เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง อิสตันบูล (Istanbul) ประเทศตุรกี เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมของผู้คนสองฝั่งยุโรปและเอเชีย ซึ่งขั้นกลางด้วยช่องแคบบอสพอรัสระหว่างทะเลมาร์มาราและทะเลดำ เราแพลนไปเที่ยวที่นี่ 5 วัน 4 คืน ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นฤดูหนาวของที่นี่ ก่อนจะค้นพบว่ามันดีเกินความคาดหมาย ทริปนี้จึงเต็มไปด้วยความสนุกไม่หวั่นสภาพอากาศเพราะยังมีแดดอุ่น ๆ ในทุกวัน และที่สำคัญค่าใช้จ่ายไม่แพง สถานที่ท่องเที่ยวอยู่ใกล้กัน และยังเดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ
บทความนี้จะมาแบ่งปันผู้อ่านเกี่ยวกับการวางแผนเที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง ครอบคลุมไปถึงที่เที่ยวในอิสตันบูล ย่านที่พัก อาหารการกิน การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ และค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดทริปนี้ เอาเป็นว่าถ้าอ่านบทความนี้แล้วสามารถเที่ยวอิสตันบูลได้ด้วยตัวเอง ที่เหลือก็แค่เก็บเงินจัดกระเป๋าเตรียมใจไปสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ของที่นี่ได้เลย
ลิงก์จองทริปเที่ยวอิสตันบูล
ที่เที่ยวอิสตันบูล
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: ฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia)
ฮาเกียโซเฟีย หรือมหาวิหารเซนต์โซเฟีย (ภาษาตุรกี: Ayasofya) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนาที่มีความสวยงามในเมืองอิสตันบูล ตั้งอยู่ที่ย่านเมืองเก่าทางฝั่งยุโรปตะวันตกตรงข้ามกับจัตุรัสสุลต่านอาเหม็ด ที่นี่เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่ของโลก ตัวอาคารมีสถาปัตยกรรมที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาในหลายศตวรรษที่ผ่านมา รวมไปถึงภาพโมเสกพระจักรพรรดินีโซอีที่ยังคงเห็นได้ภายในตัวอาคารจนถึงปัจจุบัน
ในอดีตนั้นฮาเกียโซเฟียถูกสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 537 ในสมัยพระจักรพรรดิจัสติเนียน เพื่อเป็นโบสถ์คริสต์ไบแซนไทน์ ต่อมาหลังการล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี ค.ศ. 1453 มหาวิหารแห่งนี้ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นมัสยิด ก่อนที่ในปี ค.ศ. 1935 ได้ถูกเปลี่ยนถ่ายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ภายใต้ชื่อ ‘Hagia Sophia Museum’ หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 2020 จนถึงปัจจุบันฮาเกียโซเฟียได้ถูกเปลี่ยนกลับมาเป็นสุเหร่าทางศาสนาอีกครั้ง
นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมสถานที่แห่งนี้ได้โดยมีค่าธรรมเนียม 25 ยูโร สำหรับผู้เข้าชมสุภาพสตรีควรเตรียมผ้าคลุมหัวและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ปกปิดไหล่และขา ด้านในอาคารปูด้วยพรมต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าชม (มีตู้ขนาดเล็กสำหรับวางรองเท้า) ในช่วงเวลาละหมาดเรามักจะเห็นผู้คนหนาแน่นในสถานที่แห่งนี้ ทางสุเหร่าอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในช่วงเวลาดังกล่าวได้ แต่ต้องอยู่ในพื้นที่ที่จัดไว้ให้ไม่ไปรบกวนการทำละหมาด (ยกเว้นการทำละหมาดใหญ่ในวันศุกร์)
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: มัสยิดสุลต่านอาเหม็ด (Sultan Ahmed Mosque)
มัสยิดสุลต่านอาเหม็ด หรือสุเหร่าสุลต่านอาห์เหม็ด (ภาษาตุรกี: Sultan Ahmet Camii) เป็นแลนด์มาร์คทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของอิสตันบูลและรู้จักกันดีในชื่อ ‘มัสยิดสีน้ำเงิน’ (Blue Mosque) เนื่องจากผนังด้านในตกแต่งรอบล้อมด้วยกระเบื้องเคลือบสีฟ้าและหินอ่อนแกะสลักอย่างปราณีต ที่นี่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับฮาเกียโซเฟีย สถาปัตยกรรมที่ใช้ในการออกแบบจึงมีความใกล้เคียงกัน
มัสยิดสุลต่านอาเหม็ดถูกสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 1609 และ ค.ศ. 1616 โดยซูลตันอาห์เมท 1 กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิออตโตมัน ประกอบไปด้วย 5 โดม หอคอย และ 8 โดมรอง ด้านในอาคารประดับด้วยงานแฮนด์เมดมากกว่า 20,000 ชิ้น รวมไปถึงหน้าต่างกระจกสีมากกว่า 200 บานที่รับกับแสงธรรมชาติได้เป็นอย่างดี ความสวยงามของมัสยิดสุลต่านอาเหม็ดยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะในตอนกลางคืนยังมีการเปิดไฟประดับสีฟ้าส่องสว่างสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล ใครที่มีเวลาเหลือเราขอแนะนำให้เดินไปเที่ยวที่นี่ในช่วงพลบค่ำเช่นกัน
ในช่วงที่มีการทำละหมาด 5 ครั้งต่อวันมัสยิดจะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม (โดยเฉพาะการทำละหมาดใหญ่ในวันศุกร์ที่ใช้เวลานานมากกว่าปกติ) ควรเช็คเวลาให้แน่ใจก่อน ที่ประตูทางเข้ายังมีป้ายบอกช่วงเวลาที่จะทำละหมาดและช่วงเวลาที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม
ผู้เข้าชมสุภาพสตรีควรเตรียมผ้าคลุมหัวและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ปกปิดไหล่และขา ถ้าไม่ได้เตรียมมาทางมัสยิดมีผ้าคลุมให้ที่หน้าประตูทางเข้า ผู้เข้าชมชายควรสวมกางเกงที่คลุมเข่า และต้องถอดรองเท้าในการเข้าชมเนื่องจากพื้นปูด้วยพรม (มีถุงพลาสติกฟรีให้ใส่รองเท้า)
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: จัตุรัสสุลต่านอาห์เมต (Sultanahmet Square)
จัตุรัสสุลต่านอาห์เมต (ภาษาตุรกี: Sultanahmet Meydanı) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘ฮิปโปโดรม’ (Hippodrome) ในอดีตใช้เป็นสนามแข่งม้าซึ่งเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมในยุคเฮล เลนิสติกโรมัน และไบแซนไทน์ ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่า
รอบพื้นที่จัตุรัสสุลต่านอาห์เมตจะพบกับสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง เช่น ฮาเกียโซเฟียที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับมัสยิดบลูขั้นกลางด้วยลานน้ำพุสุลต่านอาห์เมต อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทัน เสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุส น้ำพุเยอรมัน เสาพญานาค และเสาโอเบลิสก์วอลล์ ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ใกล้กันถ้ามาเยี่ยมชมแล้วได้เห็นครบทุกอย่างแน่นอน
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: เสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุส (Obelisk of Theodosius)
เสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุส (ภาษาตุรกี: Dikilitaş) เป็นเสาอียิปต์โบราณสร้างขึ้นในฮิปโปโดรมโดยฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 (Thutmose III) ช่วง 1479–1425 ปีก่อนคริสตกาล ถ้านับรวมปัจจุบันเสานี้ตั้งมานานแล้วถึง 3,000 ปี เสาโอเบลิสก์แห่งโธโดสิอุสใช้หินแกรนิตสีแดงจากอัสวานเมืองหลวงทางตอนใต้ของอียิปต์ แต่เดิมมีความสูง 30 เมตร แต่สันนิษฐานจากร่องรองรอยของตัวฐานว่าอาจได้รับความเสียหายระหว่างการขนส่งหรือก่อสร้างใหม่ทำให้ความสูงรวมฐานปัจจุบันเหลือเพียง 25.6 เมตรเท่านั้น ทั้งสี่ด้านของเสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุสมีแผ่นจารึก ส่วนแท่นหินอ่อนบริเวณฐานทั้งสี่ด้านมีภาพนูนต่ำที่สื่อถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในกรุงคอนสแตนติโนเปิล เช่น มงกุฎแห่งชัยชนะแก่ผู้ชนะในการแข่งรถม้า
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: น้ำพุเยอรมัน (German Fountain)
น้ำพุเยอรมัน (ภาษาตุรกี: Alman Çeşmesi) เป็นโดมทรงแปดเหลี่ยมมีหลังคาปกคลุมด้วยสถาปัตยกรรมแบบสไตล์นีโอไบแซนไทน์ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของฮิปโปโดรมตรงข้ามกับสุสานของสุลต่านอาเหม็ดที่ 1 สร้างขึ้นในประเทศเยอรมนีเพื่อเป็นของขวัญเฉลิมฉลองวันครบรอบปีที่สองของการเสด็จเยือนอิสตันบูลของจักรพรรดิเยอรมันวิลเฮล์มที่ 2 ในปี พ.ศ. 2441 น้ำพุเยอรมันได้รับการขนส่งทางเรือและนำมาประกอบตามขนาดปัจจุบันในปี พ.ศ. 2443 มีเสาทั้งหมดแปดต้น ภายในโดมประดับด้วยหินอ่อนและปูด้วยกระเบื้องโมเสคสีทอง ถ้าเดินมาที่ฮิปโปโดรมจากลานน้ำพุสุลต่านอาห์เมตจะเห็นน้ำพุนี้ตั้งอยู่หน้าทางเข้า
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: เสาพญานาค (Serpent Column)
เสาพญานาค (ภาษาตุรกี : Yılanlı Sütun) เป็นเสาทองแดงโบราณตั้งอยู่ที่ฮิปโปโดรมถัดจากเสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุส สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงชาวกรีกที่ต่อสู้และเอาชนะจักรวรรดิเปอร์เซียในยุทธการพลาตาช่วงศตวรรษที่ห้าก่อนคริสต์ศักราช ลักษณะของเสาเป็นร่างของตัวงูใหญ่สามตัวบิดเกลียวแน่น เว้นช่วงหัวที่ถูกทำให้เหมือนขาตั้งเครื่องบูชา มีความสูงจากพื้นดินประมาณ 8 เมตร ปลายศตวรรษที่ 17 ส่วนของหัวงูทั้งสามถูกทำลาย เหลือเพียงเสาที่เราเห็นในปัจจุบัน ส่วนกรามบนของศีรษะข้างหนึ่งของงูได้รับการฟื้นฟูและจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: เสาโอเบลิสก์วอลล์ (Walled Obelisk)
เสาโอเบลิสก์วอลล์ (ภาษาตุรกี: Örme Dikilitaş) เป็นเสาหินตัวสุดท้ายที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของฮิปโปโดรมถัดจากเสาพญานาค ถูกสร้างขึ้นเพื่อประกาศถึงชัยชนะของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ บาซิลที่ 1 มีลักษณะเป็นเสาสี่เหลี่ยมความสูง 32 เมตร ปลายเสาเดิมถูกปกคลุมด้วยแผ่นโลหะทองสัมฤทธิ์ แต่ถูกทำลายโดยกองทหารลาตินในสงครามครูเสดครั้งที่สี่ เหลือเพียงเสาที่เราเห็นในปัจจุบันและถูกล้อมรอบด้วยกำแพง
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทัน (Basilica Cistern)
อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทัน (ภาษาตุรกี: Yerebatan Sarnici) เป็นอ่างเก็บน้ำโบราณใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอิสตันบูล ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าใกล้กับมัสยิดสีน้ำเงินและฮาเกียโซเฟีย สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 6 สมัยของจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 แห่งไบแซนไทน์ พื้นที่ด้านในเป็นห้องใต้ดินขนาดประมาณ 138 เมตร ประดับด้วยเสาหินอ่อน 12 แถวรวมจำนวน 28 เสา โดยแต่ละเสาห่างกัน 5 เมตร ที่นี่สามารถจุน้ำได้มากถึง 80,000 ลูกบาศก์เมตร ในอดีตใช้เป็นระบบกรองน้ำให้กับพระราชวังใหญ่แห่งคอนสแตนติโนเปิลและพระราชวังโทพกาปึ ปัจจุบันมีน้ำขังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมโดยสามารถเดินลงไปได้ผ่านบันไดห้าสิบสองขั้น ที่นี่ยังเคยเป็นฉากหนึ่งของการถ่ายทำภาพยนตร์ ‘1963 James Bond’ อีกด้วย
แวะดื่มกาแฟตุรกีในคาเฟ่ลับ (The Cafer Ağa Madrasa)
Cafer Ağa Madrasa เรียกได้ว่าเป็น Hidden jam ของอิสตันบูลเลยก็ว่าได้ ตั้งอยู่บนถนน Caferiye Sokak ซึ่งเป็นเส้นทางเดินไปยังพระราชวังโทพคาปึ สถานที่แห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในอาคารทางประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ในช่วงจักรวรรดิออตโตมันสำหรับใช้เป็นโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ปัจจุบันถูกดัดแปลงเป็นศูนย์วัฒนธรรมและสถานที่สำหรับจัดนิทรรศการศิลปะและเวิร์กช็อป
ถ้าเดินเข้าไปด้านในจะพบกับลานลานสี่เหลี่ยมที่ถูกล้อมรอบห้องพักนักเรียนและหอสวดมนต์กลาง ส่วนด้านนอกของอาคารประดับด้วยสถาปัตยกรรมแบบออตโตมัน รวมถึงงานหินที่ประณีตและการประดิษฐ์ตัวอักษร ในขณะที่ลานกลางแจ้งเป็นคาเฟ่ขนาดเล็กสำหรับดื่มกาแฟตุรกีดั้งเดิมที่มีบรรยากาศเงียบสงบ ที่สำคัญราคาไม่แพงตามแบบฉบับคนท้องถิ่น การได้แวะมาพักนั่งเล่นที่นี่นับว่าผ่อนคลายและชอบมาก ใครที่มีเวลา 10-20 นาที ลองเปลี่ยนบรรยากาศจากย่านท่องเที่ยวมาที่นี่ได้
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: พระราชวังโทพคาปึ (Topkapı Palace)
พระราชวังโทพคาปึ (ภาษาตุรกี: Topkapı Sarayı) เป็นพิพิธภัณฑ์พระราชวังขนาดใหญ่ของเมืองอิสตันบูล ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางประวัติศาสตร์เก่าแก่ทางด้านหลังฮาเกียโซเฟียสามารถเดินไปได้เพียง 3 นาที ที่นี่เคยเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำงานหลักของสุลต่านออตโตมันในช่วงในศตวรรษที่ 15 และ 16 ด้านในพระราชวังประกอบด้วยลานหลักสี่แห่งและอาคารขนาดเล็กจำนวนมาก มีพื้นที่รวมทั้งหมดกว่า 7,535,000 ตารางฟุต เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในอิสตันบูลที่ห้ามพลาดต้องเข้าชม
ลานหลักสี่แห่งในพระราชวังโทพคาปึ
- ลานแรก (Alay Square) เข้าถึงได้โดยใช้ประตูหลักที่ชื่อว่าประตูอิมพีเรียล (ประตูสุลต่าน) ด้านหน้ามีทหารยืนถือปืนเฝ้าประตู เมื่อเดินเข้ามาต้องวางกระเป๋าเข้าเครื่องสแกนและเดินผ่านเครื่องสแกนเข้าไปด้านใน ตรงนี้ยังไม่ต้องใช้ตั๋วเข้าชม เมื่อเดินผ่านมาแล้วจะมองเห็นลานแรกซึ่งล้อมด้วยกำแพงสูง ทำหน้าที่เป็นเขตสวนสาธารณะด้านนอก เราสามารถมองเห็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ เช่น โรงกษาปณ์ของจักรวรรดิในอดีต โบสถ์ไบแซนไทน์ ‘Hagia Irene’ ร้านเบเกอรี่ โรงพยาบาล โกดังไม้ และบ้านของช่างจักสาร
- ลานที่สอง (Divan Square) เข้าถึงโดยใช้ประตูที่สอง ตรงนี้มีเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว ต้องซื้อตั๋วเข้าชมก่อน ใครที่มีบัตรมิวเซียมพาสอิสตันบูลก็ใช้เข้าชมได้เลย จากนั้นสแกนตั๋วเข้าชมกับเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ พอเข้ามาถึงตรงนี้แล้วเราจะพบกับลานที่สองมีทางเดินไปยังประตูที่สาม ถ้าใครยังไม่อยากเข้าไปเลยก็สามารถเดินชมสถานที่ต่าง ๆ ในลานที่สองก่อนได้ เช่น ห้องสภาจักรวรรดิ ห้องเก็บคลังอาวุธ ห้องครัวและห้องเก็บของขวัญและเครื่องเงิน
- ลานที่สาม (Enderun Courtyard) ที่นี่เป็นไฮไลท์ของพระราชวังโทพคาปึเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นวังชั้นในซึ่งเป็นหัวใจของพระราชวัง ประกอบไปด้วยห้องบัลลังก์ของจักรพรรดิที่ปกคลุมด้วยผ้าทองคำและอัญมนีหลายชนิด ห้องสมุด มัสยิดขนาดเล็ก ห้ององคมนตรี รวมไปถึงฮาเร็มส่วนตัวของสุลต่าน ซึ่งเป็นที่พำนักของมารดา มเหสีและนางสนมของสุลต่าน
- ลานที่สี่ (Fourth courtyard) หรือที่รู้จักในชื่อโซฟาอิมพีเรียล เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ส่วนตัวที่อยู่ด้านในสุดของพระราชวัง ประกอบไปด้วยห้องขลิบทางศาสนา สวนหย่อม ระเบียงน้ำพุ รวมไปถึงศาลา Baghdad, Revan Pavilions, และ Iftaree Gazebo ซึ่งเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นความก้าวหน้าของสถาปัตยกรรมออตโตมันคลาสสิก ด้านหน้ายังมีระเบียงหินอ่อนสามารถมองเห็นวิวที่สวยงามของทางน้ำ ‘Golden Horn’ ของเมืองอิสตันบูล ใครหลายคนอาจจะเห็นภาพมุมนี้บ่อย ๆ จากโลกออนไลน์
การเข้าชมพระราชวังโทพคาปึควรให้เผื่อเวลาไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ช่วงเวลาที่แนะนำคือ 09:00-11:00 น. หรือหลัง 15:00 น. ด้านในมีสถานที่ให้เลือกชมหลากหลาย ไม่จำเป็นว่าต้องเดินชมจากลานที่สองก่อน แต่สามารถเดินไปยังลานที่สาม หรือลานที่สี่แล้วย้อนกลับมายังลานที่สองก็ได้ สถานที่ภายในบางแห่งไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ เราจึงถ่ายภาพมาได้แค่ภายนอกบางส่วนเท่านั้น
ถ้าเปรียบเทียบที่นี่กับพระราชวังโดลมาบาห์เช (Dolmabahçe Palace) เราว่าโดดเด่นคนละแบบ โดยส่วนตัวชอบพระราชวังโดลมาบาห์เชมากกว่า เพราะมีสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก อยู่ติดกับแม่น้ำด้วย แต่ที่นี่เรามีบัตร Museum Pass Istanbul ใช้เข้าชมได้ฟรี และที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากฮาเกียโซเฟีย มาที่นี่แล้วได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติของสุลต่านและเห็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์หลายแห่งนับว่าคุ้มกับค่าตั๋ว ถ้าให้เลือกเข้าที่ใดที่หนึ่งเราคิดว่าควรเข้าชมทั้งสองที่เลย ไหน ๆ ก็มาแล้ว
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: พระราชวังโดลมาบาห์เช (Dolmabahçe Palace)
พระราชวังโดลมาบาห์เช (ภาษาตุรกี: Dolmabahçe Sarayı) ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลมาร์มาราในช่องแคบบอสฟอรัสฝั่งทวีปยุโรปของอิสตันบูล เป็นพระราชวังที่มีความสวยงามตระการ สร้างด้วยหินอ่อนโดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมจากตะวันตก เช่น บารอค รอคโคโค นีโอคลาสสิก ผนวกเข้ากับวัฒนธรรมออสโตแบบดั้งเดิมทำให้เกิดรูปแบบศิลปะแนวใหม่ที่มีความโดดเด่น ใครที่กำลังวางแผนมาเที่ยวที่อิสตันบูล เราขอแนะนำให้ไปเข้าชมความสวยงามของพระราชวังแห่งนี้ด้วยตัวเองสักครั้ง
พระราชวังโดลมาบาห์เชสร้างขึ้นโดยสุลต่าน อับดุลเมซิดที่ 1 แทนที่พระราชวัง Beşiktaş Shore Palace ระหว่างปี ค.ศ. 1843-1856 และเริ่มใช้เป็นที่ประทับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1856 มีสุลต่านประทับที่พระราชวังแห่งนี้ทั้งหมด 6 พระองค์ จนถึงกาหลิบองค์สุดท้ายในปี ค.ศ. 1924
หลังการเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นสาธารณรัฐ ประธานาธิบดีคนแรกของตุรกี มุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก ได้พำนักชั่วคราวอยู่ที่พระราชวังเป็นระยะเวลา 4 ปี ระหว่างปี ค.ศ. 1927-1938 เขาได้ใช้พระราชวังนี้เป็นที่ทำงานและได้เสียชีวิตลงที่พระราชวังแห่งนี้ ก่อนที่พระราชวังจะถูกใช้เป็นที่พำนักของประธานาธิบดีอิสเมห์ อินโนเนอ จนถึงปี ค.ศ. 1949 ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมในฐานะพิพิธภัณฑ์พระราชวัง
การตกแต่งภายในยังคงเป็นแบบดั้งเดิมในปี ค.ศ. 1948 มีความหรูหราอลังการ ประดับตกแต่งผนังและพื้นด้วยพรมเฮเรเค ‘Hereke’ แชนเดอร์เลียทีทำจากคริสตัลบาคาร่าและโบฮีเมีย พอร์ชเลนจาก Sevres และ Yildiz นั้นยังไม่รวมของขวัญจากผู้นำประเทศต่าง ๆ รวมไปถึงภาพวาดของศิลปินชาวตะวันตกที่สร้างความโอฬารให้กับพระราชวังแห่งนี้ คุณพระ! พิมพ์ไปก็ยังไม่สามารถอธิบายความหรูหราได้หมด เอาเป็นว่าที่นี่สงวนงบประมาณในการสร้างกว่า 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่ากับทองคำ 35 ตันเลยทีเดียว
พระราชวังโดลมาบาห์เชประกอบไปด้วยอาคารสองชั้น มีห้องใต้หลังคาและห้องใต้ดิน ด้านในพระราชวังแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนของการบริหารงานประเทศ ส่วนฮาเร็มซึ่งเป็นที่พักอาศัยของสุลต่านและครอบครัว รวมไปถึงห้องโถงขนาดใหญ่ที่ใช้จัดงานพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ พระราชวังมีห้องรวมทั้งหมด 285 ห้อง 44 ห้องโถง 68 ห้องสุขา และ 6 ห้องอาบน้ำ มีพื้นที่รวมทั้งหมด 14,595 เมตร นับว่าเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในประเทศตุรกี
ภายในพระราชวังโดลมาบาห์เช ยังมีพิพิธภัณฑ์นาฬิกาและพิพิธภัณฑ์ภาพวาด สามารถซื้อตั๋วแบบ Combined Ticket ได้ที่เคาน์เตอร์ประตูทางเข้า การเข้าชมพระราชวังต้องใช้ถุงพลาสติกที่จัดไว้ให้เพื่อสวมรอบรองเท้าก่อน มีโบว์ชัวร์ประวัติความเป็นมาของที่นี่สามารถหยิบได้ฟรี มีภาษาไทยด้วยค่ะ ใครที่อยากได้ออดิโอเสียงขนาดเล็กสามารถขอได้ที่เคาน์เตอร์ทางเข้า ต้องใช้พาสปอร์ตมัดจำ (ขอรับคืนได้หลังชมเสร็จ) ที่สำคัญต้องเดินตามเส้นทางที่จัดไว้ ห้ามจับสิ่งของภายในพระราชวังและห้ามถ่ายภาพ ห้องที่เข้าชมแล้วหยุดมองอยู่นานเพราะสวยมาก คือ บันไดคริสตัล ห้องโถงใหญ่ ห้องการทูต ห้องสีน้ำเงิน (ห้องสุลต่าน) ห้องสีชมพู (ห้องประชุมของมเหสีและสนม) และห้องอาบน้ำของสุลต่านที่สามารถมองเห็นวิวทะเลมาร์มารา
เวลาที่แนะนำในการเข้าพระราชวังโดลมาบาห์เช คือ ระหว่างเวลา 09:00-11:00 น. หรือหลัง 14:00 น. เผื่อเวลาไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง ตอนแรกคิดว่าเป็นพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ พอมาเดินจริงแล้วใหญ่มาก เดินไปตอนแรกว่าว้าวแล้วเดินต่อไปเรื่อย ๆ คือว้าวไม่หยุด คุ้มค่าตั๋วเข้าชมจริง ๆ โดยส่วนตัวไปเข้าชมตอนบ่ายสอง จากนั้นก็ไปเที่ยวต่อที่หอคอย Galata Tower ได้ชมพระอาทิตย์ตกไปด้วย แนะนำมากค่ะ
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: พิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล (Istanbul Archaeological Museums)
พิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล (ภาษาตุรกี: Istanbul Arkeoloji Müzeleri) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองอิสตันบูล ตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังโทพคาปึเพียง 6 นาที ที่นี่ประกอบด้วยโครงสร้างหลักสามแห่ง คือ พิพิธภัณฑ์โบราณคดี พิพิธภัณฑ์งานโบราณตะวันออก และพิพิธภัณฑ์ตู้กระเบื้อง ความน่าสนใจของพิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล คือ เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกในตุรกี มีวัตถุโบราณและสิ่งประดิษฐ์ประมาณหนึ่งล้านชิ้นที่รวบรวมจากหลากหลายวัฒนธรรมและประเทศต่าง ๆ รวมไปถึงมีการจัดแสดงประวัติศาสตร์ตุรกี เปอร์เซีย กรีกและโรมันเป็นส่วนใหญ่ ใครที่ชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้รับรองได้เลยว่าถ้าเข้าชมแล้วจะกลับออกมาพร้อมความเต็มอิ่มเลยทีเดียว
การจัดแสดงที่โดดเด่นในพิพิธภัณฑ์ คือ โลงศพหิน Alexander Sarcophagus ในช่วงปลายศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตศักราชที่ค้นพบจากสุสาน Ayaa ในเมืองไซดอนประเทศเลบานอน ภาพกระเบื้องเคลือบจากประตูอิชตาร์แห่งบาบิโลน รูปปั้นตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปลายยุคโรมันจากเมืองแอฟโฟรดีเซียส (Aphrodisias) เอฟิซัส (Ephesus) และมิเลทัส (Miletus) รูปปั้นครึ่งตัวของอเล็กซานเดอร์มหาราชและซุส ส่วนกรามบนของศีรษะข้างหนึ่งของเสาพญานาคจากฮิปโปโดรม ไปจนถึงเหรียญตราประทับออสโตมัน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญเงินเก่าแก่จนถึงปัจจุบันรวมมากกว่า 800,000 เหรียญ
โดยส่วนตัวเข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้วชอบมากโดยเฉพาะโซนประวัติศาสตร์กรีกและโรมัน รวมไปถึงรูปปั้นและสิ่งของโบราณต่าง ๆ บางโซนเดินเข้าไปแล้วให้ความรู้สึกตื่นเต้นและลึกลับเหมือนเรากำลังผจญภัยอยู่ในหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ตามพิพิธภัณฑ์มีการจัดไฟที่ไม่ค่อยสว่างมากนัก เราไม่แน่ใจว่าถูกออกแบบมาให้เป็นแบบนั้น หรืออาจจะเป็นเพราะมีผลต่อวัตถุโบราณที่จัดแสดงไว้ นิทรรศการบางส่วนมีการปิดปรับปรุง อีกอย่างที่ดูแล้วอยากให้พัฒนาเพิ่มเติมก็คือคำอธิบายในแต่ละจุดที่อาจจะมีไม่มากนัก แต่ถ้าใครไม่ติดตรงนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะวัตถุโบราณที่ได้เห็นอาจจะสร้างความตื่นตาตื่นใจไปพอสมควรแล้ว ที่นี่ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กใช้เวลาเข้าชมประมาณ 1-1.5 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: หอคอยกาลาตา (Galata Tower)
หอคอยกาลาตา (ภาษาตุรกี: Galata Kulesi) เป็นหอคอยไบแซนไทน์ความสูง 67 เมตร ตั้งอยู่ที่เขตเบโยกลู (Beyoğlu) ของอิสตันบูลฝั่งยุโรป แต่เดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นหอสังเกตการณ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงกาลาตา ปัจจุบันหอคอยนี้ถูกใช้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการและพิพิธภัณฑ์หอคอยกาลาตาภายใต้ชื่อ ‘Galata Kulesi Museum’ ความโดดเด่นของที่นี่ไม่เพียงแค่เป็นแลนด์มาร์กที่โดดเด่นของเมืองเท่านั้น แต่เรายังสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของชายฝั่ง Golden Horn ทะเลมาร์มารา พิพิธภัณฑ์โคพทาปึ อาเกียโซเฟีย มัสยิดสีน้ำเงิน และสะพานกาลาตาในเวลาเดียวกัน ความงดงามของสถานที่เหล่านี้จากภาพมุมสูงเป็นเหตุผลที่ควรจะไปเยี่ยมชมหอคอยกาลาตาด้วยตัวเอง
หอคอยกาลาตาเป็นรูปทรงกระบอกมีทั้งหมดเก้าชั้น ตัวอาคารสร้างด้วยอิฐที่แข็งแรง สองชั้นบนสุดมีระเบียงโครงเหล็กประดับด้วยหน้าต่างโค้งทรงกลม ชั้นบนสุดมีระเบียงเปิดรอบสำหรับเดินชมวิวที่สวยงามของเมืองอิสตันบูล ด้านบนสุดเป็นหลังคาทรงกรวย ในตัวอาคารของหอคอยกาลาตายังมีการจัดแสดงสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่สะท้อนถึงช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของอิสตันบูล รวมไปถึงขั้นตอนและวิธีการสร้างหอคอยกาลาตาในอดีต ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์หอคอยกาลาตา
การเข้าชมหอคอยกาลาตาแนะนำให้ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่ 5 ก่อนจากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุดเพื่อชมวิวนอกระเบียง เวลาที่แนะนำเลยก็คือประมาณ 17:30 น. ไปรอก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน เพราะคิวรอต่อแถวซื้อตั๋วเข้าชมค่อนข้างยาว ถ้าใครที่บัตร Museum Pass Istanbul ก็ใช้เข้าชมได้เลย สะดวกมากแนะนำให้ซื้อติดตัวไว้
วิวที่ด้านบนหอคอยกาลาตาสวยมากค่ะ มองเห็นเมืองอิสตันบูลแบบรอบด้านเลย โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์โคพทาปึ อาเกียโซเฟีย มัสยิดสีน้ำเงิน ที่ตั้งอยู่แบบได้สัดส่วนพอดีกันเลย ถ้ามองไปที่สะพานกาลาตาจะเห็นคนเยอะเป็นพิเศษ ส่วนสะพานอีกฝั่งการจาจรทางบกยังคงหนาแน่นเหมือนเดิม เป็นภาพที่มองแล้วทำให้เห็นการใช้ชีวิตของชาวอิสตันบูลที่แตกต่างกันไปหลายด้าน จากที่เคยเห็นรูปภาพจากในอินเทอร์เนต พอมาเห็นด้วยตาตัวเองวันนี้คุ้มมาก ช่วงเวลาที่ทำละหมาดถ้าเรายืนอยู่บนหอคอยจะได้ยินเสียงเหล่านั้นสะท้อนไปทั่วเมือง โดยส่วนตัวใช้เวลาบนนี้นานหน่อยเพราะเห็นวิวแบบไม่มีอะไรมาบดบัง พอชมวิวเสร็จแล้วสามารถเดินลงบันไดวนมาชมนิทรรศการตามชั้นต่าง ๆ ได้
ในตอนกลางคืนหอคอยกาลาตายังมีการประดับด้วยไฟส่องสว่างมองเห็นจากระยะไกล ถ้ามาช่วงพลบค่ำจะได้ภาพที่สวยงามของหอคอยนี้ไปอีกแบบ ด้านหน้าหอคอยยังมีถนนคนเดินที่ชื่อ ‘Büyük Hendek’ มีร้านขายชาเต็มไปหมดเลย ตอนนั้นที่เดินไปเวลาประมาณเกือบจะสองทุ่มแล้วยังมีคนนั่งดื่มชาอยู่เต็มทุกร้านเลย ของเขาขึ้นชื่อที่นี่จริง ๆ ถ้าใครมาแล้วลองไปลิ้มรสชาดั้งเดิมของที่นี่นะคะ โดยส่วนตัวลองมารสชาติโอเคเลยค่ะ แก้วชาก็จะน่ารักจับสะดวก ถ้าใครชอบรสหวานก็เติมน้ำตาลเพิ่มได้
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: ย่านทักซิมสแควร์ (Taksim Square)
ทักซิมสแควร์ (ภาษาตุรกี: Taksim Meydanı) เป็นย่านท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองอิสตันบูล ตั้งอยู่ใจกลางเมืองในเขตเบโยกลูฝั่งยุโรป ที่นี่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรม และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนา เช่น อนุสาวรีย์สาธารณรัฐ มัสยิดทักซิมสแควร์ ศูนย์วัฒนธรรมอตาเติร์ก ฯลฯ ถ้ามาเยี่ยมชมที่นี่ไม่เพียงแต่จะได้สัมผัสบรรยากาศที่คึกคักของสถานที่เหล่านั้น แต่ยังสามารถเดินเล่นไปบนถนนชอปปิงสายหลักที่มีชื่อเสียง ‘İstiklal Caddesi’ ยาวกว่า 1.4 กิโลเมตร และยังสามารถรอถ่ายภาพหรือนั่งรอรางสายประวัติศาสตร์ Taksim-Tünel (T2) ที่วิ่งผ่านถนนชอปปิงสายนี้ไปยังอุโมงค์รถไฟใต้ดินสาย F2 (Tünel) ได้อีกด้วย
สำหรับใครที่มาย่านทักซิมสแควร์ด้วยรถไฟใต้ดิน M2 หรือรถกระเช้าไฟฟ้า ‘Funicular’ F1 จะมาจอดที่สถานีทักซิมพอดี พอเดินขึ้นมาจากสถานีจะเจอกับทักซิมสแควร์เลย บนนี้รายล้อมด้วยสถานที่สำคัญ คือ อนุสาวรีย์สาธารณรัฐ มัสยิดทักซิมสแควร์ ศูนย์วัฒนธรรมอตาเติร์ก พอเดินไปอีกนิดจะเจอกับทางเข้าถนนสายชอปปิงชื่อดัง ด้านหน้ามีร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรมหลายแห่ง รวมไปถึงร้านขายเคบับที่มีคนซื้อเยอะมาก เราลองซื้อทานมาปรากฏว่าอร่อยมาก ได้มาเยอะด้วยกินจนจุกไปเลยทีเดียว จากนั้นก็เดินเที่ยวต่อเข้าไปในถนนชอปปิง มีร้านค้าเต็มทั้งสองฝั่งไปจนสุดถนนสายนี้ แต่ละตรอกซอกซอยก็จะมีร้านอาหาร ผับต่าง ๆ คนเดินบนถนนก็เยอะมากเช่นกัน ยิ่งไปตอนช่วงเย็น ๆ คนจะเยอะเป็นพิเศษ ถ้าใครชอบบรรยากาศแบบนี้แนะนำให้หาที่พักในย่านนี้
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: นั่งรถราง Taksim-Tünel (T2)
ใครหลายคนอาจจะเห็นรถรางสาย T2 ผ่านตามาบ้างแล้วจากอินเทอร์เนต ถ้ามาเที่ยวย่านทักซิมสแควร์อยากลองให้นั่งกัน ใช้เวลาไม่นานประมาณ 5 นาที รถรางสาย T2 มีจุดจอดทั้งหมด 5 จุด คือ Taksim, Odakule, Galatasaray, Ağa Cami และ Tünel (Şişhane) ใครสะดวกขึ้นตรงไหนก็สามารถยืนรอตามจุดต่าง ๆ เหล่านั้นได้เลย (แนะนำให้ขึ้นจากสถานีต้นทางที่ด้านหน้าจัตุรัสทักซิมสแควร์ใกล้กับสถานีรถไฟ M2 จะได้นั่งยาว ๆ)
รถราง T2 จะแล่นจากถนนชอปปิงมาจอดที่ตรงนี้ประมาณ 5-10 นาที มีตั๋วแบบเที่ยวเดียวซื้อได้กับพนักงานขายตั๋วบนรถราง หรือใช้บัตรสมาร์ดการ์ด Istanbulkaart รถรางออกวิ่งทุกวันจากสถานีทักซิม (Taksim) ตั้งแต่เวลา 07:00-21:30 น. และจากสถานีอุโมงค์รถไฟใต้ดินสาย F2 (Tünel) ตั้งแต่เวลา 07:20-22:00 น. ใช้เวลาวิ่งต่อเที่ยวประมาณ 5 นาที ความถี่แต่ละรอบประมาณ 15-20 นาที
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: ปากน้ำของช่องแคบบอสฟอรัส (Golden Horn)
Golden Horn (ภาษาตุรกี: Altın Boynuz, Haliç) เป็นปากน้ำธรรมชาติของช่องแคบบอสฟอรัสที่มีความสวยงาม แบ่งเมืองอิสตันบูลออกเป็นสองฝั่ง คือ ฝั่งเอเชียและฝั่งยุโรป โกลเด้นฮอร์นมีสะพานทอดข้ามทั้งหมด 5 แห่ง สะพานที่มีชื่อเสียงคือสะพานกาลาตา สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1994 ตั้งอยู่ระหว่างเขต karaköy และ Eminönü รวมไปถึงสะพาน Golden Horn Metro Bridge เส้นทางขยายรถไฟใต้ดินสาย M2 และสะพาน Atatürk Bridge ซึ่งเป็นสะพานทางหลวงการจราจรทางบกและทางเท้า
จุดเด่นของโกลเด้นฮอร์นนอกจากจะเป็นท่าเรือหลักของเมืองแล้วยังมีทัศนียภาพที่งดงามของเมืองรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์โคพทาปึ อาเกียโซเฟีย มัสยิดสีน้ำเงิน สะพานกาลาตาที่มีฉากหลังเป็นมัสยิดใหม่ ช่องแคบบอสฟอรัส ไปจนถึงพื้นที่ฝั่งเอเชียที่มีหอโทรคมนาคม ‘Çamlıca Tower’ ความสูงรวมกว่า 369 เมตรตั้งเด่นสง่าจากระยะไกล ในช่วงพระอาทิตย์ตกดินพื้นที่โกลเด้นฮอร์นจะสวยงามเป็นพิเศษเพราะอาบด้วยแสงสีทองจากพระอาทิตย์สะท้อนกับเงาน้ำ ถ้าอยากเห็นวิวของสถานที่ทั้งหมดนี้ในเวลาเดียวกันสามารถชมได้จากหอคอยกาลาตา
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: สะพานกาลาตา (Galata Bridge)
สะพานกาลาตา (ภาษาตุรกี: Galata Köprüsü) เป็นสะพานที่ทอดยาวข้ามโกลเด้นฮอร์น สร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1994 มีความยาวกว่า 490 เมตร กว้าง 42 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างย่านสมัยใหม่ที่เรียกว่า Karaköy และเขต Eminönü พื้นที่โดยรอบสะพานมีบรรยากาศที่คึกคักทีเดียวจากการจราจรของรถและทางเท้าบนสะพาน ที่นี่เรายังสามารถมองเห็นคนใช้เบ็ดตกปลาอยู่เกือบทุกช่วงเวลา ที่ใต้สะพานกาลาตาฝั่ง Eminönü มีร้านอาหารจำนวนมาก ถ้าไปเดินแถวนี้เลือกไม่ถูกเลยทีเดียวว่าจะเดินเข้าร้านไหนดี
ใกล้กับสะพานกาลาตายังเป็นที่ตั้งของท่าเรือจำนวนมาก มีบริการเรือล่องช่องแคบบอสฟอรัส และเรือโดยสารไปยังฝั่งเอเชีย (Kadıköy Çayırbaşı – Karaköy – Eminönü) ใครที่สนใจแนะนำให้ขึ้นเรือจากฝั่งนี้เพราะเป็นเรือที่คนท้องถิ่นโดยสารกันประจำ ค่าเรืออาจจะถูกกว่า แต่ถ้าขึ้นฝั่ง Karaköy จะเป็นนักท่องเที่ยวโดยส่วนใหญ่ (อาจจะมีเรือเยอะกว่า)
สถานีรถรางที่ตั้งอยู่ใกล้สะพานกาลาตาคือสถานี Eminönü มาลงที่ตรงนี้แล้วสามารถเดินเที่ยวได้ยาวเลย ถ้าใครเลือกพักที่ย่านเมืองเก่าสามารถเดินมาที่นี่ได้ในเวลา 10 นาที ช่วงพลบค่ำที่นี่ยังมีบรรยากาศที่สวยงามไปอีกแบบโดยเฉพาะแสงไฟจากมัสยิดใหม่ที่เป็นฉากหลังของสะพานกาลาตา เวลานั้นก็ยังมีคนตกปลาจำนวนมากไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงฤดูหนาว มาเดินแล้วทำให้เห็นวิธีชีวิตของชาวเจอตุรกีในมุมที่แตกต่างจริง ๆ
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: มัสยิดซิวเลย์มานีเย (Suleymaniye Mosque)
มัสยิดซิวเลย์มานีเย (ภาษาตุรกี: Süleymaniye Camii) เป็นมัสยิดที่มีความสวยงามไม่แพ้มัสยิดสีน้ำเงิน ใหญ่เป็นอันดับสองในเมืองอิสตันบูล สร้างขึ้นเพื่อเป็นมัสยิดหลวงของสุลต่านสุลัยมานแห่งจักรวรรดิออตโตมัน ก่อสร้างระหว่างปี ค.ศ. 1550-1557 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม สะท้อนความเป็นต้นแบบของมัสยิดมุสลิม มัสยิดซิวเลย์มานีเยตั้งอยู่บนเนินเขาที่สาม สามารถมองเห็นโกลเด้นฮอร์นได้จากระยะไกล เราสามารถมาที่นี่โดยนั่งรถรางมาลงที่สถานี Eminönü จากนั้นเดินขึ้นเขาต่ออีกประมาณ 16 นาที หรือลงที่สถานีรถไฟใต้ดินสาย M2 จากสถานี Vezneciler จากนั้นเดินอีก 9 นาที จะใกล้กว่า
มัสยิดซิวเลย์มานีเยเป็นแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีโดมสูง 4 แห่งและโดมหลัก ด้านในมีศาลาลานน้ำพุตรงกลางเหมือนกับมัสยิดทั่วไปที่ใช้ชำระล้างก่อนทำละหมาด ลานภายในมีเสาหินอ่อนแกรนิต ก่อนจะเข้าชมด้านในของมัสยิดซิวเลย์มานีเยต้องถอดรองเท้าก่อน (มีถุงพลาสติกให้ใส่รองเท้า) เมื่อเข้าไปด้านในจะพบกับลานกว้างปูด้วยพรมสีสดรับกับไฟระย้า ผนังยังประดับด้วยกระเบื้องและหน้าต่างกระจกสี โดยส่วนตัวเป็นมัสยิดที่สวยงามมากทีเดียว จำนวนนักท่องเที่ยวที่นี่อาจจะไม่หนาแน่นเหมือนกับมัสยิดบลู แต่เรื่องความสวยงามใกล้เคียงกันทีเดียว ถ้าใครไปที่นั่นแล้วแนะนำให้มาเยี่ยมชมที่นี่อีกหนึ่งแห่ง
นั่งเรือไปเที่ยวอิสตันบูลฝั่งเอเชีย (Uskudar – Kadıköy)
อิสตันบูลฝั่งเอเชีย ‘อึสคือดาร์’ (Uskudar) เป็นย่านที่มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ที่นี่มีประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 500,000 คน โดยเฉพาะฝั่งทะเลมาร์มาราเป็นย่านที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของอิสตันบูล ค่าใช้จ่ายฝั่งเอเชียค่อนข้างถูกกว่าฝั่งยุโรป การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะก็สะดวกไม่แพ้กัน นั้นทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะพักอาศัยในย่านนี้ และถ้านั่งเรือข้ามฟากไปเที่ยวที่นี่จะได้สัมผัสถึงชีวิตจริงของอิสตันบูลที่มีเสน่ห์แตกต่างจากฝั่งยุโรป
นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือข้ามฟากสาย Kadıköy Çayırbaşı – Karaköy – Eminönü จากฝั่งยุโรปที่ท่าเรือ Eminönü (Turyol) (พิกัดท่าเรือ) ไปยังฝั่งเอเชียโดยใช้บัตรสมาร์ดการ์ด Istanbul ถ้าไม่สะดวกขึ้นจากท่าเรือ Eminönü สามารถขึ้นจากท่าเรือ Karaköy ก็ได้ เพราะเรือจะรับผู้โดยสารจากฝั่งนี้ก่อนแล้วค่อยไปจอดรับผู้โดยสารที่ฝั่ง Karaköy จากนั้นก็นั่งยาวเลย เรือวิ่งทุกวัน วันธรรมดาถึงวันเสาร์เวลา 06:55-21:20 น. และอาทิตย์เวลา 08:10-21:20 น.
เรือที่ใช้เป็นเรือโดยสารดำเนินการโดยบริษัท Turyol มีที่นั่งกว้างขวางและสะอาด แนะนำให้นั่งชั้นบนสุดมองเห็นวิวชัดเจน โดยส่วนตัวโดยสารไปกับเรือนี้พบว่าผู้โดยสารเป็นคนท้องถิ่นโดยส่วนใหญ่ ใช้เวลาโดยสารประมาณ 30 เรือจะมาจอดที่ท่าเรือ Kadıköy (พิกัดท่าเรือ) ใกล้กับท่าเรือมีสถานีจอดรถบัสขนาดใหญ่
หลังจากนี้สามารถเลือกเที่ยวสถานที่ตามต่าง ๆ ได้ตามสะดวกเลย เช่น มัสยิดคัมลิกา (Çamlıca Mosque) พระราชวังพระราชวังเบเลอร์เบยี (Beylerbeyi Palace) ตลาด Kadıköy นอกจากนี้ยังสามารถลิ้มรสอาหารทะเลในราคาที่ถูกเกือบครึ่งต่อครึ่งได้ที่นี่อีกด้วย ร้านที่แนะนำ คือ Balıkçı Lokantası เป็นร้านเล็ก ๆ เดินมาจากท่าเรือประมาณ 10 นาที เดินเข้ามาข้างในสั่งหาอาหารรอแป๊บหนึ่งแล้วได้เลย อาหารอร่อยทุกเมนูที่สำคัญราคาไม่แพง กินกันจุก ๆ ไปเลย ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นคนท้องถิ่น
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: มัสยิดคัมลิกา (Çamlıca Mosque)
มัสยิดคัมลิกา (ภาษาตุรกี: Büyük Çamlıca Camii) เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอิสตันบูล ตั้งอยู่บนเนินเขา Çamlıca ฝั่งเอเชีย ที่นี่สามารถมองเห็นได้ระยะไกลจากฝั่งยุโรปไม่แพ้หอโทรคมนาคม ‘Çamlıca Tower’ มัสยิดคัมลิกามีความสวยงามเกินความคาดหมายกับเรามากทั้งในเรื่องของสถาปัตยกรรมภายในและจำนวนผู้คนที่สามารถได้ถึง 63,000 คน มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้องโถงสำหรับทำละหมาด ไปจนถึงหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์อิสลามและห้องสมุด ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมถึงวิวด้านนอกที่สามารถมองเห็นฝั่งยุโรปและบ้านเรือนใกล้เคียง
มัสยิดคัมลิกามีการตกแต่งด้วยพรม เราต้องถอดรองเท้าในการเข้าชมโดยใส่ในถุงพลาสติกถือติดตัวไปด้วยได้หรือจะวางไว้ที่ตู้ใส่รองเท้าก็ได้ ผู้หญิงต้องสวมผ้าคลุมหัวเช่นเดียวกับการเข้าชมมัสยิดอื่น ๆ ด้านในโดมหลักประดับด้วยโคมไฟระย้ารวมถึงหน้าต่างกระจกสี ที่นี่มีพื้นที่แยกสำหรับผู้หญิงในการทำละหมาด ถ้าเดินขึ้นบันไดไปด้านบนสามารถมองเห็นพื้นที่ด้านในอย่างชัดเจน พอเดินออกมาลานด้านนอกมองเห็นวิวฝั่งยุโรปรวมไปถึงบ้านเรือนฝั่งเอเชีย
ส่วนตัวไปที่นี่แล้วชอบประทับมาก ให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวแต่เป็นมัสยิดทางศาสนาจริง ๆ สถาปัตยกรรมด้านในมีความคล้ายคลึงกับมัสยิดบลู ถ้าไม่ติดว่าที่นี่ตั้งอยู่ไกลไปหน่อย อาจจะกลายมาเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมไม่แพ้มัสยิดบลูในย่านเมืองเก่า
ถ้าใครวางแผนจะมาที่นี่ควรมีเวลาอย่างน้อยครึ่งวัน เพราะต้องใช้เวลานั่งเรือข้ามฟากจากฝั่งยุโรปมาที่ฝั่งเอเชียท่าเรือ Kadıköy ประมาณ 30 นาที จากนั้นก็นั่งรถบัสสาย 14F อีกประมาณครึ่งชั่วโมง รถจะมาจอดที่ป้าย Büyük Çamlıca Camii หน้าทางเข้ามัสยิดเลย อาจจะไกลนิดหนึ่งแต่ก็คุ้มแล้วตั้งแต่ตอนที่ได้เห็นทัศนียภาพที่ชัดเจนของเมืองสองฝั่งบนเรือ แต่ถ้าใครมีเวลาไม่พอไม่ได้มาที่นี่ก็ยังถือว่าไม่ได้พลาดอะไรไป เอาเป็นว่าถ้าแวะมาเที่ยวฝั่งเอเชียแล้วแนะนำให้มาที่นี่ด้วยจะครบแผนมากค่ะ
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: ตลาดแกรนด์บาซาร์ (Grand Bazaar)
ตลาดแกรนด์บาซาร์ (ภาษาตุรกี: Kapalıçarşı) เป็นตลาดในร่มที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ในเขต Fatih ย่านเมืองเก่าของอิสตันบูล ห่างจากมัสยิดบลูเพียง 12 นาที สามารถเดินไปที่นั่นได้ หรือนั่งไปลงที่รถรางป้าย Beyazıt-Kapalıçarşı จากนั้นเดินอีก 1 นาทีก็เจอประตูทางเข้า ตลาดแกรนด์บาซาร์มีผู้เยี่ยมชมระหว่าง 250,000 ถึง 400,000 คนต่อวันเลยทีเดียว ความเก่าแก่และความสวยงามสถาปัตยกรรมด้านในเป็นเหตุผลหลักที่ได้เปรียบของที่นี่เมื่อเทียบกับห้างสรรพสินค้าสมัยใหม่ในอิสตันบูล การค้าขายด้านในตลาดก็คึกคักพอสมควร ถ้าอยากเห็นบรรยากาศเหล่านี้ต้องลองไปเดินเที่ยวด้วยตัวเอง
ตลาดแกรนด์บาซาร์มีประตูทางเข้า 21 ประตู ประตูทางเข้าประวัติศาสตร์ที่ 1 ตั้งอยู่ใกล้กับมัสยิด Nuruosmaniye Mosque ด้านบนประตูสามารถมองเห็นตราอาร์มของออตโตมัน พอเดินเข้ามาด้านในจะพบกับร้านค้ามากมายตั้งอยู่สองฝั่ง ถ้ารวมร้านค้าทั้งภายในและภายนอกมีมากถึง 4,000 ร้านค้า แบ่งออกเป็นหลายโซนตามประเภทสินค้าที่จำหน่ายในนี้ เช่น โซนสีเหลือง-ทอง โซนสีเขียว-พรม โซนสีฟ้า-ผ้ายีนส์ โซนสีส้ม-ทองแดง โซนสีม่วง-ผ้า โซนสีชมพู-ของที่ระลึก โซนสีอ่อนเข้ม-เครื่องหนัง โซนสีส้มเข้ม-ของเก่า และโซนสีเหลือง-เครื่องเงิน
ถ้าเดินผ่านประตูทางเข้าที่ 1 จะเจอกับขนมตุรกีเป็นส่วนใหญ่ คนขายก็จะเชิญชวนให้ชิมให้ซื้อ ถ้าเราไม่สนใจก็บอกขอบคุณและเดินผ่านไปได้ ราคาสินค้าที่นี่ค่อนข้างแพง อาจจะเป็นเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้วย ถ้าเทียบกับตลาดเครื่องเทศมีสินค้าคล้ายกันและราคาถูกกว่า ถ้ามาที่นี่แล้วไปเดินเล่นต่อที่ตลาดเครื่องเทศก็ได้เพราะอยู่ใกล้กันประมาณ 7 นาที
เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง: ตลาดเครื่องเทศสไปซ์มาร์เก็ต (Spice Market)
ตลาดเครื่องเทศสไปซ์มาร์เก็ต (ภาษาตุรกี: Mısır Çarşısı) เป็นตลาดขายเครื่องเทศที่มีบรรยากาศคึกคักไม่แพ้ตลาดแกรนด์บาซาร์ ตั้งอยู่ในย่าน Eminönü ใกล้กับมัสยิด New Mosque เป็นศูนย์การค้าในร่มที่มีชื่อเสียงที่สุดรองจากแกรนด์บาซาร์ ด้านในตลาดเป็นที่ตั้งของร้านค้ามากถึง 90 แห่ง ขายเครื่องเทศหลากหลาย และสินค้าที่เน้นไปทางขนม อาหาร ชากาแฟ ผลไม้อบแห้ง และถั่วหลายชนิด ราคาแบ่งขายตามกิโลชั่งน้ำหนัก ถ้าซื้อแล้วมีถุงแบบดูดลมออกให้ด้วยประหยัดพื้นที่จัดเก็บลงกระเป๋าเดินทาง ราคาค่อนข้างโอเคทีเดียวถ้าเทียบกับตลาดแกรนด์บาซาร์
ส่วนพื้นที่ด้านนอกมีสินค้าลดราคาอีกหลายอย่าง ทางฝั่งตะวันตกของตลาดจะเป็นพื้นที่ของแผงขายอาหารสด มาเดินที่นี่แล้วหอมกลิ่นเครื่องเทศแบบสุด ๆ ไปเลย ส่วนตัวให้บรรยากาศคล้ายกับตลาดนัดจตุจักรและไชน่าทาวน์ มีขนมให้เลือกซื้อหลายอย่าง พอเดินเสร็จก็ไปเดินเล่นที่สะพานกาลาตาและย่านท่าเรือได้อีก
ย่านที่พักน่าสนใจในอิสตันบูล
ที่พักในอิสตันบูลมีให้เลือกหลายย่านตามไลฟ์สไตล์ แต่ละย่านยังมีเสน่ห์และที่เที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ดังรายการ
ค้นหาและเปรียบเทียบที่พักในอิสตันบูล
การเดินทางจากสนามบินอิสตันบูลเข้าเมือง
การเดินทางเข้าเมืองอิสตันบูลมีความสะดวกสบาย นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางจากสนามบิน New Istanbul Airport (IST) หรือจากสนามบิน Istanbul Sabiha (SAW) เข้าเมืองโดยใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ครอบคลุมถึงรถรับส่งจากสนามบิน รถโดยสารประจำทาง (IETT) รถไฟใต้ดิน รวมไปถึงรถแท็กซี่ รถรับส่งส่วนบุคคล และรถเช่า
จากสนามบิน New Istanbul Airport (IST)
จากสนามบิน IST ไปย่านทักซิมสแควร์ สามารถนั่งรถไฟใต้ดินสายสีม่วง M11 ไปลงที่สถานี Kağıthane จากนั้นเปลี่ยนไปนั่งรถไฟใต้ดินสายสีชมพู M7 ไปลงที่สถานี Mecidiyeköy และต่อรถไฟใต้ดินสายสีเขียว M2 ไปลงที่สถานี Taksim การเดินทางใช้เวลารวมประมาณ 45 นาที
จากสนามบิน IST ไปย่านสุลต่านอาเหม็ด สามารถนั่งรถไฟใต้ดินสายสีม่วง M11 ไปลงที่สถานี Kağıthane จากนั้นเปลี่ยนไปนั่งรถไฟใต้ดินสายสีชมพู M7 ไปลงที่สถานี Mecidiyeköy และต่อรถไฟใต้ดินสายสีเขียว M2 ไปลงที่สถานี Taksim จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้น Funciular F1 ไปลงที่สถานี Kabataş จากนั้นนั่งรถราง T1 ไปลงที่สถานี Sultanahmed (Blue Mosque) การเดินทางใช้เวลารวมประมาณ 1 ชั่วโมง
- เส้นทาง IST – Taksim (HVIST-16) ใช้เวลาประมาณ 95 นาที ค่าเดินทาง 170 TRY
- เส้นทาง IST – Kadıköy (HVIST-14) ใช้เวลา 1.20 ชม. ค่าเดินทาง 186 TRY
- เส้นทาง IST – SAW (HVIST-13) ใช้เวลาประมาณ 1.10 ชม. ค่าเดินทาง 186 TRY
- เส้นทาง IST – Sultanahmet (HVIST-12) ลงที่ป้าย Grand Bazaar / Beyazıt หรือ Aksaray ใช้เวลาประมาณ 90 นาที ค่าเดินทาง 170 TRY จากนั้นนั่งรถราง T1 ต่อไปที่ป้าย Sultanahmet ประมาณ 5 นาที หรือเดิน 15-20 นาที
จากสนามบิน Istanbul Sabiha (SAW)
สายการบินไปอิสตันบูล
การเดินทางมาเที่ยวอิสตันบูลสะดวกมาก มีเที่ยวบินของหลายสายการบินให้บริการจากประเทศไทย เช่น Turkish Airlines, Emirates, Qatar, Etihad Airways, Oman Air, Air France, Gulf Air, Kuwait Airways, Lufthansa และ Egyptair สายการบินเหล่านี้อาจต้องต่อเครื่องก่อนจากนั้นค่อยเดินทางต่อไปยังอิสตันบูล ใช้เวลาประมาณ 10-13 ชั่วโมง แต่ถ้าอยากบินตรงแนะนำสายการบิน Turkish Airlines ใช้เวลาประมาณ 9-10 ชั่วโมง ไปลงที่สนามบิน IST Istanbul ช่วงเวลาที่ตั๋วมีราคาถูกคือเดือนพฤษภาคม ราคาตั๋วเฉลี่ยประมาณ 354 ยูโร
ส่วนตัวเดินทางมาจากอัมสเตอร์ดัมด้วยสายการบิน Pegasus Airlines เป็นสายการบินต้นทุนต่ำของตุรกี ได้ตั๋วช่วงเดือนกุมภาพันธ์ไปกลับในราคา 130 ยูโร (ประมาณ 4,700 บาท) ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 25 นาที เครื่องบินจะไปจอดที่สนามบิน SAW Istanbul Sabiha ที่นั่นสามารถนั่งรถรับส่งเข้าเมืองหรือแท็กซี่ได้ภายในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับการจราจร) ถ้าเดินทางด้วยสายการบินอื่น ๆ เช่น KLM มีเที่ยวบินตรงไปลงที่สนามบิน IST Istanbul ราคาตั๋วเฉลี่ยถูกสุดประมาณ 87 ยูโร
สายการบิน Pegasus Airlines ที่นั่งมาถือว่าโอเคเลย โหลดกระเป๋าได้ฟรี 10-32 กิโล ถือขึ้นเครื่องได้หนึ่งใบไม่เกิน 8 กิโล ที่นั่งกว้างนั่งแล้วหัวเข่าไม่ติดกับที่นั่งด้านหน้า อาหารบนเครื่องมีราคาถูก ซื้อแซนด์วิชกับน้ำดื่มตกประมาณ 4 ยูโร ถ้าใครที่หาตั๋วราคาถูกจากสายการ Turkish Airlines ไม่ได้ สายการบิน Pegasus Airlines เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยประหยัดค่าเดินทาง
ระบบขนส่งสาธารณะในอิสตันบูล
ต้องบอกเลยว่าระบบขนส่งสาธารณะในอิสตันบูลมีความกว้างขวางและได้รับการพัฒนามาอย่างดีเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารทั้งฝั่งยุโรปและเอเชีย ครอบคลุมถึงรถไฟใต้ดิน รถราง รถไฟเคเบิ้ล รถบัส เมโทรบัส รถไฟมาร์มาเรย์ และเรือข้ามฟาก นักท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้บริการได้ตามความสะดวก
รถไฟใต้ดินสาย M2 ได้รับความนิยมมากที่สุด วิ่งระหว่าง Yenikapı และ Hacıosman ผ่านสถานี Haliç, Taksim, Osmanbey, Levent และ Marmaray (Yenikapı) จากสถานีนี้สามารถต่อรถไฟมาร์มาเรย์ไปยังฝั่งเอเชียได้อย่างรวดเร็ว
รถรายสาย T1 วิ่งผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง เช่น Sultanahmet Station: ฮาเกียโซเฟีย มัสยิดสุลต่านอาห์เมต จัตุรัสสุลต่านอาห์เมต Gülhane Station: พระราชวังโทพกาปึ พิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล Beyazıt Station: ตลาดแกรนด์บาซาร์ Eminönü Station: ตลาดเครื่องเทศสไปซ์มาร์เก็ต มัสยิดซิวเลย์มานีเย สะพานกาลาตา ท่าเรือล่องเรือชมช่องแคบบอสฟอรัส ท่าเรือข้ามฟากไปอิสตันบูลฝั่งเอเชีย Karaköy Station: หอคอยกาลาตา และ Kabataş Station: พระราชวังโดลมาบาห์เช
บัตรเดินทาง Istanbulkaart
บัตรอิสตันบูลการ์ด (Istanbulkart) เป็นบัตรสมาร์ทการ์ดใช้สำหรับการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในอิสตันบลู ไม่ว่าจะเป็นรถไฟใต้ดิน รถรางวิ่งบนดิน รถไฟเคเบิ้ล รถโดยสาร และเรือข้ามฟาก ช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาซื้อตั๋วโดยสารเที่ยวเดียวบ่อย ๆ บัตรนี้ยังสามารถใช้จ่ายเงินเข้าห้องน้ำสาธารณะได้อีกด้วย สะดวกแบบนี้ต้องหาซื้อติดตัวไว้เมื่อไปเที่ยวอิสตันบูล
บัตรอิสตันบูลการ์ด (Istanbulkart) มี 4 ประเภทแบ่งตามผู้ใช้งาน ประเภทที่เราต้องซื้อ คือ Anonymous Card ส่วนประเภทอื่นเป็นบัตรแบบพิเศษสำหรับพลเมืองตุรกี มีค่าธรรมเนียม 70 TRY สามารถซื้อได้ที่ตู้อิเล็กทรอนิกส์สีเหลือง/สีน้ำเงินชื่อว่า Biletmatik / Tickets Buy/Top-up ที่มีสัญลักษณ์ ‘Istanbulkart’ ตู้เหล่านั้นมีมากถึง 2,000 จุดในอิสตันบูล นอกจากนี้ยังสามารถซื้อบัตรอิสตันบูลการ์ดได้ตามร้านค้าทั่วไป ถ้ามาถึงสนามบินแนะนำให้ซื้อบัตรอิสตันบูลไว้เลยเพราะต้องนำไปใช้เดินทางกับรถรับส่งที่สนามบินและระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ
- สนามบินอิสตันบูล อาตาตูร์ก New Istanbul (IST) มีตู้อิเล็กทรอนิกส์สีเหลือง/น้ำเงินจำนวน 24 บริเวณชั้นล่างสุด หรือจากเคาน์เตอร์รถรับส่งสนามบิน (Havaist) ที่ตั้งอยู่บริเวณทางออก
- ส่วนสนามบินซาบีฮา เกิคเช่น Sabiha Gokcen Airport (SAW) มีตู้คีออสตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนจากทางออกของอาคารผู้โดยสารขาเข้า
บัตรอิสตันบูลการ์ดเมื่อซื้อแล้วจะมาแบบบัตรเปล่าต้องเติมเงินเข้าไปก่อนถึงจะใช้เดินทางได้ อีกอย่างเงินที่เราเติมลงไปในบัตรอิสตันบูลการ์ดถ้าเหลือจากการเดินทางแล้วจะไม่ได้คืน เพราะฉะนั้นแนะนำให้คำนวณค่าโดยสารคร่าว ๆ ก่อนเติม ค่าเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะแบบเที่ยวเดียวปกติ คือ 17.70 TRY วิธีการคำนวณง่าย ๆ ให้เอาจำนวนเที่ยวที่เราต้องการเดินทางคูณด้วยค่าโดยสารเที่ยวเดียว เช่น 10 เที่ยว คูณด้วย 17.70 = 177 TRY ก็เติมเงินในบัตร 200 TRY เพราะธนบัตรใบเล็กเริ่มที่ 5 TRY อีกอย่างก็คือไม่ต้องกังวลว่าเราจะเติมเงินลงไปในบัตรไม่พอ เพราะว่าตู้ Biletmatik มีอยู่ทุกสถานีจริง ๆ ถ้าเงินหมดก็สามารถมาเติมใหม่ได้ตลอด
บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Museum Pass Istanbul
บัตรมิวเซียมพาสอิสตันบูล (Museum Pass Istanbul) เป็นบัตรใช้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ในอิสตันบูลมากถึง 13 แห่งโดยที่เราไม่ต้องยืนรอนานเพื่อซื้อตั๋วที่หน้าเคาน์เตอร์ บัตรนี้มีอายุการใช้งานตามจำนวนชั่วโมง (วัน) โดยเริ่มนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้งาน (ไม่นับช่วงเวลาที่ซื้อ) บัตรมิวเซียมพาสอิสตันบูลราคา 105 ยูโร ต่อคน ใช้งานได้ 5 วัน นับจากวันที่ใช้งานบัตรครั้งแรก สามารถใช้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่ร่วมรายการแต่ละแห่งได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
นักท่องเที่ยวสามารถซื้อบัตรมิวเซียมพาสอิสตันบูลได้ที่เคาน์เตอร์พิพิธภัณฑ์และจุดขาย 11 แห่ง เพียงโชว์บัตรประจำตัวประชาชน (หนังสือเดินทาง) พร้อมจำนวนเงินค่าบัตร เจ้าหน้าที่จะให้บัตรกับเราโดยที่ไม่ต้องเปิดใช้งานออนไลน์ก็สามารถนำไปเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้เลย โดยส่วนตัวซื้อที่พระราชวังโทพคาปึ Topkapi Palace Museum พร้อมหนังสือเดินทางแนบ ใช้เวลาไม่ถึงสามนาทีก็ได้บัตรมา สะดวกมากค่ะ และยังสามารถซื้อบัตรมิวเซียมพาสอิสตันบูลออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ Muze.gov.tr เลย ที่สำคัญอย่าลืมวางแผนก่อนเข้าชมพิพิธภัณฑ์เพื่อความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
ยังมีบัตรท่องเที่ยวอิสตันบูลอะไรอีกบ้าง
นอกจากบัตรอิสตันบูลการ์ดและบัตรมิวเซียมพาสอิสตันบูลที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีบัตรท่องเที่ยวอิสตันบูลในราคาประหยัดแบบอื่น ๆ ที่สามารถเลือกใช้งานได้ตามต้องการ คือ
ค่าเงินตุรกีและที่แลกเงินในอิสตันบูล
สกุลเงินของตุรกี คือ ลีราใหม่ตุรกี (Turkish Lira) แทนด้วยสัญลักษณ์ ₺ (TRY) 1 TRY = 1.12 THB (0.028 EURO) ใช้ธนบัตร 5, 10, 20, 50, 100 และ 200 รวมถึงเหรียญคูรู 1, 5, 10, 25, 50 และ 1 ลีรา สามารถหาที่แลกเงินที่มีอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีได้ตามย่านท่องเที่ยวในตัวเมือง เช่น Taksim, Sultanahmet, Grand Bazaar, Eminonou, Beyoglu, Laleli, Bosphorus และ Sirkeci เป็นต้น โดยมองหาสำนักงานแลกเปลี่ยนที่มีคำว่า “doviz” (การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ) สกุลเงินที่แลกครอบคลุมถึงลีราใหม่ตุรกี ยูโรและดอลลาร์ (สกุลเงินดอลลาร์หรือยูโรมักมีแนวโน้มที่จะได้รับอัตราแลกเปลี่ยนที่ดี)
ที่สนามบินมีสถานที่รับแลกเงินเช่นกัน เรตราคาไม่ต่างกันมากกับที่อยู่ในตัวเมือง (แต่อาจจะไม่ใช่เรตราคาดีที่สุด) ถ้าเป็นไปได้ควรไปแลกเงินในตัวเมือง ถ้าไม่อย่างนั้นก็แลกไปเพียงเล็กน้อยก่อนแล้วค่อยไปหาแลกเงินในตัวเมืองอีกครั้ง
ส่วนใครที่ไม่สะดวกแลกเงินสามารถใช้วิธีการกดเงินจากตู้เอทีเอ็มเป็นสกุลลีราตุรกี เสียค่าธรรมเนียมไม่ต่างกับกับการแลกเงิน ตู้กดเงินยังมีอยู่เกือบทุกหัวมุมในอิสตันบูล ตอนแรกรีบกดตั้งแต่อยู่สนามบิน พอมาถึงตัวเมืองเดินเที่ยวปรากฏว่าเจอเยอะมาก ร้านอาหารส่วนใหญ่ก็รับจ่ายด้วยบัตรเครดิต ส่วนร้านค้าขนาดเล็กยังคงรับจ่ายด้วยเงินสดเนื่องจากไม่มีค่าธรรมเนียมจากธนาคาร
เที่ยวอย่างอุ่นใจไปกับบัตรเดบิต Wise สำหรับใช้จ่ายทั่วโลก สามารถใช้ถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มต่างประเทศตามอัตราแลกเปลี่ยนจริงโดยไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง ใช้ชำระค่าอาหาร จองที่พักหรือตั๋วเครื่องบิน รวมถึงในร้านค้าออนไลน์ทั่วโลกกว่า 50+ สกุลเงิน ทั้งยังรองรับการชำระผ่าน MasterCard, Apple Pay และ Google Pay โดยไม่ต้องกังวลในการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ใช้มานานกว่า 4 ปีไม่ผิดหวัง → สมัครรับบัตรเดบิต Wise ไว้ใช้ประโยชน์ด้วยตัวเองตอนนี้เลย
อาหารน่าทานในอิสตันบูล
แม้ว่าประเทศตุรกีจะกลายมาเป็นสาธารณรัฐแล้วแต่การใช้ชีวิตยังคงเต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่ยังคงนับถือศาสนาอิสลาม อาหารหลักที่นี่จึงเต็มไปด้วยเนื้อแกะ ไก่ และปลาเป็นส่วนใหญ่ ในโรงแรมที่พักเราจะเห็นอาหารเช้าสไตล์ตุรกี เช่น ขนมปังขาว ชีสขาว เนย ครีมข้น น้ำผึ้ง แยม ไข่เจียวหรือไข่ต้ม มะกอกดำหรือเขียว ซึ่งทานกันเป็นปกติของคนที่นี่ บ้างก็เพิ่มมะเขือเทศหั่นแว่นหรือแตงกวา รวมไปถึงไส้กรอกมาดับความหวาน ทั้งหมดนี้จะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ถ้าขาดกาแฟตุรกี (Türk kahvesi) รสชาติเข้มข้น หรือดื่มชา (Çay) ในตอนท้าย
โดยส่วนตัวมองว่าไม่แปลกจากอาหารเช้าที่เนเธอร์แลนด์เท่าไร อาจจะไม่มีซุปอุ่น ๆ หรือข้าวสวยร้อน ๆ ในตอนเช้าเหมือนบ้านเรา แต่มาเที่ยวทั้งทีต้องลิ้มลองให้ครบ เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ไปอีกแบบ ทำให้เห็นว่าผู้คนที่นี่ชอบทานหวานอยู่ไม่น้อย แต่พอกินทุกวันก็จะหันเหไปทางไส้กรอกซะส่วนมาก เพราะมีอันนี้นี่แหละที่ไม่หวานและก็ไม่เลี่ยน
ตามตลาดแกรนด์บาซาร์ หรือตลาดเครื่องเทศสไปซ์มาร์เก็ต เราจะพบกับขนมหวานหลายชนิด ที่โดดเด่นมากคือ Turkish Delight (ภาษาตุรี: Lokum) เป็นขนมหวานที่ทำจากแป้งและน้ำตาลที่แข็งตัว ผสมกับผลไม้แห้ง เช่น อินทผลัมสับ ถั่วพิสตาชิโอ เฮเซลนัทหรือวอลนัท ถ้าเป็นรสชาติแบบดั้งเดิมจะผสมน้ำกุหลาบหรือมะนาว เวลาทานมักจะมาแบบก้อนเล็กคล้ายลูกเต๋าโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่งมะพร้าวแห้ง ทานแล้วหนึบหนับดีมาก
ลิสต์อาหารน่าทานในอิสตันบูล
ลิสต์ขนมที่ขายตามรถเข็น
- Simit ขนมปังตุรกีอบเป็นรูปวงกลมหุ้มด้วยเมล็ดงา มักทานเปล่า ๆ เป็นของว่างระหว่างวันหรือทานกับชาเป็นอาหารเช้า
- Kestane เกาลัดคั่ว เป็นอาหารข้างทางราคาถูกและทานง่าย ปกติมักจะขายในฤดูหนาว แต่ปัจจุบันขายทุกฤดูเลย
- Elote ข้าวโพดต้มหรือนึ่งแล้วย่าง มักจะราดด้วยเครื่องเทศตุรกีแบบดั้งเดิมและเนย ทำให้มีความหอมเป็นพิเศษ ข้าวโพดนี้มักขายในฤดูหนาว แต่ปัจจุบันพบเห็นแพร่หลายในฤดูร้อนด้วย มีขายตามรถเข็นที่ขายเกาลัด
ร้านอาหารส่วนใหญ่รับจ่ายด้วยบัตรเครดิต ถ้าตามรถเข็นเล็ก ๆ จะรับเงินสด อีกอย่างที่ต้องเพิ่มไว้ในบทความนี้เลยก็คือน้ำประปาที่อิสตันบูลดื่มไม่ได้ ส่วนตัวชินกับเนเธอร์แลนด์ที่ดื่มน้ำจากก๊อกได้ แต่พอมาที่นี่ต้องซื้อน้ำเปล่ามาตุนไว้ที่โรงแรมวันละประมาณ 1-2 ขวดใหญ่ แต่น้ำเปล่าก็ไม่ได้แพง ราคาประมาณ 10 TRY ต่อขวด มีขายตามร้านค้าทั่วไป
เที่ยวอิสตันบูลเดือนไหนดี
ช่วงที่กำลังดีสำหรับการเที่ยวอิสตันบูลคือระหว่างเมษายนถึงพฤษภาคม ถ้าไม่ติดเรื่องอากาศหนาวแนะนำให้มาช่วงกุมภาพันธ์ และตัวเลือกสุดท้ายคือช่วงกันยายนถึงตุลาคม
เรื่องน่ารู้ก่อนไปเที่ยวอิสตันบูล
- เวลา: ที่อิสตันบูลเวลาช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมง และเร็วกว่าเนเธอร์แลนด์ 2 ชั่วโมง ถ้าไปถึงสนามบินอย่าลืมปรับเวลา ส่วนเวลาในมือถือจะปรับให้อัตโนมัติเลย
- ภาษาราชการ: คือภาษาตุรกี คนพูดภาษาอังกฤษกันน้อย ยกเว้นตามย่านท่องเที่ยวและร้านค้าต่าง ๆ ผู้คนสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ส่วนใหญ่ถ้าไปเที่ยวไม่ต้องกังวลเรื่องภาษา ถ้าสื่อสารกันไม่รู้เรื่องจริง ๆ ก็ใช้กูเกิ้ลแปลภาษาช่วย
- วีซ่า: ผู้ที่ถือหนังสือเดินทางไทยไม่ต้องขอวีซ่าเข้าตุรกี สามารถไปเที่ยวอิสตันบูลและพำนักที่นั่นได้ไม่เกิน 30 วัน
- เวลาทำละหมาด: 5 ครั้งต่อวัน แตกต่างกันออกไปตามเดือน ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่งเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หลังพระอาทิตย์ขึ้น ตอนบ่าย ก่อนพระอาทิตย์ตก หลังพระอาทิตย์ตก และยามค่ำคืน ใครจะเข้าชมสถานที่ทางศาสนา เช่น มัสยิดบลู ฮาเกียโซเฟียควรเช็คเวลาให้แน่ใจ วันศุกร์มีการทำละหมาดใหญ่ใช้เวลานานเป็นพิเศษในช่วงบ่าย
- อาหารเน้นเนื้อแกะ ปลาและไก่: รสชาติอาหารหวานมันและหอมกลิ่นเนย ถ้าใครไม่ทานเนื้อแกะต้องบอกพนักงานให้ชัดเจนระหว่างสั่งอาหาร
- ผู้คนเป็นมิตรและเปิดกว้างทางความคิด: ตอนแรกก่อนมาก็กลัว พอมาจริง ๆ ไม่น่ากลัวเลย ผู้คนส่วนใหญ่เป็นมิตร โดยเฉพาะเวลาที่จะขายของหรืออยากให้เราซื้ออะไรด้วย ถ้าเราไม่สนใจก็บอกขอบคุณแล้วเดินผ่านไปได้ แล้วเขาก็ไม่ตือด้วยนะคะ แบบไม่มายุ่งวุ่นวายถ้าเราบอกไม่ก็ไม่
- คนตุรกีชอบดื่มชา: มีร้านชาตั้งอยู่เกือบทุกหัวมุม รสชาติชาจะไม่หวานมีน้ำตาลมาให้เพิ่ม เวลาดื่มชามักทานพร้อมขนมหวานเตอร์กิชดีไลท์
- เสื้อผ้าราคาถูกกว่าไทย: ถ้าไปเดินย่านทักซิมแควร์จะเจอร้านขายเสื้อผ้า Zara และ H&M แบรนด์เหล่านี้มีราคาถูกกว่าที่ไทย แต่ถ้าเทียบกับเนเธอร์แลนด์ราคาไม่ต่างกันเท่าไร อาจจะถูกกว่าบางประเภทเท่านั้น
- ปลั๊กไฟ: ประเทศตุรกีใช้แรงดันไฟฟ้ามาตรฐาน 220 โวลต์ ความถี่มาตรฐาน 50 เฮิรตซ์ ใช้เต้าเสียบปลั๊กไฟประเภท C และ F นักเดินทางที่มาจากประเทศนอกยุโรป ควรเตรียมหัวปลั๊กแปลงไฟรอบโลก สำรองมาด้วย 1-2 ชิ้น
วางแผนเที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเองใช้งบเท่าไร
ช่วงที่เราไปเที่ยวอิสตันบูลนั้นค่าเงินตุรกีดิ่งลงพอสมควร ทำให้ทุกอย่างมีราคาถูก รวมค่าใช้จ่ายเที่ยวอิสตันบูลทั้งหมด 5 วัน 4 คืน อยู่ที่ 5,258 TRY / 331 EURO / 11,980 THB (รวมที่พักและตั๋วไปกลับจากเนเธอร์แลนด์) ปัจจุบันค่าเงินตุรกีปรับตัวสูงขึ้นทำให้ทุกอย่างมีราคาค่อนข้างแพง อย่างไรก็ตามควรเช็คค่าเงินก่อนวางแผนการเดินทาง และเผื่องบไว้ประมาณ 25,000-30,000 บาท สำหรับการเที่ยวอิสตันบูล 5 วัน 4 คืน ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ค่าที่พัก การเดินทาง อาหาร และกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน เช็คราคาและจองตั๋วเครื่องบินราคาประหยัดได้ที่นี่
budget
โรงแรม: 70-90 ยูโร
โฮสเทล: 30-50 ยูโร
การเดินทาง: 2-3 ยูโร
ตั๋วเที่ยวเดียว: 17.70 ลีรา
กิจกรรมและตั๋ว: 30-45 ยูโร
รถเช่า: 20-35 ยูโร
อาหาร: 10-25 ยูโร/มื้อ
เครื่องดื่ม: 10-15 ยูโร
สรุปวางแผนเที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง
อิสตันบูลเป็นเมืองที่น่ามีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง สถานที่ทางประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มาจากจักรวรรดิไบแซนไทน์และจักรวรรดิออตโตมัน ลองหาวิดีโอหรือภาพยนต์เกี่ยวกับอาณาจักรเหล่านี้ชมก่อนมาที่นี่จะช่วยเพิ่มอรรถรสการเที่ยวในอิสตันบูลให้สนุกมากยิ่งขึ้น และในตอนท้ายที่สุดหลังจากมาสัมผัสเสน่ห์ของสองวัฒนธรรมสองฝั่งด้วยตัวเองหลายคนจะกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกที่ว่า “ทำไมไม่มาเที่ยวที่นี่ตั้งนานแล้ว”
แผนที่เที่ยวอิสตันบูลด้วยตัวเอง
กดดูและบันทึกแผนที่เที่ยวอิสตันบูลเพื่อช่วยวางแผนการเดินทาง
แหล่งข้อมูลวางแผนเที่ยว
Thank you
การเปิดเผย: บทความนี้มีลิงก์แอฟฟิลิเอทบางส่วน การกดที่ลิงก์ไม่มีค่าใช้จ่าย หากซื้อสินค้าหรือบริการจากลิงก์ดังกล่าว เราอาจได้รับค่ากำลังใจเล็กน้อยสำหรับนำไปพัฒนาบล็อก 🧡