอยู่ทางขวามือ ตลาดนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานตั้งแต่ปี 1839 เลยทีเดียว ที่สำคัญสถาปัตยกรรมของตัวอาคารยังสะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 อีกด้วย โดยมีพื้นที่ขนาดใหญ่และโปร่งสบายพร้อมโครงสร้างเหล็กดัดอันโดดเด่น เหมาะสำหรับการเดินชอปปิงและหาอาหารท้องถิ่นทาน
ด้านในตลาดแบ่งพื้นที่ออกเป็นสี่โซน มีทางเดินตรงกลาง 3 ทาง รวมแผงขายของถึง 79 แผง ตั้งแต่อาหารทะเล เนื้อสัตว์ ผักสดและผลไม้ ไปจนถึงที่ระลึกและผลิตภัณฑ์งานฝีมือท้องถิ่น ที่ชอบมากเลยก็คือตลาดสะอาดมาก ด้วยความที่มีหลังคามุ่งสูงทำให้มีบรรยากาศถ่ายเทสะดวก ถ้าเดินตามทางเดินข้างในไปเรื่อย ๆ จนสุดจะเจอกับทางขึ้นบันไดไปเดินเล่นบนระเบียงชั้นบนและมีมุมถ่ายภาพสวย ๆ ตลาดเปิดทุกวัน (ยกเว้นวันอาทิตย์) เวลา 08:00-20:00 น.
เที่ยวปอร์โต: โบสถ์และหอคอยเคลริโกส (Clerigos Church and Tower)
เดินเล่นที่ตลาดโบลเฮาแล้วถ้าใครอยากชมวิวเมืองจากมุมสูงต้องแวะไปที่หอคอยเคลริโกส ซึ่งตั้งอยู่ติดกับโบสถ์เคลริโกส ห่างจากตลาดเพียง 12 นาที โบสถ์นี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Igreja dos Clérigos เป็นผลงานชิ้นเอกสไตล์บาโรก ข้างในสวย ประดับแท่นสักการะบูชาและงานไม้ปิดทองอันวิจิตรบรรจง ที่สำคัญมีบรรยากาศที่เงียบสงบ และมีทางเดินวนรอบโบสถ์ไปยังชั้นต่าง ๆ ถ้าขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดมองลงมาจะเห็นแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ใจกลางโบสถ์อย่างลงตัว โบสถ์เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรี
ไฮไลท์อีกอย่างเมื่อมาเยือนโบสถ์เคลริโกสก็คือส่วนหอคอยที่ตั้งอยู่ติดกัน โดยมีความสูงประมาณ 76 เมตร ถ้าเดินขึ้นบันไดเวียนไปจนถึงชั้นบนสุดจะเห็นทิวทัศน์แบบพาโนรามาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองปอร์โต ไล่ตั้งแต่ใจกลางเมืองไปจนถึงอาสนวิหารแห่งปอร์โตและแม่น้ำโดรู นับว่าคุ้มค่ากับค่าตั๋วที่จ่ายไป ส่วนทางเดินขึ้นบันไดเวียนค่อนข้างแคบและชัน ควรใช้ความระมัดระวังในการเดิน และอาจจะไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องหัวเข่า
เที่ยวปอร์โต: ร้านหนังสือสวยงามที่สุดในยุโรป (Livraria Lello)
ใกล้กับหอคอยเคลริโกสถ้าใครที่เป็นแฟนหนังสือต้องแวะไปที่ Livraria Lello ซึ่งเป็นร้านหนังสือที่สวยที่สุดในยุโรปเลยก็ว่าได้ ข้างในร้านแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ทั้งสองชั้นรวมหนังสือภาษาอังกฤษและภาษาโปรตุเกสที่อยู่ในตู้ไม้อย่างสวยงาม โดยมีไฮไลท์คือบันไดตรงกลางที่เชื่อมต่อชั้นหนึ่งและชั้นสองที่ใครหลายคนอาจจะเห็นรูปภาพจากอินเทอร์เน็ตมาแล้ว ในขณะที่ผนังด้านบนประดับด้วยกระจกสีอย่างสวยงามเช่นกัน ทางร้านยังมีมุมขายหนังสือ Harry Potter อีกด้วย ถ้าแพลนมาที่นี่อย่าลืมจองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้ามาก่อน (แต่ก็ต้องยืนต่อคิวเข้าชมตามรอบเวลาแต่ไม่นาน) ราคาตั๋วสามารถนำไปหักเป็นส่วนลดในการซื้อหนังสือได้
เที่ยวปอร์โต: โบสถ์คาร์โม (Igreja do Carmo)
จากร้านหนังสือถ้าเดินตามถนน R. do Carmo ไปอีก 2 นาทีจะเจอกับโบสถ์คาร์โมที่อยู่ใกล้กับจุดจอดรถรางสาย 18 ป้าย Carmo โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 โดยเน้นการออกแบบในสไตล์บาโรกเป็นหลัก และมีจุดเด่นคือกระเบื้องภาพวาดสีฟ้าที่ประดับผนังด้านนอกอย่างสวยงาม นับว่าเป็นมุมถ่ายภาพยอดนิยมเลยทีเดียว ติดกับโบสถ์นี้มีโบสถ์ Carmelitas ซึ่งถูกคั่นกลางด้วยบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ว่ากันว่าเป็นบ้านที่แคบที่สุดในโลก ส่วนด้านในโบสถ์ก็สวยงามเช่นกัน มีแท่นบูชาและงานไม้ปิดทอง รวมถึงประดับด้วยรูปปั้นและงานแกะสลักอันวิจิตรบรรจง
เที่ยวปอร์โต: หนึ่งในสถานีรถไฟที่สวยที่สุดในโลก (Porto São Bento)
เที่ยวร้านหนังสือและชมหอคอยเคลริโกสกันแล้วนักท่องเที่ยวสามารถเดินอีก 11 นาทีไปยังสถานีเซาเบนโต ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานีรถไฟที่สวยที่สุดในโลก สถานีนี้มีอายุย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดดเด่นด้วยกระเบื้องภาพวาดสีฟ้าที่ดึงดูดใจใครหลายคนให้มาชมด้วยตัวเอง
เมื่อเข้าไปด้านในจะพบกับห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งใช้เป็นพื้นที่ศูนย์กลางการคมนาคมของเมือง ในขณะที่ทางซ้ายมือเป็นพื้นที่จอดรถไฟหลายขบวน โดยมีไฮไลท์คือกระเบื้องสีน้ำเงินและสีขาวที่จัดเรียงอย่างพิถีพิถันรวมกว่า 20,000 แผ่น แต่ละแผ่นบอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ สื่อถึงชีวิตในชนบทและช่วงเวลาที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรม ทำให้เกิดเป็นกระเบื้องโมเสคขนาดใหญ่ที่เชิดชูอัตลักษณ์ของประเทศ การได้มาเดินเล่นที่นี่ด้วยตัวเองจึงไม่เพียงแต่ได้ชื่นชมงานสถาปัตยกรรมและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังไม่ได้ภาพสวย ๆ กลับไปด้วย
เที่ยวปอร์โต: จุดชมวิวดารัวดาสอัลดาส (Miradouro da Rua das Aldas)
จากสถานีรถไฟเซาเบนโตถ้าเดินอีกประมาณ 5 นาที ผ่านสถานีรถไฟใต้ดินฝั่งประตู D แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปจะเจอกับจุดชมวิวดารัวดาสอัลดาสที่ตั้งอยู่ด้านหน้าอาสนวิหารแห่งปอร์โต จุดชมวิวนี้แม้จะไม่สูงเท่ากับหอคอยเคลริโกสที่ไปมาก่อนหน้านี้ แต่ก็ถือว่าเป็นจุดชมวิวยอดนิยมอีกหนึ่งแห่งของเมืองที่ให้ทิวทัศน์ริมแม่น้ำโดรูอย่างสวยงาม โดยสามารถมองเห็นหอคอยเคลริโกส สถานีรถไฟเซาเบนโต รวมถึงแม่น้ำโดรูและบ้านเรือนฝั่งตรงข้าม เอาเป็นว่าวิวศูนย์บาทจากมุมนี้ก็คุ้มอยู่ไม่น้อย
เที่ยวปอร์โต: อาสนวิหารแห่งปอร์โต (Porto Cathedral)
แวะชมวิวที่ดารัวดาสอัลดาสพอหอมปากหอมคอแล้วต้องไม่พลาดเข้าชมอาสนวิหารแห่งปอร์โต ซึ่งเป็นอาสนวิหารสำคัญของเมืองที่มีอายุเก่าแก่ย้อนไปจนถึงศตวรรษที่ 12 ด้านในต้องบอกว่าสวยคุ้มค่าตั๋ว ได้รับการตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์และบาโรก โดยแต่ละองค์ประกอบก็บอกเล่าวิวัฒนาการของอาสนวิหาร มีทางเดินตรงกลางเป็นโพรงกว้างใหญ่ พอเดินเข้าไปจะได้กลิ่นของหินโบราณ และมีหน้าต่างกระจกสีกรองแสงแดดเพื่อสร้างบรรยากาศที่ลึกลับ
นอกจากงานสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัวแล้ว ถ้าเดินตามบันไดขึ้นไปยังชั้นสองจะเป็นส่วนของพื้นที่เปิดโล่ง มีระเบียงเหล็กดัดล้อมจัตุรัสด้านในทั้งสี่ด้าน มองลงไปเห็นอารามส่วนกลางที่โดดเด่นด้วยเสาและส่วนโค้ง รวมถึงงานกระเบื้องโปรตุเกสแบบดั้งเดิมที่เป็นไฮไลท์อีกหนึ่งอย่างของอาสนวิหารแห่งนี้ แล้วเจ้ากระเบื้องนี้ประดับอยู่แทบทุกส่วนของอาสนวิหารเลยก็ว่าได้ ใครที่ชอบมาแล้วได้เห็นแบบเต็มอิ่มเลย
จากระเบียงชั้นสองจะนำเราไปยังทางเข้าหอคอยเพื่อเดินขึ้นบันไดวนไปยังชั้นบนสุด พอถึงแล้วจะมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของเมืองปอร์โตและพื้นที่โดยรอบ ไล่ตั้งแต่สถานีรถไฟเซาเบนโต หอคอยเคลริโกส สะพานเหล็กโค้งยาวที่สุดในโลก (Luís I Bridge) แม่น้ำโดรูและบ้านเรือนย่านคลาสสิก (Ribeira do Porto) รวมถึงจุดชมวิวดารัวดาสอัลดาสที่เราไปชมก่อนหน้านี้ ทั้งหมดนี้แทบไม่เชื่อเลยว่าจ่ายไปเพียง 3 ยูโร เอาเป็นว่าคุ้มเกินคุ้ม และควรเผื่อเวลาเข้าชมไว้ประมาณ 30-40 นาที
เที่ยวปอร์โต: จัตุรัสบ้านสีลูกกวาด (Largo da Pena Ventosa)
ชมอาสนวิหารแห่งปอร์โตแล้วเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที จะเจอกับจัตุรัสลับที่ชื่อว่า Largo da Pena Ventosa ความน่าสนใจของจัตุรัสนี้คือซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ ถ้าไม่เดินมาเองก็ไม่รู้ว่ามีอะไรดี ๆ แบบนี้ซ่อนอยู่ พอมาถึงแล้วจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เงียบสงบมาก มีคาเฟ่เล็ก ๆ ตั้งอยู่ในจัตุรัส และรายล้อมไปด้วยบ้านเรือนสีสันสดใส เช่น สีเหลือง ชมพู สีฟ้า สีส้ม และสีแดง เอาจริง ๆ ฟังดูแล้วก็อาจเหมือนจัตุรัสทั่วไปแต่มาแล้วชอบ ตอนเดินผ่านบ้านคนก็มีตากผ้านอกบ้าน คือมันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่เราไม่คิดว่าจะได้เห็นในยุโรป แปลกดี ถ้าชอบอะไรที่น่ารักแบบนี้ก็แวะมาเดินเล่นได้
เที่ยวปอร์โต: พระราชวังโบลซา (Bolsa Palace)
เที่ยวย่านประวัติศาสตร์ของปอร์โตกันแล้วต่อไปเราจะเปลี่ยนบรรยากาศไปเดินชมเมืองที่ย่านคลากสิกริมแม่โดรูกันบ้าง ย่านนี้รวมที่เที่ยวน่าสนใจไว้หลายแห่ง รวมถึงพระราชวังโบลซาที่มีความสวยงามและเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม โดยสามารถเดินลงเนินเขาผ่านบ้านเรือนที่ตั้งอยู่บนถนนสายแคบ ๆ ไปยังพระราชวังได้ในเวลา 15 นาที
พระราชวังโบลซาถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของการเที่ยวปอร์โตเลยก็ว่าได้ ซึ่งพระราชวังแห่งนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่เกี่ยวพันกับการพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของเมืองอย่างลึกซึ้ง โดยสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 เมื่อครั้งปอร์โตเป็นศูนย์กลางการค้าในยุคนั้น เพื่อใช้เป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์ของเมือง
การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2385 บนที่ตั้งของอดีตสำนักแม่ชีเซนต์ฟรานซิส ในรูปแบบสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิกเป็นหลัก ต่อมาเกิดวิวัฒนาการทางสถาปัตยกรรมของอาคารสะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมและอิทธิพลที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา โดยรวมเอาองค์ประกอบของสถาปัตยกรรมนีโอพาเลเดียนและมัวร์เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการพัฒนาไปสู่อาคารอันยิ่งใหญ่ที่เราเห็นในปัจจุบัน
การเข้าชมพระราชวังโบลซาต้องจองตั๋วตามรอบเวลาพร้อมกับไกด์ทางการของพระราชวัง (มีหลายภาษารวมภาษาอังกฤษ) ซึ่งไกด์จะให้ข้อมูลทุกส่วนอย่างละเอียด เริ่มตั้งแต่ส่วนแรกที่เป็นทางขึ้นบันไดโนเบิลไปยังชั้นหนึ่ง ชั้นนี้โดดเด่นด้วยห้องโถงขนาดใหญ่ที่เรียกว่าหอประชุมแห่งชาติ ซึ่งมีโดมกระจกตรงกลางเพื่อรับแสงธรรมชาติ ในขณะที่ตัวอาคารล้อมด้วยหน้าต่างซึ่งมีตราอาร์มของ 20 ประเทศที่โปรตุเกสมีความสัมพันธ์ทางการค้าในขณะนั้นประดับอยู่ด้านบน
จากห้องโถงส่วนกลางจะเริ่มสู่พื้นที่ชั้นในซึ่งประกอบไปด้วยหลายห้อง เช่น ห้องประชุมใหญ่ที่โดดเด่นด้วยโคมระย้าที่อยู่ตรงกลางซึ่งมีน้ำหนักประมาณหนึ่งตัน รวมถึงการใช้ปูนปลาสเตอร์ทำให้ผนังดูเหมือนทำจากไม้ ถือเป็นภาพลวงตาขนาดมหึมาจากช่างฝีมือชำนาญการ รวมถึงห้องพิจารณาคดีและห้องทองคำที่ประดับด้วยโคมไฟระย้าสามตัวและผนังสีขาวที่ปิดทับด้วยทองคำอย่างสวยงาม
นอกจากห้องสำคัญต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่บนชั้นสองแล้ว แน่นอนว่ายังมีไฮไลท์การเข้าชมที่ไกด์เปิดประตูเข้าไปทุกคนต้องร้องว้าวเลยก็คือห้องอาหรับ (Arabian Hall) หรือ Salão Árabe ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากพระราชวังอาลัมบราในเมืองกรานาดา พอได้เข้าไปยืนชมใกล้ ๆ แล้วต้องบอกว่าสวยเวอร์วังอลังการเลยทีเดียว แม้จะไม่ได้ใหญ่เท่ากับพระราชวังอาลัมบราแต่ก็ทำออกมาได้ไม่มีที่ติเลย โดยผสมผสานสุนทรียศาสตร์แบบมัวร์ที่แปลกใหม่ ประดับด้วยเสาปูนปั้นอันประณีต พร้อมลาดลายบนฝาผนังที่ปิดทับด้วยทองคำ สลับกับเติมแต่งสีสันด้วยสีแดงและสีเขียว พร้อมตกแต่งส่วนโค้งอันวิจิตรงดงาม ดูแล้วสัมผัสได้ถึงเสน่ห์มนต์ขลังแต่ก็ดูอ่อนโยนน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน
การเข้าชมพระราชวังโบลซาแม้จะใช้เวลาเพียง 30 นาที แต่ก็เพียงพอสำหรับรายละเอียดปีกย่อยจากไกด์ ที่รวมการเข้าชมห้องต่าง ๆ ในจำนวนไม่มากและน้อยจนเกินไป ที่สำคัญแม้ว่าตลาดหลักทรัพย์จะย้ายไปยังสถานที่ที่ทันสมัยกว่า แต่พระราชวังแห่งนี้ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของมรดกการค้าขายของปอร์โต ที่เปิดให้ผู้มาเยือนได้ย้อนเวลากลับไปถึงความยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของปอร์โตด้วยตัวเอง
เที่ยวปอร์โต: นั่งรถรางสาย 1 (Porto Tram 1)
ชมพระราชวังโบลซาแล้วแน่นอนว่ากิจกรรมยอดฮิตอีกหนึ่งอย่างเมื่อมาเที่ยวปอร์โตก็คือการนั่งรถรางสายประวัติศาสตร์ ซึ่งรถรางนี้ไม่ได้มีให้เห็นเฉพาะแค่ปอร์โตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรถรางสาย 28 ในลิสบอนที่เราลองนั่งมาแล้ว ส่วนในปอร์โตมีอยู่ด้วยกัน 3 สาย คือ สาย 1 ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุด วิ่งเลียบแม่น้ำโดรูพร้อมทิวทัศน์ที่สวยงามของผืนน้ำและสะพาน Dom Luís I อันโด่งดัง ส่วนสาย 18 และ 22 จะวิ่งไปตามเส้นทางในเมือง
รถรางสาย 1 ถือเป็นพาหนะโบราณของปอร์โตที่ยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และมีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ทำได้ในเวลา 23 นาที และยังตกแต่งด้วยไม้และการออกแบบคลาสสิกช่วยให้ผู้โดยสารเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต จุดขึ้นรถรางสาย 1 ตั้งอยู่ที่ป้าย Infante ใกล้กับพระราชวังโบลซา รถรางวิ่งทุก 20 นาที ผ่านป้ายต่าง ๆ รวมถึงพิพิธภัณฑ์รถรางปอร์โต สะพานโค้ง Ponte da Arrábida ไปสิ้นสุดที่ป้าย Passeio Alegre ตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ชายหาดและป้อมปราการ Fortaleza de São João da Foz
เที่ยวปอร์โต: นั่งรถตุ๊กตุ๊กนำเที่ยว (Tuk Tuk Tour)
นอกจากรถรางสายประวัติศาสตร์ที่ห้ามพลาดแล้วยังมีรถตุ๊กตุ๊กนำเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกด้วย ซึ่งคล้ายกับตุ๊กตุ๊กบ้านเราเลย แต่ในปอร์โตส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การนำเที่ยว เนื่องจากเมืองตั้งอยู่บนเนินเขา การเดินเที่ยวอาจจะไม่สะดวกสำหรับใครหลายคน ตุ๊กตุ๊กก็เลยกลายมาเป็นพาหนะยอดนิยมที่จะพานักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้ง่ายดายและรวดเร็วกว่าระบบขนส่งสาธารณะปกติที่ไม่สามารถไปตามถนนสายแคบ ๆ ได้ ที่สำคัญคนขับยังเป็นไกด์นำเที่ยวไปในตัว
โดยทั่วไปรถตุ๊กตุ๊กนำเที่ยวจะครอบคลุมทั้งส่วนประวัติศาสตร์และสมัยใหม่ของปอร์โต เช่น เขตริเบรา สะพาน Dom Luís I อาสนวิหารปอร์โต หอคอยเคลริโกส ร้านหนังสือที่สุดที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ฯลฯ รวมถึงพระราชวังโบลซา รถตุ๊กตุ๊กนำเที่ยวบางแห่งอาจจะรวมล่องเรือชมเมืองปอร์โตจากแม่น้ำโดรูด้วย นับว่าเป็นกิจกรรมทัวร์ชมเมืองแบบสนุกที่น่าลอง
ระยะเวลารถตุ๊กตุ๊กนำเที่ยวมีให้เลือกหลายแบบ ทั้งรายชั่วโมง ครึ่งวัน และเต็มวัน ราคาก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและเส้นทางที่เลือก ซึ่งแบบกลุ่มเฉพาะอาจจะแพงกว่าแบบที่เข้าร่วมกลุ่มกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ สำหรับทัวร์รถตุ๊กตุ๊กขั้นพื้นฐานในปอร์โตหนึ่งชั่วโมง ราคาประมาณ 30-50 ยูโรต่อคน ทัวร์ส่วนตัวแบบครึ่งวันหรือรายวัน ราคาประมาณ 60-150 ยูโรต่อคนหรือมากกว่าหนึ่งคน ก่อนใช้บริการอย่าลืมสอบถามราคาและเส้นทางให้แน่ใจ
เที่ยวปอร์โต: เดินเที่ยวย่านคลาสสิกของปอร์โต (Ribeira do Porto)
มาเที่ยวปอร์โตถ้าไม่ได้แวะมาเดินเล่นที่ย่านริเบราก็เหมือนมาไม่ถึงที่ ซึ่งย่านนี้นับว่าเป็นย่านประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตชีวาของเมือง โดยโอบล้อมริมฝั่งแม่น้ำโดรูและเต็มไปด้วยบ้านเรือนสีสันสดใสที่อัดแน่นไปด้วยระเบียงเหล็กดัดและราวตากผ้าที่พลิ้วไหวตามสายลม
ในอดีตย่านริเบราเป็นส่วนสำคัญของกิจกรรมทางทะเลและการค้าของปอร์โต ทำให้มีโกดังเก็บสินค้าที่ขนส่งทางเรือไปตามแม่น้ำโดรู ปัจจุบันอาคารหินเก่าแก่หลายหลังถูกดัดแปลงมาเป็นร้านค้าและร้านอาหาร และยังสะท้อนถึงอดีตการค้าที่รุ่งเรืองของปอร์โตด้วย
นักท่องเที่ยวสามารถเดินลัดเลาะไปตามถนนที่ปูด้วยหินสายแคบ ๆ จะพบกับทางเดินริมแม่น้ำที่รู้จักกันในชื่อ Cais da Ribeira ซึ่งเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมต่าง ๆ ที่นี่ และรวมร้านกาแฟและร้านอาหารริมแม่น้ำไว้นับไม่ถ้วน ในตอนเย็นบริเวณนี้จะมีบรรยากาศที่คึกคักเป็นพิเศษด้วยการแสดงดนตรีสดและการแสดงข้างถนน ส่วนตอนกลางวันก็เหมาะสำหรับการทานอาหารหรือนั่งชมผืนน้ำพร้อมวิวสวย ๆ ที่มีสะพาน Dom Luís I เป็นฉากหลัง
เดินเล่นบนสะพานเหล็กโค้งยาวที่สุดในโลก (Luís I Bridge)
เดินเที่ยวย่านคลาสสิกของปอร์โตแล้วต่อไปเราก็จะไปเดินเล่นที่สะพาน Dom Luís I กันต่อ ซึ่งว่ากันว่าเป็นสะพานเหล็กโค้งยาวที่สุดในโลกเลยทีเดียว ทำหน้าที่เชื่อมต่อย่านริเบราและย่านพอร์ตแห่งไวน์วิลาโนวาเดไกอาเข้าด้วยกัน มีทั้งหมด 2 ชั้น คือ ชั้นแรกที่สามารถเข้าถึงได้จากย่านริเบรา ใช้สำหรับเป็นเส้นทางสัญจรของยานพาหนะและทางเดินเท้า และชั้นที่สองที่ตั้งอยู่บนย่านบาตาลฮาตอนบนของเมือง สามารถเข้าถึงได้จากถนน Av. Vimara Peres ที่อยู่ใกล้กับอาสนวิหารปอร์โต ใช้สำหรับเป็นเส้นทางรถไฟใต้ดินและคนเดินเท้าโดยเฉพาะ แนะนำให้เดินชมทั้งสองชั้นเพราะวิวสวยไม่แพ้กัน แต่ชั้นบนจะเห็นวิวที่ชัดเจนกว่า
สะพานดอมหลุยส์ที่ 1 ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงทางข้ามแม่น้ำเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าทางวิศวกรรมของปอร์โต ได้รับการสร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และออกแบบโดย Théophile Seyrig วิศวกรชาวเบลเยียมผู้โด่งดังซึ่งเป็นลูกศิษย์ของกุสตาฟ ไอเฟล และยังได้รับอิทธิพลจากหอไอเฟลที่เห็นได้ชัดจากการออกแบบของสะพานโดยเฉพาะงานเหล็กที่สลับซับซ้อน ทำให้เกิดเป็นแนวโค้งที่ดูเหมือนลอยข้ามแม่น้ำ นับว่ามีเอกลักษณ์และสามารถใช้งานได้จริง
นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นสะพานดอมหลุยส์ที่ 1 เพื่อชมทัศนียภาพอันงดงามตระการตาของปอร์โตและแม่น้ำโดรู พอไปยืนอยู่ใจกลางสะพานจะเห็นบ้านเรือนย่านริเบราที่ตั้งสลับกันเป็นชั้น ๆ บนเนินเขา ในขณะที่ในแม่น้ำก็เต็มไปด้วยเรือทัวร์นำเที่ยว ส่วนฝั่งซ้ายมือคือบ้านเรือย่านพาร์ตไวน์ไกอา ทั้งหมดนี้พอถ่ายภาพออกมาแล้วสวยแบบว่าไม่ได้เลย
ถ้าเดินตามสะพานดอมหลุยส์ที่ 1 จากชั้นแรกไปเรื่อย ๆ จะเข้าสู่ย่านพอร์ตไกอาตอนล่างอย่างพอดิบพอดี แต่ถ้าเดินมาจากชั้นสองจะเข้าสู่ย่านนี้ในส่วนตอนบนของพื้นที่ ทั้งสองส่วนถ้าไม่สะดวกเดินสามารถใช้บริการกระเช้าลอยฟ้า Gaia cable car ที่เชื่อมต่อพื้นที่ริมแม่น้ำและเนินเขาได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
เที่ยวปอร์โต: เดินเล่นต่อย่านพอร์ตไวน์ที่มีชื่อเสียง (Vila Nova de Gaia)
แน่นอนว่าเมื่อเดินข้ามสะพานหลุยส์ที่ 1 มาแล้วจะเป็นย่านพอร์ตไวน์ไกอาที่มีชื่อเสียงของปอร์โต ย่านนี้นับว่ามีบรรยากาศที่มีเสน่ห์ไม่แพ้ย่านย่านริเบราเลยทีเดียว และที่สำคัญรวมโรงผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงไว้ด้วย เช่น Burmester, Caves Cálem และ Sandeman ทั้ง 3 แห่งไม่เพียงแต่ผลิตไวน์คุณภาพดีแต่ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการหมักไวน์ในเชิงลึกและยังสามารถลิ้มลองรสชาติไวน์ได้อีกด้วย
นอกจากโรงผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงแล้วถ้าเดินเล่นตามถนน Cais de Gaia ไปตามริมฝั่งแม่น้ำจะมองเห็นจุดจอดเรือท่องเที่ยวที่มีฉากหลังเป็นทิวทัศน์อันงดงามของบ้านเรือนย่านริเบราอย่างลงตัว ส่วนฝั่งซ้ายมือรวมร้านอาหารและคาเฟ่กลางแจ้งไว้หลายแห่ง
ถ้าเดินตามถนนนี้ไปเรื่อย ๆ จะเจอกับจุดกระเช้าลอยฟ้าไกอาที่ตั้งอยู่ใกล้กับตลาด Mercado Beira-Rio ที่มีชื่อเสียงของย่านนี้ รวมถึง WOW Porto – The Best Cultural District ที่เป็นกลุ่มอาคารพิพิธภัณฑ์ทั้ง 5 แห่ง ครอบคลุมถึงพิพิธภัณฑ์จัดแสดงไวน์โดยเฉพาะ ซึ่งบอกเล่ากระบวนการทำไวน์ตั้งแต่การเพาะปลูกองุ่นไปจนถึงการผลิต การบรรจุหีบห่อ และการตลาดของไวน์ นับว่าเหมาะเลยทีเดียวสำหรับคนที่ชื่นชอบไวน์
เที่ยวปอร์โต: ชมวิวเมืองปอร์โต (Miradouro da Serra do Pilar)
เดินเที่ยวปอร์โตจากเช้าถึงเย็นกันแล้ว แน่นอนว่าเราจะมาปิดท้ายเดย์ทริปกันด้วยกิจกรรมชมพระอาทิตย์ตกเย็นสุดประทับใจกันบ้าง และจุดที่เห็นวิวแบบอลังการที่สุด คือ Miradouro da Serra do Pilar ตั้งอยู่ด้านหน้าอาราม Serra do Pilar ในย่านพอร์ตไวน์ไกอาตอนบน สามารถเข้าถึงได้จากสะพานดอมหลุยส์ที่ 1 ชั้นบนสุด (หรือขึ้นกระเช้าลอยฟ้าจากย่านไกอาตอนล่าง) เมื่อข้ามสะพานมาแล้วให้เดินตามถนน Av. da República ผ่านสวนสาธารณะ Jardim do Morro ไป 3 นาที แล้วเลี้ยวซ้ายไปขึ้นตามเนินเขาบนถนน Rampa do Infante Santo อีก 3 นาทีก็จะเจอกับจุดชมวิวนี้เลย
พอมาถึงแล้วต้องบอกว่าวิวสวยคุ้มค่าเกินคำบรรยาย มองออกไปเห็นทิวทัศน์เมืองปอร์โตแบบรอบด้าน ไล่ตั้งแต่สวนสาธารณะ Jardim do Morro ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกเย็นยอดนิยมอีกหนึ่งแห่ง ตามด้วยจุดชมวิว Miradouro da Ribeira ที่อยู่ใกล้กับสถานีขึ้นกระเช้าลอยฟ้าไกอา วิวตรงนี้ก็สวยไม่แพ้กัน โดยเฉพาะคนที่อยากถ่ายภาพสะพานทั้งสองชั้นแบบใกล้ชิด ทั้งยังสามารถมองเห็นเรือนำเที่ยวและสะพาน Ponte da Arrábida อยู่ไกล ๆ
ต่อมาคือสะพานดอมหลุยส์ที่ 1 อันโดดเด่น มองเห็นรถไฟใต้ดินวิ่งไปมาตามรอบเวลา โดยมีฉากหลังคือบ้านเรือนย่านริเบราที่สลับกันชั้นเป็นชั้น ๆ บนเนินเขาอย่างลงตัว ถ้ากวาดสายตาผ่านสะพานหลุยส์ที่ 1 ไปทางขวามือเล็กน้อยจะมองเห็นกระเช้าไฟฟ้า Funicular dos Guindais ที่เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างริมแม่น้ำย่านริเบราและย่านบาตาลฮาตอนบนของเมือง ใครที่สนใจขึ้นกระเช้านี้ยังจะพาไปยังป้อมปราการ Fernandine Walls of Porto เก่าแก่ของเมืองด้วย
ถ้ากวาดสายตาต่อไปอีกจากกระเช้าไฟฟ้าจะเห็นบ้านเรือนย่านบาตาลฮาและที่เที่ยวสำคัญหลายแห่งจากไกล ๆ เช่น อาสนวิหารปอร์โตและหอคอยเคลริโกส ก่อนจะไปบรรจบสายตากันที่สะพาน Ponte Infante Dom Henrique อย่างพอดิบพอดี ทั้งหมดนี้สวยเวอร์วังอลังการแบบที่มาแล้วได้ทั้งรูปสวย ๆ และความโรแมนติกระหว่างชมพระอาทิตย์ตกเย็นกลับไปด้วย เอาเป็นว่าอย่าลืมใส่ลิสต์จุดชมวิวนี้ไว้ในแพลนเที่ยวปอร์โตด้วยน๊า
ค้นหาและเปรียบเทียบที่พักในปอร์โต
ตั๋วเดินทางในปอร์โตด้วยระบบขนส่งสาธารณะ
เพื่อความสะดวกรวดเร็วนักท่องเที่ยวสามารถซื้อบัตรอันดันเต้สีฟ้า (Andante) ได้ที่ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติในสนามบินและในสถานีรถไฟใต้ดิน ซึ่งเป็นบัตรโดยสารทางการด้วยระบบขนส่งสาธารณะในปอร์โตแบบไม่ระบุข้อมูลส่วนบุคคล ที่ออกแบบมาสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้ที่เดินทางเป็นครั้งคราว สามารถใช้งานได้หลายคน (แต่ไม่ซ้ำกันในแต่ละครั้ง) และสามารถชาร์จซ้ำได้หลายครั้ง มีค่าธรรมเนียมบัตร 0.60 ยูโร มีอายุการใช้งาน 1 ปี จากนั้นโหลดเครดิต (เงิน) หรือตั๋วประเภทต่าง ๆ ลงในบัตรเพื่อใช้เดินทางจากสนามบินเข้าเมือง
ตั๋วเดินทางตามโอกาส
นอกจากการเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองแล้ว ยังใช้เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะได้ทั่วปอร์โต ไม่ว่าจะเป็นรถไฟใต้ดิน รถประจำทางของ STCP รถไฟในเมือง รวมถึงรถไฟชานเมืองในเขตพื้นที่อันดันเต้ทั้งหมด โดยตั๋วที่โหลดลงในบัตรมีหลายแบบให้เลือกตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ครอบคลุมถึงตั๋วเที่ยวเดียว ตั๋วเดินทาง 10 เที่ยว และตั๋วเดินทางตามโซน 24 ชั่วโมง
- ตั๋วเที่ยวเดียว: ราคาแบ่งตามโซน 2-9 ระหว่าง 1.30 -4.30 ยูโร ถ้าต้องการเดินทางจากสนามบินต้องใช้ตั๋วโซน 4 (เพราะอยู่ชานเมือง) ในขณะที่เดินทางเฉพาะใจกลางเมืองใช้ตั๋วโซน 2
- ตั๋ว 10 เที่ยว (แถม 1 เที่ยว): ราคาแบ่งตามโซน 2-9 ระหว่าง 13-43 ยูโร
- ตั๋วอันดันเต้ 24: ใช้เดินทางตามโซนเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง ราคาแบ่งตามโซน 2-9 ระหว่าง 5.70- 15.25 ยูโร ตั๋วมีอายุตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดใช้งาน (ไม่ใช่รายวัน)
ตั๋วเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยว
นอกจากนี้ถ้าต้องการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะทั่วปอร์โตแบบไม่จำกัดเที่ยวและไม่ต้องกังวลเรื่องโซน แนะนำให้ใช้บัตรอันดันเต้ทัวร์ (Andante Tour) ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือ อันดันเต้ทัวร์ 1 และ อันดันเต้ทัวร์ 3 ทั้งสองแบบใช้งานได้เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ราคาและระยะเวลาการใช้งาน
- บัตรอันดันเต้ทัวร์ 1: ใช้เดินทางได้ 24 ชั่วโมงนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดใช้งาน ราคาบัตร 7 ยูโร
- บัตรอันดันเต้ทัวร์ 3: ใช้เดินทางได้ 72 ชั่วโมงนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดใช้งาน ราคาบัตร 15 ยูโร
บัตรทั้งสองแบบครอบคลุมการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน รถประจำทางของ STCP รถไฟในเมือง รวมถึงรถไฟชานเมืองในเขตพื้นที่อันดันเต้ทั้งหมด (ไม่รวมการเดินทางด้วยรถกระเช้าไฟฟ้า Guindais หรือรถราง STCP) และไม่สามารถชาร์จซ้ำได้
ก่อนเริ่มต้นการเดินทางทุกครั้งอย่าลืมตรวจตั๋ว (รวมถึงเมื่อต้องเปลี่ยนรูปแบบการเดินทาง) โดยแตะบัตรที่เครื่องสีเหลืองที่อยู่บนรถบัส สามารถทำได้สูงสุด 10 นาทีก่อนการเดินทาง ส่วนรถไฟใต้ดินและรถไฟสามารถตรวจได้ที่เครื่องอ่านการ์ดในสถานีหรือประตูทางเข้า โดยแตะบัตรห่างจากเครื่องอ่านการ์ดอย่างน้อย 10 ซม. ถ้าตรวจตั๋วสำเร็จไฟสีเขียวจะสว่างขึ้น แต่ถ้าเป็นสีแดงแสดงว่าตรวจสอบตั๋วไม่ถูก ให้ทำซ้ำและค้างการ์ดไว้ 2-3 วินาทีจนกว่าไฟจะเป็นสีเขียว เมื่อตรวจสอบตั๋วสำเร็จอย่าลืมเก็บบัตรเดินทางติดตัวไว้ อาจมีการเรียกดูตั๋วจากเจ้าหน้าที่
การเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองปอร์โต
ปอร์โตมีสนามบินหลัก คือ ท่าอากาศยานฟรานซิสโกซาคาร์เนโร (Francisco Sá Carneiro Airport; OPO) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Porto Airport ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองไปทางเหนือประมาณ 13 กม. นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟใต้ดินหรือรถบัสสนามบิน เพื่อเข้าเมืองในเวลา 30-40 นาที
ค่ารถไฟใต้ดินเที่ยวเดียวจากสนามบิน 2.15 ยูโร (4 โซน) สามารถโหลดตั๋วลงในบัตรอันดันเต้ หรือใช้บัตรอันดันเต้ทัวร์ 1 ราคาเหมาจ่าย 7 ยูโร ใช้งานได้ 24 ชม. นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ตรวจตั๋ว ถ้าอยากเดินทางฟรีจากสนามบินเข้าเมืองและรวมเข้าชมที่เที่ยวในปอร์โตและรับส่วนลดพิเศษแนะนำให้ใช้บัตรปอร์โตการ์ด ราคา 20 ยูโร ใช้งานได้ 1-4 วัน จองตั๋วเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองล่วงหน้าตอนนี้เลย
การเดินทางในปอร์โตด้วยระบบขนส่งสาธารณะ
การเดินทางในปอร์โตด้วยระบบขนส่งสาธารณะมีความสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพ โดยได้รับการพัฒนามาเป็นอย่างดี ครอบคลุมถึงรถไฟใต้ดิน รถประจำทาง รถราง และรถกระเช้าไฟฟ้า
การเดินทางไปปอร์โตจากอัมสเตอร์ดัม
อัมสเตอร์ดัมตั้งอยู่ห่างจากปอร์โตประมาณ 2,082 กม. นักท่องเที่ยวที่ต้องการไปเที่ยวปอร์โตสามารถเชื่อมต่อการเดินทางจากเมืองใกล้เคียงได้สะดวก เช่น อัมสเตอร์ดัม บรัสเซลส์ ปารีส มาดริด ครอบคลุมตัวเลือกด้วยเที่ยวบิน รถไฟ และรถยนต์ ดังรายละเอียด
เที่ยวปอร์โต ใช้งบเท่าไร
ค่าใช้จ่ายสำหรับเที่ยวปอร์โต 1 วัน 2 คืน สำหรับ 2 คน อยู่ที่ประมาณ 420 ยูโร คิดเป็นเงินไทยประมาณ 16,055 บาท ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ค่าที่พัก การเดินทาง อาหาร กิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงค่าที่จอดรถและค่าทางด่วน ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน เช็คราคาและจองตั๋วเครื่องบินราคาประหยัดได้ที่นี่
budget
โรงแรม: 99-120 ยูโร
โฮสเทล: 23-85 ยูโร
การเดินทาง: 1.30-20 ยูโร
ซื้อตั๋วเดินทาง
กิจกรรมและตั๋ว: 8-15 ยูโร/แห่ง
รถเช่า: 15-42 ยูโร
อาหาร: 12-20 ยูโร/มื้อ
ที่จอดรถ: 2-15 ยูโร/วัน
เที่ยวอย่างอุ่นใจไปกับบัตรเดบิต Wise สำหรับใช้จ่ายทั่วโลก สามารถใช้ถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มต่างประเทศตามอัตราแลกเปลี่ยนจริงโดยไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง ใช้ชำระค่าอาหาร จองที่พักหรือตั๋วเครื่องบิน รวมถึงในร้านค้าออนไลน์ทั่วโลกกว่า 50+ สกุลเงิน ทั้งยังรองรับการชำระผ่าน MasterCard, Apple Pay และ Google Pay โดยไม่ต้องกังวลในการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ใช้มานานกว่า 4 ปีไม่ผิดหวัง → สมัครรับบัตรเดบิต Wise ไว้ใช้ประโยชน์ด้วยตัวเองตอนนี้เลย
แผนที่เที่ยวปอร์โตด้วยตัวเอง
แหล่งข้อมูลวางแผนเที่ยว
Thank you
การเปิดเผย: บทความนี้มีลิงก์แอฟฟิลิเอทบางส่วน การกดที่ลิงก์ไม่มีค่าใช้จ่าย หากซื้อสินค้าหรือบริการจากลิงก์ดังกล่าว เราอาจได้รับค่ากำลังใจเล็กน้อยสำหรับนำไปพัฒนาบล็อก 🧡