ยินดีต้อนรับสู่ลิสบอน (Lisbon) เมืองหลวงบนเนินเขาทั้งเจ็ดแห่งและริมแม่น้ำเทกัสของโปรตุเกส ต้องบอกเลยว่าเมืองนี้ไม่ได้ขึ้นแค่ในด้านประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่ยังรวมสถาปัตยกรรมมานูเอลีนที่สวยงามไว้ตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ เช่น หอคอยเบเล็ง อนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ และอารามเจโรนิโมส์
ลิสบอนยังขึ้นชื่อเรื่องทาร์ตไข่ยอดนิยมที่ต้องมาลองให้ได้ รวมถึงรถรางสายประวัติศาสตร์ที่จะพานักท่องเที่ยวไปทัวร์ชมเมืองในราคาประหยัด นับว่าเพิ่มเสน่ห์และทัศนียภาพอันน่าทึ่งของเมืองอยู่ไม่น้อย เอาเป็นว่าหลายคนอาจจะตื่นเต้นกับการวางแผนเที่ยวลิสบอนกันแล้ว เราจะพาไปดูกันว่า 48 ชั่วโมงแห่งความสนุกในลิสบอนนั้นทำอะไรได้บ้าง ที่สำคัญครอบคลุมงบเที่ยวลิสบอนและวิธีเดินทางแบบไม่ต้องกลัวหลง
ใช้บัตรลิสบอนการ์ด (Lisbon Card)
สำหรับคนที่วางแผนเที่ยวลิสบอน 1-3 วัน เพื่อความประหยัดแนะให้ใช้บัตร Lisbon Card บัตรนี้ไม่เพียงแต่นำไปใช้เดินทางฟรีด้วยระบบขนส่งสาธารณะได้เท่านั้น แต่ยังรวมการเข้าชมที่เที่ยวสำคัญหลายแห่ง ครอบคลุมถึงหอคอยเบเล็ง อารามเจโรนิโมส์ พระราชวังแห่งชาติอาจูดา ประตูชัยลิสบอน ลิฟต์ซานต้าจัสตา ฯลฯ และพิพิธภัณฑ์กว่า 39 แห่ง พร้อมรับส่วนลดสำหรับทัวร์และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย พิเศษ! รวมการเดินทางไปยังเมืองซิงตราด้วยรถไฟ และยังใช้เป็นส่วนลดสำหรับเข้าชมปราสาทเปนาและปราสาทมัวร์ได้อีกด้วย คุ้มค่าเกินต้านทานแบบนี้ต้องมีติดตัวไว้เที่ยวลิสบอนด้วยตัวเองแล้วน๊า
เที่ยวลิสบอน: วันที่ 1
(เที่ยวย่านเบเล็งยอดนิยม)
เริ่มต้นเที่ยวลิสบอนวันแรกในย่านเบล็ง ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองเพียง 42 นาที ย่านนี้โดดเด่นด้วยบรรยากาศสบาย ๆ ริมแม่น้ำเทกัส และอาคารที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องสีสดใส ทั้งยังมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ให้ได้ชมกันอีกมากมาย เช่น หอคอยเบเล็ง อนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ อารามเจโรนิโมส์ โบสถ์ซานตามาเรียเบเล็ง พระราชวังแห่งชาติอาจูดา รวมถึงทาร์ตไข่ชื่อดังที่ร้าน Pastéis de Belém ทั้งหมดนี้เราจะพาไปชมพร้อม ๆ กันในบทความนี้
เที่ยวลิสบอน: หอคอยเบเล็ง (Belém Tower)
มาเที่ยวลิสบอนแน่นอนว่าต้องมาเยือนหอคอยเบเล็ง ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คยอดนิยมของเมือง หอคอยนี้เป็นป้อมปราการอันโดดเด่นที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเทกัส (Tagus) ในเขตแพ่งของซานตามาเรียเดเบเล็ง โดยสร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ในรูปแบบสถาปัตยกรรมมานูเอลีน (Manueline) ซึ่งเป็นสไตล์โปรตุเกสจากยุคกอทิกตอนปลายที่ผสมผสานองค์ประกอบทางทะเลและสัญลักษณ์ของยุคแห่งการค้นพบ ภายหอคอยนอกตกแต่งด้วยงานแกะสลักหินอันวิจิตรประณีต รวมถึงลวดลายเกี่ยวกับการเดินเรือ วงแขน และไม้กางเขน
ในอดีตหอคอยเบเล็งทำหน้าที่เป็นทั้งป้อมปราการป้องกันและเป็นประตูพิธีการสู่ลิสบอน โดยตั้งอยู่บนจุดยุทธศาสตร์ที่ทำให้สามารถควบคุมการเข้าถึงท่าเรือได้ ปัจจุบันเป็นอนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์ที่เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความกล้าหาญทางทะเลของโปรตุเกสในช่วงยุคแห่งการค้นพบ และยังเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกคู่กับอารามเจโรนิโมส์อีกด้วย โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมด้านใน
การเข้าชมหอคอยเบเล็งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ป้อมปราการและหอคอยสี่ชั้นที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของป้อมปราการ โดยส่วนแรกเริ่มจากสะพานที่ทอดยาวบนแม่น้ำเทกัสไปยังประตูทางเข้า พอเดินผ่านประตูนี้ไปจะเจอกับพื้นที่ด้านในซึ่งเป็นห้องโถง 2 หลังที่มีเพดานโค้งและซุ้มโค้งที่ก่อด้วยอิฐ ห้องนี้จัดแสดงปืนใหญ่จำนวน 17 กระบอกพร้อมเกราะป้องกัน
จากห้องโถงหลักเดินตามบันไดไปจะเจอกับป้อมปราการที่ทอดยาวเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งอยู่ที่ชั้น 2 โดยมีหอสังเกตการณ์ตั้งอยู่ในแต่ละมุม บริเวณนี้มีจุดชมวิวและถ่ายภาพที่สวยงาม สามารถมองเห็นสะพาน 25th of April และเรือที่กำลังแล่นเข้ามาใกล้ ถ้าหันกลับไปจะเจอกับหอคอยสี่ชั้นและมีระเบียงชมวิวจากชั้นสอง ซึ่งมีจุดถ่ายภาพที่สวยงามเช่นกัน สามารถมองเห็นป้อมปราการมุมกว้างและอนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ ซึ่งเป็นแลนด์มาร์ดยอดนิยมอีกหนึ่งแห่งของลิสบอน
โดยรวมแล้วการเข้าชมหอคอยเบเล็งด้านในแม้จะใช้เวลาเพียง 20-30 นาที แต่ก็คุ้มค่าที่ได้เห็นงานสถาปัตยกรรมในสไตล์มานูเอลีนอย่างใกล้ชิด รวมถึงได้เห็นวิวที่สวยงามจากฝั่งแม่น้ำเทกัส เอาเป็นว่าถ้ามีเวลาประมาณนี้และอยากเดินเล่นด้านในก็แวะเข้ามาได้ แต่ถ้ามีเวลาไม่มากแวะชมจากด้านนอกก็ถือว่าไม่พลาดอะไรไป อีกอย่างคิวรอต่อแถวเข้าไปด้านในค่อนข้างยาวทีเดียว เราไปช่วงเดือนกันยายนก็ยืนรอไปเกือบ 20 นาทีถึงจะได้เข้าไปด้านใน ซึ่งก็รอได้ไม่มีปัญหาเพราะตั้งใจมาแล้ว
เที่ยวลิสบอน: อนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ (Padrão dos Descobrimentos)
จากหอคอยเบเล็งนักท่องเที่ยวสามารถเดินตามถนนริมแม่น้ำเทกัสอีก 12 นาทีไปยังแลนด์มาร์คยอดนิยมอีกหนึ่งแห่ง นั้นก็คืออนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ ซึ่งเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ที่อุทิศให้กับยุคแห่งการค้นพบและนักสำรวจที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การเดินเรือของโปรตุเกส
เมื่อไปยืนใกล้ ๆ จะสังเกตเห็นว่าอนุสาวรีย์แห่งการค้นพบนี้มีรูปร่างเหมือนหัวเรือ และดึงดูดความน่าสนใจได้ดีทีเดียว โดยอนุสาวรีย์ถูกสร้างขึ้นในปี 1960 เพื่อรำลึกถึงวันครบรอบ 500 ปีการเสียชีวิตของเจ้าชายเฮนรีนักเดินเรือ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในยุคแห่งการค้นพบของโปรตุเกส และมีรูปปั้นแกะสลักของพระองค์ตั้งอยู่ที่แถวหน้าของฐานอนุสาวรีย์ และรายล้อมด้วยนักสำรวจ กะลาสี นักวาดแผนที่ และพระมหากษัตริย์ที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การเดินเรือของโปรตุเกส
นอกจากด้านนอกอนุสาวรีย์แห่งการค้นพบที่ตกแต่งด้วยงานแกะสลักและรูปปั้นอันวิจิตรบรรจงแล้ว ด้านในยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม โดยสามารถขึ้นไปบนยอดอนุเสาวรีย์เพื่อชมทิวทัศน์มุมกว้างของพื้นที่โดยรอบ รวมถึงแม่น้ำเทกัสและย่านเบเล็ง
เที่ยวลิสบอน: อารามเจโรนิโมส์ (Jerónimos Monastery)
ชมอนุสาวรีย์แห่งการค้นพบเสร็จแล้วนักท่องเที่ยวสามารถเดินต่ออีก 10 นาทีไปยังอารามเจโรนิโมส์ ระหว่างทางจะผ่านสวน Praça do Império Garden ที่มีน้ำพุตั้งอยู่ใจกลางและมีบรรยากาศดีเหมาะสำหรับถ่ายภาพและนั่งพักผ่อน พอมาถึงแล้วจะเห็นอารามเจโรนิโมส์ตั้งเด่นสง่าอยู่คู่กับโบสถ์ซานตามาเรียเบเล็ง ด้านในเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเช่นกัน
การเข้าชมอารามเจโรนิโมส์เรียกได้ว่าต้องต่อแถวยาวเกือบเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว เรามาช่วงเดือนกันยายนในวันที่มีฝนตกพอดี ถ้าไม่มีร่มติดมือมาด้วยก็ต้องยืนรอต่อแถวแบบเปียก ๆ ไปเลย (แต่มีคนมาเดินขายร่มราคาคันละ 5 ยูโร) อีกอย่างไม่รู้เป็นเพราะว่าอารามปิดวันจันทร์ด้วยไหมก็เลยทำให้วันอาทิตย์มีคิวต่อแถวยาว แต่ตั้งใจมาแล้วก็ยืนรอจนในที่สุดก็ได้เข้าไปด้านใน ใช้บัตรลิสบอนการ์ดสแกนเข้าชมได้ฟรี ถ้าไม่มีบัตรนี้แนะนำให้ซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้ามาก่อน เพราะถ้าไม่มีตั๋วก็ต้องไปยืนรอต่อแถวซื้อตั๋วอีก กว่าจะได้เข้าชมก็เสียเวลาไปเกือบชั่วโมงเลย ที่สำคัญถ้าเจอคิวยาวแบบนี้แนะนำให้มาเข้าชมที่นี่ก่อนไปหอคอยเบล็งและอนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ เพราะสองแห่งนั้นสามารถเดินชมด้านนอกได้
ด้านในอารามเจโรนิโมส์สวยคุ้มค่าการยืนรอคิว โดยสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 ตามรูปแบบสถาปัตยกรรมมานูเอลีนที่ผสมผสานกับยุคเรอเนซองส์ได้อย่างลงตัว เพื่อเป็นเกียรติแก่ยุคแห่งการค้นพบของโปรตุเกส และเป็นที่ตั้งของหลุมฝังศพของนักสำรวจชื่อดัง “วาสโก ดา กามา” ที่อยู่ในยุคเดียวกับคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
การเข้าชมอารามเจโรนิโมส์แบ่งออกเป็นหลายส่วน ครอบคลุมถึงส่วนที่เป็นไฮไลท์คืออารามสองชั้นซึ่งล้อมรอบด้วยเสาหินอ่อนสีขาว และซุ้มประตูที่มีส่วนโค้งเต็มไปลวดลายที่ละเอียดอ่อนและแกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม โดยชั้นหนึ่งจะมีการแกะสลักและรายละเอียดที่อลังการมากกว่าชั้นสอง เมื่อมองลงไปยังใจกลางอารามจะพบกับลานกว้างที่มีขนาดถึง 55 เมตร โดดเด่นด้วยน้ำพุและทางเดินทั้งสี่แห่ง ที่ทางเดินด้านใดด้านหนึ่งมีรูปปั้นสิงโตซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนักบุญเจอโรม ทั้งหมดนี้นับว่าเป็นมุมที่ถ่ายภาพอันงดงามของอารามเจโรนิโมส์เลยทีเดียว
ไฮไลท์อีกหนึ่งอย่างของอารามเจโรนิโมส์ก็คือหลุมฝังศพของนักสำรวจวาสโก ดา กามา ซึ่งตั้งอยู่ในโบสถ์ชั้นหนึ่งใกล้กับหลุมฝังศพของกวีผู้ที่โด่งดังที่สุดของโปรตุเกส “เฟอร์นันโด เปสโซอา” และโรงอาหารจากศตวรรษที่ 16 ขึ้นชื่อเรื่องภาพวาดงานกระเบื้องอันสวยสดงดงาม
เมื่อเข้าชมอารามเจโรนิโมส์ครบทุกส่วนแล้ว อย่าลืมแวะไปชมโบสถ์ซานตามาเรียเบเล็งที่ตั้งอยู่ติดกับประตูทางเข้า ด้านในมีความสวยงามและเปิดให้เข้าชมฟรี โดดเด่นด้วยทางเดินกลางที่มีเพดานโค้ง รวมถึงคณะนักร้องประสานเสียงที่มีงานแกะสลักไม้ยุคเรอเนซองส์ชิ้นแรก โบสถ์แห่งนี้ยังมีห้องใต้ซึ่งเป็นสถานที่ฝั่งศพของกษัตริย์มานูเอลที่ 1 และพระมเหสีและลูกชายของพระองค์
ด้วยความที่อารามเจโรนิโมส์มีขนาดใหญ่พอสมควรแนะนำให้เผื่อเวลาเข้าชมไว้ประมาณ 1-1.30 ชั่วโมง ถ้าอยากได้รายละเอียดที่มากขึ้นแนะนำให้ใช้ออดิโอไกด์เพื่อรับฟังข้อมูลเพิ่มเติม โดยรวมแล้วเป็นที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ของลิสบอนที่คุ้มค่าการเข้าชม ที่สำคัญใครชอบถ่ายภาพไปที่นี่แล้วได้รูปสวย ๆ กลับมาเยอะเลย
ถ้ามาเที่ยวย่านเบเล็งต้องไม่พลาดที่จะไปลิ้มลองทาร์ตไข่ชื่อดังที่ร้าน Pastéis de Belém ร้านนี้ตั้งอยู่ใกล้กับป้ายจอดรถ Mosteiro Jerónimos ที่นั่งมาจากในเมืองลิสบอนเลย สำหรับความอร่อยนั้นการันตีได้จากคิวต่อแถวที่ยาวมาก และรีวิวกว่า 76,000+ จากกูเกิลแมพเลยทีเดียว ที่สำคัญเปิดมานานตั้งแต่ปี 1837 อีกด้วย
เที่ยวลิสบอน: พระราชวังแห่งชาติอาจูดา (National Palace of Ajuda)
ชมอารามเจโรนิโมส์และแวะซื้อถาดไข่ชื่อดังเสร็จแล้ว ถ้ามีเวลาเหลือประมาณ 1 ชั่วโมงและชอบการชมพระราชวังต้องไม่พลาดไปที่พระราชวังแห่งชาติอาจูดา ซึ่งอยู่ห่างจากอารามเจโรนิโมส์ด้วยรถบัสเพียง 10 นาที พอมาถึงแล้วจะเห็นพระราชวังแห่งชาติอาจูดาที่ตั้งอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์พระคลังหลวง (Museu do Tesouro Real) สามารถใช้บัตรลิสบอนการ์ดเข้าชมได้ฟรี
พระราชวังแห่งชาติอาจูดาเป็นพระราชวังเก่าแก่ในสไตล์นีโอคลาสสิกอันงดงามที่เป็นข้อพิสูจน์ถึงประวัติศาสตร์ราชวงศ์ของโปรตุเกส มีต้นกำเนิดในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เมื่อสมเด็จพระราชินีมาเรียที่ 1 แรกเริ่มคิดว่าพระราชวังเป็นที่ประทับของราชวงศ์ การก่อสร้างเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2339 แต่ต้องเผชิญกับการหยุดชะงัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากสงครามนโปเลียนและการบุกรุกของกองกำลังฝรั่งเศส ส่งผลให้ราชวงศ์โปรตุเกสต้องลี้ภัยในบราซิล
เมื่อเสด็จกลับมาในปี พ.ศ. 2364 สมเด็จพระราชินีมาเรียที่ 2 ก็ทรงมีบทบาทสำคัญในการสร้างพระราชวังให้แล้วเสร็จ การดัดแปลงสถาปัตยกรรมเกิดขึ้นภายใต้การแนะนำของสถาปนิก Possidónio da Silva ก่อนที่พระราชวังแห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางสำหรับงานพระราชพิธีต่าง ๆ ด้วยการตกแต่งภายในที่หรูหราและสะท้อนถึงรสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปของสถาบันกษัตริย์ในศตวรรษที่ 19
ต่อมาเมื่อมีการสถาปนาสาธารณรัฐในปี พ.ศ. 2453 ระบอบกษัตริย์ในโปรตุเกสก็สิ้นสุดลง ส่งผลให้พระราชวังแห่งชาติอาจูดาเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่อนุรักษ์มรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของสถาบันกษัตริย์โปรตุเกส โดยสะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานของรูปแบบสถาปัตยกรรม รวมถึงอิทธิพลของนีโอคลาสสิกและโรแมนติก ภายในมีการตกแต่งที่สวยงามพร้อมจัดแสดงคอลเล็กชันศิลปะ เฟอร์นิเจอร์ โบราณวัตถุของราชวงศ์ที่สำคัญ และสิ่งประดิษฐ์ทางประวัติศาสตร์ที่หลากหลายอีกด้วย
เนื่องจากพระราชวังแห่งชาติอาจูดามีขนาดใหญ่แนะนำให้เผื่อเวลาเข้าชมไว้ประมาณ 1-1.30 ชั่วโมง การเข้าชมครอบคลุมถึงห้องบัลลังก์ ห้องบรรทมของกษัตริย์และพระราชินี ห้องภาพเหมือนของราชินี ห้องคณะทูตสตรี ห้องทรงดำเนินพระราชกรณียกิจของกษัตริย์ ห้องรับประทานอาหารขนาดใหญ่ ห้องหินอ่อน ห้องสีฟ้า ห้องดนตรี ห้องเต้นรำ และห้องของขวัญทางการทูตจีน ทั้งหมดนี้นับว่าคุ้มค่าสำหรับการเข้าชม
เที่ยวลิสบอน: ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรม (LX Factory)
เที่ยวย่านเบล็งจากเช้าถึงเย็นกันแล้ว ต่อไปก็ต้องไปฝากท้องมื้อเย็นกันที่ LX Factory หรือศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมที่รวมร้านค้าและร้านอาหารไว้ในตัว ตั้งอยู่ใต้สะพาน Ponte 25 de Abril ในย่าน Alcântara ใช้เวลาเดินทางจากพระราชวังแห่งชาติอาจูดาประมาณ 16 นาที พอมาถึงแล้วจะเจอทางเข้าที่มีป้ายเขียนว่า LX Factory ไว้อย่างชัดเจน แต่ก่อนที่นี่เป็นอดีตพื้นที่อุตสาหกรรมก่อนจะกลายเป็นศูนย์กลางด้านศิลปะ วัฒนธรรม และการพาณิชย์ที่เจริญรุ่งเรือง ดึงดูดทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว การตัดสินใจมาที่นี่ก็เลยได้เดินเล่นชมบรรยากาศฮิป ๆ และทานอาหารเย็นไปในตัว
ด้านในแอลเอ็กซ์แฟคทอรี่แบ่งออกเป็นหลายโซน โดยมีร้านค้า คาเฟ่ ร้านอาหาร สตูดิโอออกแบบ และแกลเลอรีศิลปะตั้งอยู่สองฝั่งถนน R. Rodrigues de Faria สามารถเดินเล่นได้เพลิน ๆ ร้านที่มีบรรยากาศดีน่าไปเดิน คือ Ler Devagar เป็นร้านหนังสือแหวกแนว 2 ชั้น ซึ่งชั้นล่างเป็นร้านกาแฟเล็ก ๆ ส่วนชั้นบนเป็นชั้นวางหนังสือทั้งภาษาอังกฤษและภาษาโปรตุเกส แต่ส่วนใหญ่จะเน้นภาษาโปรตุเกส ชั้นบนยังมีทางเดินและมีมุมถ่ายภาพสวย
อีกร้านหนึ่งน่าแวะไปเดินก็คือ 1942 Comur เป็นร้านขายปลากระป๋องซาร์ดีน ด้านในตกแต่งสวยมากเหมือนเดินอยู่ในร้านขายหนังสือสุดคลาสสิก แพ็คเกจของทางร้านก็ทำออกมาได้สวยและน่าสนใจเช่นกัน แบบว่าซื้อไปทานแล้วสามารถเก็บสะสมกระป๋องไว้เป็นของที่ระลึกได้อีก แต่ราคาอาจจะแพงไปนิดหนึ่งน๊า
ส่วนมื้อเย็นเราแวะไปที่ร้านขายไก่ทอด Chickinho Lx Factory ตั้งอยู่ใกล้กับร้านหนังสือ Ler Devagar ร้านนี้มีเมนูไก่ทอดให้เลือกหลายแบบ รวมถึงเบอร์เกอร์ แซนวิช สลัดผักและมันฝรั่งทอด รสชาติอาหารอร่อยในราคาที่เอื้อมถึง พนักงานก็ให้บริการดี เอาเป็นว่าถ้าใครชอบทานไก่ทอดก็ลองแวะไปกันได้
เที่ยวลิสบอน: วันที่ 2
(เที่ยวในเมืองลิสบอน)
วันแรกเที่ยวย่านเบล็งกันไปแล้ว วันที่สองเราก็จะมาเดินเที่ยวในเมืองลิสบอนกันบ้าง โดยรวมกิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญไว้หลายแห่ง เช่น นั่งรถรางสายประวัติศาสตร์ชมเมือง จากนั้นก็ไปชมจัตุรัสคอมเมร์ซิโอที่โดดเด่นด้วยประตูชัยลิสบอน ก่อนจะเดินตามถนนยอดนิยมไปยังลิฟต์ซานต้าจัสตาที่อยู่ใกล้กับคอนแวนต์คาร์โม จากนั้นเปลี่ยนบรรยากาศไปเดินเล่นย่านเนินเขาในเขตอัลฟามาเก่าแก่ มีจุดชมวิวซานตาลูเซียที่อยู่ใกล้วิหารแพนธีออนแห่งชาติและปราสาทเซนต์จอร์จ เหมาะสำหรับเดินเล่นชมป้อมปราการเก่าแก่และพระอาทิตย์ตกเย็น ก่อนจะไปปิดท้ายด้วยมื้อเย็นที่ตลาดตลาดไทม์เอาท์ลิสบอนยอดนิยม ทั้งหมดนี้เรารวมรายละเอียดมาให้แบบจุก ๆ เช่นกัน
เที่ยวลิสบอน: นั่งรถรางสายประวัติศาสตร์ (Tram 28)
แน่นอนว่ากิจกรรมเริ่มต้นของวันก็คือการนั่งรถรางสายประวัติศาสตร์ที่มีอยู่หลายสายด้วยกัน สายที่เราเลือกคือ 28E เพราะเป็นเส้นทางที่วิ่งตรงผ่านศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองเลย
รถรางสาย 28 เป็นรถรางเก่าแก่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1914 ปัจจุบันยังคงใช้งานอยู่และเป็นส่วนหนึ่งของระบบส่งสาธารณะของเมืองคู่กับรถรางสายอื่น ๆ เช่น 12E, 18E, 24E และ 25E โดยมีระยะทางประมาณ 7 กม. วิ่งจากจัตุรัส Martim Moniz ผ่านถนนแคบ ๆ คดเคี้ยวและสูงชันไปสิ้นสุดที่จัตุรัส Campo de Ourique (Prazeres) ระหว่างทางนักท่องเที่ยวจะได้เห็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากมาย รวมถึงย่าน Baixa, Graça, Mouraria, Alfama และ Estrela ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเดินทางรวม 50 นาที ที่สำคัญราคาไม่แพงอีกด้วย
สำหรับคนที่พักในย่านใจกลางเมืองแนะนำให้ขึ้นที่ป้ายเริ่มต้นเลย คือ Martim Moniz อย่าลืมเผื่อเวลาต่อคิวไว้ประมาณ 30 นาที หรือไปตั้งแต่เช้า ๆ เพราะคนเยอะมาก ส่วนใครที่พักย่านนอกเมืองแนะนำให้ขึ้นที่ป้ายสุดท้าย คือ Campo Ourique (Prazeres) คนจะน้อยกว่า (กดเพื่อดูแผนที่) เราก็ขึ้นที่ป้ายนี้ใช้เวลารอประมาณ 15 นาที
ข้างในรถรางสะอาด มีที่นั่งจุได้ 20 ที่นั่ง และพื้นที่สำหรับสำหรับยืนอีก 38 คน แนะนำให้นั่งติดหน้าต่างจะได้ถ่ายรูปสวย ๆ แต่ถ้ายืนแนะนำให้จับดี ๆ เพราะเบรกหนักมาก ระหว่างทางช่วงแรกจะเป็นเส้นทางรถรางสายเก่า ส่วนรถรางสมัยใหม่จะวิ่งบนเส้นทางเส้นทางที่ค่อนข้างเรียบไปยังย่านเบเล็ง (15E) ริมแม่น้ำเท่านั้น การนั่งรถรางสาย 28 ก็เลยได้เห็นมุมสวย ๆ ของบ้านเรือนที่นี่เยอะเลย มีต้นไม้สองฝั่ง พอผ่านย่านนอกเมืองจะเข้าสู่ย่านในเมืองมีตึกสองฝั่งสวย บางช่วงรถรางไต่ขึ้นเขา นับว่าเป็นวิธีชมเมืองที่คุ้มแบบไม่ต้องเดิน (นี้ยังแอบคิดเลยว่าถ้าเดินคงปวดขาน่าดู)
จุดขึ้นลงรถรางสาย 28 ยอดนิยม
รถรางสาย 28 มีจุดจอดขึ้นลงถึง 34 ป้ายด้วยกัน ถ้ามีเวลาสามารถนั่งยาวจนสุดสายเลยก็ได้ แต่ถ้ามีเวลาไม่มากสามารถเลือกลงตามป้ายที่จะนำเราไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ดังลิสต์ด้านล่าง
รถรางสาย 28 ให้บริการทุกวัน เวลา 05:40-23:30 น. ความถี่ 9-12 นาที ราคาตั๋วเที่ยวเดียว 3 ยูโร สามารถซื้อตั๋วได้โดยตรงจากคนขับรถรางและชำระด้วยเงินสด ถ้ามีบัตรลิสบอนการ์ดก็นั่งฟรีไปเลยแบบคุ้ม ๆ หรือใช้บัตรเดินทาง Viva Viagem แบบชาร์จซ้ำได้ (มีค่าธรรมเนียมบัตร 0.5 ยูโร) เพื่อเติมเงินด้วยตัวเลือกตั๋วเดินทางรายวัน 6.60 ยูโร ที่ครอบคลุมระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมด
เที่ยวลิสบอน: จัตุรัสคอมเมร์ซิโอ (Praça do Comércio)
ลงจากรถรางสาย 28 ที่ป้าย Rua da Conceiçã นักท่องเที่ยวสามารถเดินอีก 5 นาทีไปยังจัตุรัสคอมเมร์ซิโอ ซึ่งเป็นจัตุรัสเก่าแก่ของเมืองตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเทกัส จัตุรัสแห่งนี้หันหน้าไปทางแม่น้ำ ทำให้เกิดเป็นทางเข้าเมืองที่สวยงามตระการตา สามารถมองเห็นสะพาน Ponte 25 de Abril อันโดดเด่น และรูปปั้นวิหารแห่งพระคริสต์กษัตริย์ที่ฝั่งตรงข้าม
เมื่อไปยืนอยู่ใจกลางจะเห็นว่าจัตุรัสคอมเมร์ซิโอประดับด้วยรูปปั้นกษัตริย์โฮเซ่ที่ 1 ทรงขี่ม้าอันโดดเด่น พอหันหลังกลับไปจะเห็นประตูชัยลิสบอนตั้งเด่นสง่าไม่แพ้กัน ในขณะที่พื้นที่ทั้งหมดถูกล้อมรอบด้วยอาคารสีเหลืองหรูหราที่ประดับประดาด้วยทางเดินโค้ง อาคารแห่งนี้เป็นที่ทำการของรัฐบาลและครั้งหนึ่งเคยเป็นสำนักงานใหญ่ของกระทรวงต่าง ๆ
ปัจจุบันจัตุรัสคอมเมร์ซิโอไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่สาธารณะที่มักเต็มไปด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ที่สร้างบรรยากาศอันเป็นมิตรสำหรับทั้งคนในพื้นที่และผู้มาเยือน เหมาะสำหรับการเดินเล่นและเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์และอากาศที่น่ารื่นรมย์ของลิสบอน
ถ้าอยากชมวิวสวย ๆ ของเมืองลิสบอนพร้อมสะพาน Ponte 25 de Abril ลองแวะไปที่วิหารแห่งพระคริสต์กษัตริย์ โดยสามารถนั่งเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือ Cais do Sodré ในลิสบอน (10 นาที) ไปยังท่าเรือ Cacilhas ในเมืองอัลมาดา จากนั้นต่อรถบัสหมายเลข 3001 อีก 18 นาที ไปลงที่ป้าย Almada (Largo Cristo Rei) Terminal และเดินอีก 2 นาทีไปยังวิหาร ถ้าไม่ต้องการนั่งรถบัสสามารถเดินจากท่าเรือ Cacilhas ได้เช่นกัน ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
เที่ยวลิสบอน: ประตูชัยลิสบอน (Arco da Rua Augusta)
เดินเล่นที่จัตุรัสคอมเมร์ซิโอแล้วถ้ามีเวลาประมาณ 20-30 นาที อย่าลืมแวะไปชมวิวต่อที่ยอดประตูชัยลิสบอน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับจัตุรัสเลย ด้านในแบ่งออกเป็นสองชั้นโดยสามารถขึ้นลิฟต์ไปยังห้องใต้หลังคาที่เป็นส่วนการจัดแสดงนิทรรศการบอกเล่าประวัติความเป็นมาของประตูชัยแห่งนี้ จากนั้นเดินขึ้นบันไดไปจะเป็นส่วนยอดซึ่งเป็นพื้นที่เปิดโล่ง สามารถมองเห็นวิวแบบรอบด้าน
โดยเริ่มตั้งแต่ด้านหน้ามองลงไปจะเห็นจัตุรัสคอมเมร์ซิโอที่เราไปมาก่อนหน้านี้ ตามด้วยแม่น้ำเทกัส สะพาน Ponte 25 de Abril และวิหารแห่งพระคริสต์กษัตริย์ตามลำดับ พอไล่ไปทางซ้ายมือจะเห็นมหาวิหารลิสบอนตามด้วยปราสาทเซนต์จอร์จ ถนนคนเดิน R. Augusta ที่ตั้งอยู่ใกล้กับลิฟต์ซานต้าจัสตา และคอนแวนต์กอทิก ทั้งหมดนี้นับว่านับว่าสวยงามและคุ้มค่ากับตั๋วราคาประหยัด
เที่ยวลิสบอน: ลิ้มลองทาร์ตไข่ (Pastéis de Nata)
ชมวิวเมืองลิสบอนอย่างเต็มอิ่มแล้วก็เดินต่อตามถนน R. Augusta ไปลิ้มลองทาร์ตไข่ยอดนิยมที่ร้าน Manteigaria ตั้งอยู่กลางซอยใกล้กับจุดขึ้นลิฟต์ซานต้าจัสตา ร้านนี้แม้จะมีชื่อเสียงไม่เท่ากับร้านที่ตั้งอยู่ในย่านเบล็ง แต่ถ้ามาเดินเล่นใกล้กับจัตุรัสคอมเมร์ซิโอแล้วห้ามพลาดที่จะมาลอง
ด้านในร้านตกแต่งอย่างสวยงาม แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือ หน้าร้านที่ขายทาร์ตไข่ และพื้นที่ทำทาร์ตไข่แบบสด ๆ ร้อน ๆ เลย สามารถสั่งมาทานและยืนดูการทำไปด้วย และแน่นอนว่าเราก็สั่งทาร์ตไข่มาลอง 1-2 ชิ้น พร้อมกาแฟ 1 แก้ว พอได้ลองแล้วต้องบอกว่าชอบมาก เพราะรสชาติหวานกำลังดี กรอบนอกนุ่มใน ทานกับกาแฟแล้วเข้ากันดี๊ดี จนต้องสั่งเพิ่มแบบแพ็คเอาไปกินต่อ ราคาทาร์ตไข่ชิ้นละ 1.30 ยูโร แบบแพ็ค 2 ชั้น 2.60 ยูโร ถ้าแพ็คแบบ 6 ชิ้น 7.80 ยูโร ส่วนกาแฟแก้วละ 0.80 ยูโร โดยรวมแล้วเป็นมื้อสายในราคาประหยัดที่อยากบอกต่อ ที่สำคัญร้านนี้มีสาขาตั้งอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วเมืองเลย
เที่ยวลิสบอน: ลิฟต์ซานต้าจัสตา (Santa Justa Lift)
รองท้องด้วยถาดไข่รสชาติอร่อยแล้วเราก็เดินต่อไปยังลิฟต์ซานต้าจัสตาที่อยู่ห่างออกไปเพียง 2 นาที พอมาถึงแล้วจะเห็นลิฟต์นี้ตั้งอยู่บนถนน R. do Ouro เชื่อมต่อระหว่างเขตไบซาตอนล่างกับจัตุรัสคาร์โมตอนบน ซึ่งมีลักษณะเป็นหอคอยเหล็กอันวิจิตรประณีต ความสูงถึงเกือบ 45 เมตร พร้อมด้วยห้องโดยสาร 2 ห้องที่สามารถขนส่งผู้โดยสารระหว่างชั้นล่างและชั้นบนของเมืองได้
เอาจริง ๆ ตามที่อ่านรีวิวมามีทั้งฝั่งที่บอกว่าควรลองขึ้นและไม่ควรลองขึ้น อีกอย่างช่วงที่เราไปคนรอต่อคิวยาวมาก แม้จะมีบัตรลิสบอนการ์ดที่ใช้เป็นส่วนลดขึ้นลิฟต์ได้ แต่เราเลือกที่จะไม่ขึ้นและเดินเล่นตามถนน R. do Carmo ไปอีก 5 นาที ผ่านคอนแวนต์คาร์โมจะเห็นวิวแบบเดียวกับที่ขึ้นลิฟต์มาแบบไม่ต้องเสียเงินเลย วิธีนี้แนะนำมาก ๆ สำหรับคนที่ไม่อยากต่อคิวยาว ส่วนใครที่อยากสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเองก็สามารถรอขึ้นลิฟต์ได้
บนพื้นที่ด้านบนของลิฟต์ซานต้าจัสตาวิวสวยมาก มีทางเดินรอบด้านสำหรับชมวิวเมืองและสถานที่สำคัญหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นปราสาทเซนต์จอร์จ มหาวิหารลิสบอน ถนนชอปปิงที่เราเดินผ่านมาก่อนหน้านี้ รวมถึงคอนแวนต์คาร์โมฝั่งด้านหลัง และจัตุรัสพลาซ่าดอมเปโดรที่ 4 ที่อยู่ด้านหน้าโรงละครแห่งชาติโดนามาเรียที่ 2 ติดกับพื้นที่ทางเข้าลิฟต์ด้านบนยังมีเข้าถึงร้านอาหารและบาร์อีกด้วย โดยรวมแล้วโปรศูนย์ยูโรที่มาด้วยการเดินคุ้มมากเด้อ
เที่ยวลิสบอน: คอนแวนต์คาร์โม (Carmo Convent)
อย่างที่บอกว่าก่อนจะไปถึงจุดชมวิวบนลิฟต์ซานต้าจัสตามีคอนคาร์โมตั้งอยู่ พอชมวิวเสร็จแล้วเราก็แวะมาเข้าชมที่นี่ต่อ ด้านในเคยเป็นโบสถ์และคอนแวนต์สไตล์กอทิกอันยิ่งใหญ่ที่สวยงาม แต่กลับพังทลายลงเหลือเพียงซากปรักหักพังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1755 เหลือไว้เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม
ด้านในครอบคลุมถึงโบสถ์ที่มีทางเดินกลาง ซึ่งเป็นพื้นที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ของสถานที่แห่งหนึ่ง รวมถึงวัตถุโบราณจากยุคต่าง ๆ ของโปรตุเกส คอนแวนต์ยังมีการจัดฉายวิดีโอความยาวประมาณ 15 นาทีที่ดูแล้วต้องบอกว่าเสียดายความสวยงามในอดีตมาก ๆ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการดีที่สถานที่แห่งนี้ถูกอนุรักษ์ไว้แม้จะเหลือเพียงซากปรักหักพังก็ตาม
เที่ยวลิสบอน: มหาวิหารลิสบอน (Lisbon Cathedral)
เดินเล่นในย่านจัตุรัสคอมเมร์ซิโอเพื่อชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างครอบคลุมแล้ว ต่อไปเราจะเปลี่ยนบรรยากาศไปเดินเล่นตามเนินเขาที่ย่านอัลฟามากันบ้าง ย่านนี้รวมสถานที่ท่องเที่ยวไว้หลายแห่ง ซึ่งแห่งแรกก็คือมหาวิหารลิสบอน ซึ่งมีความเก่าแก่ย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 12 ถ้าเดินมาจากคอนแวนต์คาร์โมใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที เส้นทางค่อนข้างชันทีเดียวแนะนำให้เตรียมรองเท้าที่เหมาะสำหรับการเดินมาด้วย
พอมาถึงแล้วจะเห็นมหาวิหารตั้งอยู่ใกล้กับป้ายจอดรถรางสาย 28 ภายในนักท่องเที่ยวสามารถเดินชมโบสถ์ที่มีความสวยงาม รวมถึงพื้นที่ชั้นบนซึ่งเป็นคลังเก็บโบราณวัตถุและสมบัติทางศาสนา พอเดินออกไปด้านนอกจะเป็นพื้นที่ชมวิวมองเห็นเขตอัลฟามาและแม่น้ำเทกัสระยะไกล เอาจริง ๆ วิวอาจจะไม่สวยตระการตาและครอบคลุมเท่ากับบนประตูชัยลิสบอนและลิฟต์ซานต้าจัสตา แต่ถ้าพูดถึงเรื่องรูปแบบสถาปัตยกรรมและงานศิลปะด้านในก็ต้องบอกว่าเพียงพอที่จะเป็นเหตุผลให้ตัดสินใจเข้าชมด้วยตัวเอง
เที่ยวลิสบอน: จุดชมวิวซานตาลูเซีย (Miradouro de Santa Luzia)
จากมหาวิหารลิสบอนเดินตามถนน R. Augusto Rosa ขึ้นเนินเขาไปอีกประมาณ 10 นาทีจะเจอกับจุดชมวิวซานตาลูเซียยอดนิยมของลิสบอน ซึ่งมีระเบียงที่ประดับด้วยกระเบื้องสีฟ้าอย่างสวยงาม พอมองผ่านหน้าต่างริมระเบียงออกไปจะเห็นบ้านเรือนย่านอัลฟามาสีพาสเทลสดใส โดยมีแม่น้ำเทกัสเป็นฉากหลัง ส่วนซ้ายมือมองเห็นอารามเซนต์วินเซนต์และวิหารแพนธีออนแห่งชาติตามลำดับ นับว่าเป็นจุดชมห้ามพลาดและถึงแม้ว่าจะไม่ได้มาในช่วงพระอาทิตย์ตกเย็นก็สวยเช่นกัน
จากจุดชมวิวซานตาลูเซียมีตัวเลือกสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีก 2-3 แห่ง ก็คือ ปราสาทเซนต์จอร์จ วิหารแพนธีออนแห่งชาติ และตลาดมือสองสองซานตาคลาราที่จัดขึ้นทุกวันอังคารและวันเสาร์ ด้วยความที่ถ้าขึ้นไปปราสาทเซนต์จอร์จเราก็สามารถเดินเล่นและรอชมพระอาทิตย์ตกเย็นได้ด้วย เพราะฉะนั้นก็เลยเลือกไปชมวิหารแพนธีออนแห่งชาติก่อน ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ดีเพราะสวยและสามารถทำได้ใน 30-45 นาที
เที่ยวลิสบอน: วิหารแพนธีออนแห่งชาติ (National Pantheon)
วิหารแพนธีออนแห่งชาติตั้งอยู่ห่างจากจุดชมวิวซานตาลูเซียประมาณ 1 กิโลเมตร วิธีที่สะดวกคือนั่งรถรางสาย 28 จากป้ายด้านหน้าจุดชมวิวไปลงที่ป้าย Voz Operário แล้วเดินลงเนินเขาอีก 6 นาทีจะเจอกับวิหารตั้งเด่นสง่าอยู่ทางซ้ายมือ วิหารแห่งนี้เป็นโครงสร้างสไตล์นีโอคลาสสิกขนาดใหญ่ที่มีโดมอันโดดเด่นตั้งตระหง่านเหนือเส้นขอบฟ้าของย่านอัลฟามา เดิมสร้างขึ้นเป็นโบสถ์ Santa Engrácia ในศตวรรษที่ 17 ต่อมาได้รับการเปลี่ยนให้เป็นวิหารแห่งชาติ เพื่อเป็นเกียรติแก่บุคคลสำคัญชาวโปรตุเกส
ด้านในต้องบอกว่าพอได้เข้าชมแล้วสวยเวอร์วังอลังการมาก โดยมีโดมตรงกลางที่เป็นจุดเน้นทางสถาปัตยกรรม พร้อมตกแต่งด้วยกระเบื้อง รูปปั้น และสัญลักษณ์ทางศาสนาอันประณีต แต่ละชั้นเชื่อมต่อด้วยบันไดวนและมีระเบียงชมพื้นที่ตรงกลาง ยิ่งขึ้นไปชั้นบนมากเท่าไร ยิ่งมองเห็นโดมที่สวยงามมากเท่านั้น วิหารแห่งนี้ยังที่พำนักแห่งสุดท้ายของบุคคลสำคัญชาวโปรตุเกสหลายคน เช่น Amália Rodrigues นักร้องฟาโดชื่อดัง และ Humberto Delgado บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองโปรตุเกส
นอกจากเรื่องสถาปัตยกรรมที่ยืนหนึ่งของวิหารแพนธีออนแห่งชาติแล้ว ยอดโดมยังมีจุดชมวิวที่สวยงามแบบรอบด้านมองเห็นแม่น้ำเทกัส อารามเซนต์วินเซนต์ และตลาดมือสองสองซานตาคลารา เอาจริง ๆ เราว่าจุดชมวิวนี้สูสีกับจุดชมวิวซานตาลูเซียเลยนะ แต่ที่นั้นสามารถไปชมได้ฟรี ส่วนที่นี่มาแล้วได้ทั้งชมวิวสวย ๆ และสถาปัตยกรรมด้านในไปในตัว ฮั่นแน่! เอาเป็นว่าคุ้มค่ากับบัตรลิสบอนที่เราซื้อมา เพราะใช้เข้าชมวิหารแห่งนี้ได้ฟรี
ตลาดซานตาคลารา (Mercado de Santa Clara) เป็นตลาดขายของมือสองที่ใหญ่ที่สุดของลิสบอนเลยก็ว่าได้ ตั้งอยู่ใกล้กับวิหารแพนธีออนแห่งชาติ ด้านในรวมแผงขายของไว้เยอะมาก มีให้เลือกสรรเท่าที่จะจินตนาการได้เลย ด้านนอกก็มีแผงขายของเรียงรายติดกับถนนเช่นกัน ใครที่สนใจสินค้ามือสองลองแวะไปได้ ตลาดเปิดวันอังคารและวันเสาร์ เวลา 09:00-18:00 น.
เที่ยวลิสบอน: ปราสาทเซนต์จอร์จ (Castelo de São Jorge)
เที่ยวสถานที่สำคัญของลิสบอนไปหลายแห่งแล้ว ในที่สุดเราก็มาปราสาทเซนต์จอร์จสักที ปราสาทแห่งนี้เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาหนึ่งในเจ็ดแห่งของลิสบอน และยังมองเห็นทิวทัศน์มุมกว้างของเมืองและแม่น้ำเทกัสได้อย่างงดงาม
ด้านหน้าปราสาทมีประตูทางเข้าที่ชื่อว่า Arco do Castelo เดินผ่านประตูนี้ไปจะเจอกับสำนักงานขายตั๋ว แนะนำให้จองออนไลน์ล่วงหน้ามาก่อน เพราะคิวยาวมากอีกเช่นกัน พอสแกนตั๋วที่เครื่องอัตโนมัติแล้วก็จะเจอกับพื้นที่ของปราสาท ส่วนแรกที่เห็นจะเป็นจุดชมวิวมุมกว้างมองเห็นบ้านเรือนในย่านอัลฟามาและแม่น้ำเทกัส
ถ้าเดินตามจุดชมวิวนี้ไปเรื่อย ๆ จะเห็นวิวเมืองที่ไล่ตั้งแต่จัตุรัสคอมเมร์ซิโอไปจนถึงลิฟต์ซานต้าจัสตาและบ้านเรือนใกล้จัตุรัสพลาซ่าดอมเปโดรที่ 4 บริเวณนี้ยังมีม้านั่งสำหรับชมวิวแบบผ่อนคลายไปในตัว ถ้าในช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกเย็นยิ่งเพิ่มความโรแมนติกไปอีก เอาเป็นว่าสวยและคุ้มที่จะมาด้วยตัวเอง
จากจุดชมวิวด้านหน้าปราสาทสามารถเดินตามสวนสีเขียวของปราสาทเพื่อเข้าไปยังด้านในตัวปราสาท พอเข้ามาแล้วจะเห็นปราสาทเก่าแก่มีรากฐานมาจากศตวรรษที่ 6 ซึ่งก่อตั้งขึ้นครั้งแรกโดยชาววิซิกอธ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปกป้องลิสบอนในช่วงเวลาต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ ปัจจุบันเหลือร่องรอยของโครงสร้างแบบมัวร์และยุคกลางให้ได้เดินชมกัน
นักท่องเที่ยวสามารถสามารถเดินขึ้นบันไดหินเพื่อไปยังกำแพงของปราสาท รอบ ๆ กำแพงมีจุดชมวิวเมืองลิสบอนที่สวยงามเช่นกัน ที่สำคัญอย่าลืมแวะไปจุดชมวิวบนยอดหอคอยของปราสาทด้วย สามารถมองเห็นบ้านเรือนสีชมพูสีสันสดใส รวมถึงวิหารแพนธีออนแห่งชาติที่เราไปชมมาก่อนหน้านี้ และแม่น้ำเทกัสซึ่งมีฉากหลังเป็นบ้านเรือนและภูเขาฝั่งตรงข้ามจากระยะไกล
โดยรวมแล้วปราสาทเซนต์จอร์จเหมาะสำหรับชมความสวยงามทางของสถานที่ประวัติศาสตร์และชมวิวเมืองลิสบอนไปในตัว เรียกได้ว่าสามารถนั่งพักผ่อนและปิดท้ายของวันได้ดีทีเดียว ด้วยความที่ปราสาทมีขนาดใหญ่แนะนำให้เผื่อเวลาเดินชมไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง ถ้าไม่มาตั้งแต่ตอนเช้าเลยก็เหมาะที่จะมาตอนเย็นแบบไม่รีบเร่ง
เที่ยวลิสบอน: ย่านอัลฟามา (Alfama)
เดินเล่นและชมพระอาทิตย์ตกเย็นที่ปราสาทแล้วถ้ามีเวลาเหลือสามารถแวะไปเดินเล่นต่อที่อัลฟามา ซึ่งเป็นย่านเก่าแก่ของลิสบอนที่มีบรรยากาศดีและยังคงรักษาเสน่ห์ดั้งเดิมของเมืองไว้ ย่านนี้โดดเด่นด้วยถนนเขาวงกตที่ปูด้วยหิน และเต็มไปด้วยบ้านเรือนสีสันสดใสประดับด้วยผ้าที่แขวนอยู่ริมหน้าต่าง รวมถึงมีสถาปัตยกรรมบนส่วนหน้าอาคารที่ปูด้วยกระเบื้องสีฟ้าพร้อมระเบียง สะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานที่หลากหลายของอิทธิพลแบบมัวร์ยุคกลาง
ที่สำคัญแม้ว่าย่านอัลฟามาจะดึงดูดท่องเที่ยว แต่ก็ยังคงมีการรักษาเสน่ห์ดั้งเดิมไว้ เช่น ตลาดดั้งเดิม สนามหญ้าที่มีมุมเงียบสงบ และร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารโปรตุเกสจานพิเศษ นับว่าเป็นการสร้างความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับชีวิตในท้องถิ่นได้อย่างลงตัว
เที่ยวลิสบอน: ตลาดไทม์เอาท์ลิสบอน (Time Out Market Lisboa)
วันที่สองเดินจากเช้ายันเย็นจนเหนื่อยแต่สนุกสุด ๆ ไปแล้ว เราจะมาปิดท้ายมื้อเย็นที่ตลาดไทม์เอาท์ลิสบอน ตลาดนี้ตั้งอยู่ใกล้กับถนน (Pink Street) ที่เคยเป็นย่านโคมแดงในอดีตแต่ปัจจุบันกลายมาเป็นศูนย์กลางสถานบันเทิงยามค่ำคืนอันทันสมัย ถ้าไปเดินถนนนี้ตอนค่ำอาจจะไม่ค่อยเห็นถนนสีชมพูเท่าไรเพราะเต็มไปด้วยคนเยอะมาก แต่ถ้ามีเวลาอยากได้รูปถนนสีชมพูแบบชัดเจนแนะนำให้ไปตอนเช้าแทน พอเดินผ่านถนนสีชมพูไปประมาณ 5 นาทีจะเห็นตลาดตั้งอยู่ทางซ้ายมือ
ด้านในเป็นศูนย์รวมอาหารขนาดใหญ่ที่เคยเป็นตลาดเก่าแก่ของ Mercado da Ribeira มาก่อน แต่ปัจจุบันกลายมาเป็นพื้นที่ทันสมัยและผสมผสานร้านอาหารโปรตุเกสและอาหารนานาชาติที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยมีอาหารทั้งหมด 26 แห่ง บาร์ 8 แห่ง รวมถึงร้านค้าและร้านขายขนมอีกมากมาย รวมถึงมีที่นั่งส่วนกลางให้ได้จับจองตามสะดวก
ถ้ามาตอนเย็น ๆ ที่นั่งจะเต็มเร็วมาก อาจต้องยืนรอหรือเดินวนหลายรอบเพื่อให้ได้ที่นั่ง ส่วนรสชาติอาหารอร่อย เช่นเดียวกับราคาอาหารถือว่าไม่ถูกและไม่แพงไป ถ้าใครชอบบรรยากาศมีชีวิตชีวาและมีอาหารให้เลือกหลายแบบแนะนำให้มาลองด้วยตัวเอง ตลาดเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 10:00-24:00 น.
พระราชวังแห่งชาติเปนา (National Palace of Pena)
เที่ยวในลิสบอน 2 วันเต็มแล้ว ถ้าใครที่มีเวลาอีกครึ่งวันหรือเต็มวันแนะนำให้ลองไปเที่ยวต่อที่เมืองซิงตรา ซึ่งเป็นเมืองเล็กน่ารักยอดนิยมอีกหนึ่งแห่ง ตั้งอยู่ห่างจากลิสบอนเพียง 33 กม. เมืองนี้รวมที่เที่ยวสำคัญไว้หลายแห่ง เช่น พระราชวังแห่งชาติเปนาที่เป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโก ตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทมัวร์ที่มีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 รวมถึงคฤหาสน์ Quinta da Regaleira และพระราชวังที่มีชื่อเสียงในซิงตราอย่าง Monserrate Palace ตลอดจน Cabo da Roca ซึ่งเป็นแหลมอันน่าทึ่งที่ยื่นออกไปติดมหาสมุทรตั้งอยู่ทางตะวันตกสุดของทวีปยุโรป ห่างจากเมืองซิงตราเพียง 55 นาที ทั้งหมดนี้นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเข้าชมได้ตามสะดวก ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกเข้าชมพระราชวังแห่งชาติเปนาและปราสาทมัวร์ ทั้งสองแห่งสวยและคุ้มค่าตั๋วเข้าชม
ราคาตั๋วเข้าชม: 14 ยูโร รวมการเข้าชมพระราชวังแห่งชาติเปนาและอุทยานของพระราชวัง ครอบคลุมถึงที่ประทับชาเลต์ของเคานท์เตสแห่งเอ็ดลา ตอนจองตั๋วต้องระบุวันที่และรอบเวลาในการเข้าชม รอบแรกเริ่มเวลา 09:30 น. ในขณะที่รอบสุดท้ายคือเวลา 17:30 น. สำหรับคนที่ต้องการเข้าชมเฉพาะอุทยานของพระราชวังเปนา มีตั๋ว Pena Park Entry Ticket ราคา 7.50 ยูโร ตั๋วนี้คล้ายกับตั๋วข้างบนแต่ไม่รวมการเข้าชมพระราชวัง ถ้าต้องการเข้าชมแบบครอบคลุมแนะนำให้ซื้อรวมใบเดียวไปเลยสะดวกกว่า
การเดินทาง: จากลิสบอนไปซิงตรา: นั่งรถไฟเส้นทางซิงตรา (Sintra) จากสถานีรถไฟ Lisbon Rossio (ตั้งอยู่ใจกลางเมือง) และ Lisbon Oriente (ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมือง) ไปยังสถานีรถไฟซิงตรา การเดินทางใช้เวลาประมาณ 40 นาที รถไฟวิ่งทุก 15-30 นาที ค่าโดยสารเที่ยวเดียว 2.30 ยูโร ตั๋วเดินทางรายวันไม่จำกัดเที่ยว 6 ยูโร สามารถใช้บัตร Lisbon Card เดินทางฟรีด้วยรถไฟเส้นทางซิงตรา
จากซิงตราไปพระราชวังเปนา: นั่งรถบัส Scotturb หมายเลข 434 สาย Pena Palace Circuit จากสถานีรถไฟซิงตราป้าย Sintra Estação ไปลงที่ป้าย Pena Palace การเดินทางใช้เวลา 20 นาที ค่าโดยสารเที่ยวเดียว 4.10 ยูโร ไปกลับ 7.60 ยูโร หรือใช้ตั๋วเดินทาง 24 ชั่วโมง เหมาะสำหรับผู้ที่วางแผนเที่ยวในซิงตราหนึ่งวัน รถบัสวิ่งทุก 15 นาที ในฤดูร้อนตั้งแต่เวลา 09:15-19:50 น. ส่วนฤดูอื่นวิ่งตั้งแต่เวลา 09:30-18:20 น.
เดินทางด้วยรถยนต์: จากลิสบอนสามารถใช้เส้นทาง A37 และ A16 ไปยังซิงตรา ใช้เวลาขับประมาณ 30 นาที แนะนำให้จอดรถไว้ใกล้สถานีรถไฟ (2-15 ยูโรต่อวัน) จากนั้นนั่งรถบัสสาย 434 ไปที่พระราชวัง
ค้นหาและเปรียบเทียบที่พักในลิสบอน
การเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองลิสบอน
ลิสบอนมีสนามบินหลัก คือ Humberto Delgado Airport หรือที่รู้จักกันในชื่อ Lisbon Airport ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองทางเหนือประมาณ 7 กม. นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟใต้ดินหรือรถบัส เพื่อเข้าเมืองในเวลา 20-30 นาที
การเดินทางในลิสบอนด้วยระบบขนส่งสาธารณะ
ระบบขนส่งสาธารณะของลิสบอนมีประสิทธิภาพและเชื่อมต่อกันอย่างทั่วถึง ครอบคลุมถึงเครือข่ายรถประจำทาง รถราง รถไฟใต้ดิน รถกระเช้าไฟฟ้าและลิฟต์ และเรือข้ามฟาก ช่วยให้พลเมืองและนักท่องเที่ยวมีทางเลือกที่สะดวกสบายในการการเดินทางรอบเมืองและพื้นที่โดยรอบ
ตั๋วเดินทางในลิสบอนด้วยระบบขนส่งสาธารณะ
เพื่อความสะดวกรวดเร็วนักท่องเที่ยวซื้อบัตรวีว่าเวียเจม (Viva Viagem) ได้ที่ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติในสนามบินและในสถานีรถไฟใต้ดิน รวมถึงสำนักงานจำหน่ายตั๋ว ซึ่งเป็นบัตรโดยสารทางการด้วยระบบขนส่งสาธารณะในลิสบอนแบบไม่ระบุข้อมูลส่วนบุคคล มีค่าธรรมเนียมบัตร 0.50 ยูโร มีอายุการใช้งาน 1 ปี จากนั้นโหลดเครดิต (เงิน) หรือตั๋วประเภทต่าง ๆ ลงในบัตรเพื่อใช้เดินทางจากสนามบินเข้าเมือง
นอกจากการเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองแล้ว ยังใช้เดินทางด้วยรถระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมดในลิสบอน ครอบคลุมถึงรถไฟใต้ดิน รถราง รถประจำทาง และรถไฟชานเมืองภายในเขตเมืองลิสบอน โดยตั๋วที่โหลดลงในบัตรมีหลายแบบให้เลือกตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ครอบคลุมถึงตั๋วเที่ยวเดียว ราคา 1.65 ยูโร ใช้เดินทางได้ภายใน 1 ชั่วโมง ตั๋วเดินทางรายวัน 24 ชั่วโมง 6.60 ยูโร หากไม่ต้องการใช้บัตรวีว่าเวียเจมด้วยตั๋วเที่ยวเดียวหรือตั๋วรายวัน สามารถซื้อตั๋วแบบกระดาษได้ที่ตู้จำหน่ายตั๋วในสถานีรถไฟใต้ดิน บนรถบัสและรถราง แต่ราคาจะแพงกว่าแบบที่ใช้บัตรวีว่าเวียเจม
เช่นเดียวกันบัตรวีว่าเวียเจมนอกจากจะใช้เดินทางแบบตั๋วเที่ยวเดียวและตั๋วรายวันได้แล้ว ยังมีตั๋วเลือกแบบเติมเงินหรือเครดิตเข้าไปในบัตร เรียกว่า “Zapping” ตั้งแต่ 3-40 ยูโร เมื่อโดยสารครั้งแรกระบบจะหักเครดิต 1.47 ยูโรไว้ก่อน จากนั้นเมื่อเดินทางถึงปลายทางระบบจะคำนวณค่าโดยสารตามโซนและเงื่อนไขของผู้ให้บริการแต่ละราย และคืนเครดิตที่เหลือให้ในบัตร วิธีนี้คล้ายกับบัตรเดินทาง OV-Chipkaart ในเนเธอร์แลนด์เลย
บัตรเดินทางวีว่าเวียเจมนับว่ามีประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยว เพราะบัตรหนึ่งใบสามารถชาร์จซ้ำได้หลายครั้ง สามารถใช้งานได้หนึ่งคน และที่สำคัญช่วยลดการใช้กระดาษเพราะไม่ต้องออกตั๋วใบเดียวบ่อย ๆ ดังนั้นใครที่วางแผนจะใช้ระบบขนส่งสาธารณะในลิสบอนบ่อย ๆ แนะนำให้ซื้อบัตรนี้ไปเลยจะสะดวกกว่า
การเดินทางไปลิสบอนจากอัมสเตอร์ดัม
อัมสเตอร์ดัมตั้งอยู่ห่างจากลิสบอนประมาณ 2,265 กม. นักท่องเที่ยวที่ต้องการไปเที่ยวลิสบอนสามารถเชื่อมต่อการเดินทางจากเมืองใกล้เคียงได้สะดวก เช่น อัมสเตอร์ดัม บรัสเซลส์ ปารีส มาดริด ครอบคลุมตัวเลือกด้วยเที่ยวบิน รถไฟ และรถยนต์ ดังรายละเอียด
เที่ยวลิสบอน ใช้งบเท่าไร
ค่าใช้จ่ายสำหรับเที่ยวลิสบอน 2 วัน 3 คืน สำหรับ 2 คน อยู่ที่ประมาณ 588 ยูโร คิดเป็นเงินไทยประมาณ 22,500 บาท ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ค่าที่พัก การเดินทาง อาหาร กิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงค่าที่จอดรถและค่าทางด่วน ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน เช็คราคาและจองตั๋วเครื่องบินราคาประหยัดได้ที่นี่
budget
โรงแรม: 83-120 ยูโร
โฮสเทล: 20-70 ยูโร
การเดินทาง: 6.60-22 ยูโร
ซื้อตั๋วเดินทาง
กิจกรรมและตั๋ว: 8-15 ยูโร/แห่ง
รถเช่า: 17-45 ยูโร
อาหาร: 12-20 ยูโร/มื้อ
ที่จอดรถ: 2-15 ยูโร/วัน
เที่ยวอย่างอุ่นใจไปกับบัตรเดบิต Wise สำหรับใช้จ่ายทั่วโลก สามารถใช้ถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มต่างประเทศตามอัตราแลกเปลี่ยนจริงโดยไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง ใช้ชำระค่าอาหาร จองที่พักหรือตั๋วเครื่องบิน รวมถึงในร้านค้าออนไลน์ทั่วโลกกว่า 50+ สกุลเงิน ทั้งยังรองรับการชำระผ่าน MasterCard, Apple Pay และ Google Pay โดยไม่ต้องกังวลในการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ใช้มานานกว่า 4 ปีไม่ผิดหวัง → สมัครรับบัตรเดบิต Wise ไว้ใช้ประโยชน์ด้วยตัวเองตอนนี้เลย
แผนที่เที่ยวลิสบอนด้วยตัวเอง
แหล่งข้อมูลวางแผนเที่ยว
Thank you
การเปิดเผย: บทความนี้มีลิงก์แอฟฟิลิเอทบางส่วน การกดที่ลิงก์ไม่มีค่าใช้จ่าย หากซื้อสินค้าหรือบริการจากลิงก์ดังกล่าว เราอาจได้รับค่ากำลังใจเล็กน้อยสำหรับนำไปพัฒนาบล็อก 🧡