กำลังวางแผนขับรถเที่ยวยุโรปด้วยตัวเอง? บทความนี้จะพาทุกคนร่วมเดินทางผจญภัยไปกับการขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง 2 อาทิตย์ ใน 6 ประเทศด้วยกัน คือ สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี สโลวีเนีย ฮังการี สโลวาเกีย และสาธารณรัฐเช็ก ครอบคลุมแผนการเดินทาง ที่เที่ยวและกิจกรรมน่าสนใจ รวมถึงที่พักและเรื่องที่ควรรู้ก่อนออกเดินทางไปเยือนประเทศเหล่านี้ด้วยตัวเอง อ่านบทความนี้แล้วจะพบว่าการขับรถเที่ยวยุโรปเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว ที่เหลือก็แค่ลงมือวางแผนและออกไปผจญภัยโลกกว้างด้วยกัน
เช่ารถขับเที่ยวยุโรป
ก่อนจะออกเดินทางขับรถเที่ยวยุโรป สิ่งแรกที่ต้องวางแผนเลยก็คือรถยนต์ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่อาศัยอยู่ในยุโรปแล้วสามารถใช้รถยนต์ส่วนบุคคลเพื่อขับเที่ยวได้เลย มีข้อดีคือช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนนักท่องเที่ยวที่มาจากนอกยุโรปนั้นแน่นอนว่าสามารถหารถเช่าได้สะดวก และยังเป็นตัวเลือกที่ดีในการเข้าถึงเส้นทางต่าง ๆ ได้แบบยืดหยุ่น
ราคาเช่ารถยนต์ขึ้นอยู่กับประเภทรถยนต์และจำนวนวันที่เช่า และควรเลือกบริษัทรถเช่าที่มีชื่อเสียง เช่น Hertz, Avis, Europcar และ Enterprise ที่มีฐานลูกค้าหลากหลายทั่วโลกและการบริการที่น่าเชื่อถึง รวมถึงมีรีวิวจากผู้ใช้งานจริงเพื่อประกอบการตัดสินใจ โดยรถยนต์จากบริษัทเหล่านี้รวมมาให้แล้วในเว็บไซต์ Discovercars และ Rentalcars นักท่องเที่ยวสามารถเลือกประเภทรถยนต์เพื่อเปรียบเทียบราคาได้เลย และที่สำคัญยังสามารถเลือกรับรถได้ตามความสะดวก หรือจะเลือกรับตั้งแต่ที่สนามบินเลยก็ได้ และอย่าลืมจองล่วงหน้าเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด
การขับรถในยุโรป
การขับรถในยุโรปใช้เลนขวา
พกเอกสารเหล่านี้ติดตัว
ควรมีอุปกรณ์เหล่านี้ไว้ในรถ
เที่ยวอย่างอุ่นใจไปกับบัตรเดบิต Wise สำหรับใช้จ่ายทั่วโลก สามารถใช้ถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มต่างประเทศตามอัตราแลกเปลี่ยนจริงโดยไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง ใช้ชำระค่าอาหาร จองที่พักหรือตั๋วเครื่องบิน รวมถึงในร้านค้าออนไลน์ทั่วโลกกว่า 50+ สกุลเงิน ทั้งยังรองรับการชำระผ่าน MasterCard, Apple Pay และ Google Pay โดยไม่ต้องกังวลในการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ใช้มานานกว่า 4 ปีไม่ผิดหวัง → สมัครรับบัตรเดบิต Wise ไว้ใช้ประโยชน์ด้วยตัวเองตอนนี้เลย
สติ๊กเกอร์ค่ามอเตอร์เวย์ในยุโรป
เมื่อขับขี่บนท้องถนนในยุโรปอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือค่าทางด่วนมอเตอร์เวย์ ซึ่งปกติจะมาในรูปแบบสติ๊กเกอร์ที่นำไปใช้ติดหน้ารถ หรือบางประเทศก็สามารถซื้อแบบออนไลน์ได้เลย ส่วนราคานั้นแบ่งตามประเภทของรถยนต์และระยะเวลาในการใช้งาน รายการด้านล่างคือค่าทางด่วนมอเตอร์เวย์สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่มีน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 3.5 ตัน
- สวิตเซอร์แลนด์: ราคา 40 CHF (42 ยูโร) ใช้งานได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมจนถึงวันที่ 31 มกราคมของปีถัดไป ซื้อสติ๊กเกอร์ผ่าน → จุดขายเหล่านี้
- อิตาลี: มีจุดจ่ายค่าทางด่วนตั้งอยู่ตามเส้นทางต่าง ๆ รับจ่ายด้วยเงินสด บัตรเดบิต รวมถึงบัตรเครดิตประเภทวีซ่ามาสเตอร์การ์ด ค่าทางด่วนแบ่งตามประเภทรถยนต์และเส้นทางที่ใช้งาน ข้อมูลเพิ่มเติม → เว็บไซต์ทางการ
- สโลวีเนีย: ราคา 16 ยูโร (1 สัปดาห์) 32 ยูโร (1 เดือน) และ 117.50 ยูโร (1 ปี) ซื้อสติ๊กเกอร์ค่าผ่านทาง → Slovenia Electronic Vignette
- สโลวาเกีย: ราคา 12 ยูโร (10 วัน) 17 ยูโร (30 วัน) และ 60 ยูโร (1 ปี) ซื้อสติ๊กเกอร์ค่าผ่านทาง → Slovakia Electronic Vignette
- ฮังการี: ราคา 6,400 HUF (10 วัน) 10,360 HUF (1 เดือน) 57,260 HUF (1 ปี) ซื้อสติ๊กเกอร์ค่าผ่านทาง → Hungary Electronic Vignette
- สาธารณรัฐเช็ก: ราคา 270 CZK (10 วัน) 430 CZK (30 วัน) และ 2,300 CZK (1 ปี) ซื้อสติ๊กเกอร์ค่าผ่านทาง → Czech Republic Electronic Vignette
หมายเหตุ: ตัวเลขปี 2024
ประเทศในยุโรปส่วนใหญ่ใช้แรงดันไฟฟ้ามาตรฐาน 230 โวลต์ ความถี่มาตรฐาน 50 เฮิรตซ์ ใช้เต้าเสียบปลั๊กไฟประเภท C และ E นักเดินทางที่มาจากประเทศนอกยุโรป ควรเตรียมหัวปลั๊กแปลงไฟรอบโลก สำรองมาด้วย 1-2 ชิ้น
แผนขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง
สวิตเซอร์แลนด์ (Day 1-3)
อิตาลี (Day 4)
เนเธอร์แลนด์ (Day 16-17)
ขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง: Day 1
(ขับรถจากเนเธอร์แลนด์สู่เมืองโลซานน์)
เป็นอีกหนึ่งทริปเช่นเคยที่เราออกเดินทางจากเนเธอร์แลนด์ไปยังสวิตเซอร์แลนด์ โดยใช้เส้นทางจากอัมสเตอร์ดัม ผ่านเมืองอูเทร็คท์ ก่อนจะลงใต้เข้าสู่เบลเยียม จากนั้นขับผ่านแอนต์เวิร์ป และบรัสเซลส์ ต่อด้วยลักเซมเบิร์ก และไปถึงที่พักย่านนอกเมืองโลซานน์ในช่วงเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ใช้เวลาขับรถรวม 10 ชม. หยุดแวะพักประมาณ 2-3 ครั้งตามสถานีเติมน้ำมัน และเตรียมอาหารมาเองช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย
ขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง: Day 2
(เที่ยวโลซานน์และเจนีวาแบบเดย์ทริป)
เที่ยวโลซานน์ (Lausanne)
วันที่ 2 ตื่นมาเตรียมตัวแต่เช้าเพื่อไปเที่ยวเมืองโลซานน์และเมืองเจนีวา โดยจะเริ่มที่เมืองโลซานน์ก่อนเป็นการเที่ยวแบบครึ่งวันจากนั้นตอนบ่ายค่อยแวะไปเที่ยวต่อที่เมืองเจนีวา
สำหรับเมืองโลซานน์ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลสาบเจนีวาและเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อไปเที่ยวที่นี่แล้วกิจกรรมที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ การพาตัวเองไปเดินเล่นริมชายฝั่งทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva Lausanne) เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์และชมทิวทัศน์อันสวยงามของทะเลสาบและภูเขาโดยรอบ โดยทางเดินริมทะเลสาบมีระยะทางรวมประมาณ 10 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ระหว่างทางจะพบกับท่าเรือที่มีบรรยากาศดี พิพิธภัณฑ์โอลิมปิก ไปจนถึงท่าเรือยอร์ชและชายหาดที่ตั้งอยู่ท้ายสุด ทั้งหมดนี้นับว่าคุ้มค่าทีเดียวที่จะเดินและปล่อยใจไปกับความงดงามริมสองฝั่งทะเลสาบ
จากทะสาบเจนีวาถ้าใครไม่สะดวกเดินจนสุดเส้นทางสามารถแวะไปที่พิพิธภัณฑ์โอลิมปิก (The Olympic Museum) ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือเพียง 10 นาที ด้านในมีการจัดแสดงที่หลากหลายของประวัติศาสตร์กีฬาโอลิมปิกและความเคลื่อนไหวของกีฬาโอลิมปิกไว้อย่างน่าสนใจ ถ้าเข้าชมที่นี่แล้วยังจะได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ เอกสาร รวมไปถึงคบเพลิงในจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกทุกรุ่น และหอเกียรติยศของบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์โอลิมปิกอีกด้วย พิพิธภัณฑ์เปิดตลอดทั้งปีตั้งแต่วันอังคารถึงวันอาทิตย์ เวลา 09:00-18:00 น. ปิดวันจันทร์ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) และวันที่ 24, 25, 31 ธันวาคม และ 1 มกราคม อย่าลืม → จองตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์โอลิมปิกโลซานน์ล่วงหน้า
ใกล้กับพิพิธภัณฑ์โอลิมปิกยังเป็นที่ตั้งของสวนสาธารณะ “Denantou Park” ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเขียวขจี ด้านในมีการจัดตกแต่งสวนในสไตล์อังกฤษ มีบรรยากาศที่ร่มรื่น เหมาะสำหรับการปิกนิก เดินเล่น และชมความสวยงามของดอกไม้นานาพันธุ์ และที่สำคัญยังมีที่เที่ยวยอดนิยมอีกหนึ่งแห่งนั้นก็คือ “ศาลาไทย” (Pavillon Thaïlandais) ตั้งอยู่ที่ปลายสวนสาธารณะ ตัวศาลาประดับด้วยสีทองอย่างงดงาม
จากสวนสาธารณะต่อไปเราจะเปลี่ยนบรรยากาศไปยังย่านเมืองเก่ากันบ้าง ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างย่านเนินเขา “Cité Hill” และย่านใจกลางเมือง ขึ้นชื่อเรื่องทัศนียภาพที่สวยงาม รวมไปถึงเป็นที่ตั้งของสวนสาธารณะ พระราชวัง และสถานที่เที่ยวทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์หลายแห่ง เช่น
- อาสนวิหารโลซานน์ (Lausanne Cathedral)
- พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โลซานน์ (Musée Historique Lausanne)
- พิพิธภัณฑ์การออกแบบร่วมสมัยและศิลปะประยุกต์ (MUDAC)
- บันไดไม้ไปยังอาสนวิหารโลซานน์ (Escaliers du Marché)
- และสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมือง (Mon Repos Park)
ทั้งหมดนี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะแวะเข้าไปเข้าชมความสวยงามด้านใน แต่ถ้าใครมีเวลาไม่มากแนะนำให้เข้าชมอาสนวิหารโลซานน์ ซึ่งเป็นวิหารนิกายโรมันคาทอลิกสร้างในสไตล์กอทิกที่สวยที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ และยังเป็นหนึ่งในสถานที่ทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดในเมืองโลซานน์อีกด้วย
เที่ยวเจนีวา (Geneva)
ตอนเช้าเราเที่ยวในเมืองโลซานน์กันแล้วต่อไปตอนบ่ายเราก็เดินทางต่อไปยังเมืองเจนีวา ใช้เวลาขับรถประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงเจนีวาอย่างปลอดภัย สำหรับเจนีวาเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองในสวิตเซอร์แลนด์ ที่นี่ไม่เพียงแต่ขึ้นชื่อเรื่องทะเลสาบและน้ำพุชื่อดังเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ตั้งขององค์การสหประชาชาติ รวมถึงที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมและย่านเมืองเก่าที่งดงามจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก
กิจกรรมที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเที่ยวเจนีวานั้นก็คือการใช้เวลาเดินเล่นริมทะเลสาบ เพื่อสัมผัสบรรยากาศที่มีชีวิตของเมือง แน่นอนว่าย่านนี้สิ่งที่โดดเด่นเป็นพระเอกของงาน คือ น้ำพุเจ็ตเดออัว (Jet d’Eau) เจ้าของสายน้ำที่พุงตัวขึ้นไปในอากาศถึง 40 เมตร เกิดเป็นภาพที่สวยงามมองเห็นได้ทั่วบริเวณ และถ้าอยากเห็นใกล้ ๆ ลองเดินตามเส้นทางพื้นปูนของท่าเทียบเรือขนาดเล็ก (Jetée des Eaux-Vives) ไปยังจุดที่น้ำพุก่อตัว ที่นี่ยังมีการจัดแสดงแสงสีที่น่าประทับใจในตอนกลางคืนอีกด้วย
จากน้ำพุเจ็ตเดออัวเราสามารถเดินเที่ยวไปยังสถานที่เที่ยวสำคัญต่าง ๆ รอบเมือง ครอบคลุมถึงสะพานคนเดินมองบลังค์เจนีวา (Pont du Mont-Blanc) มีจุดเด่นในเรื่องทัศนียภาพที่งดงามของทะเลสาบและน้ำพุเจ็ตเดออัว เดินตามสะพานมองบลังค์ไปจนสุดถนนจะเข้าสู่พื้นที่ของสวนสาธารณะสไตล์อังกฤษ (Jardin Anglais) จากต้นศตวรรษที่ 19 มีไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้คือนาฬิกาดอกไม้ (L’Horloge Fleurie) ที่ใหญ่ที่สุดของโลก
จากสวนสาธารณะเดินต่อไปยังย่านเมืองเก่า (Geneva Old Town) รวมสถานที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ไว้ได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นมหาวิหารเซนต์ปิแอร์ (St Pierre Cathedral) อย่าลืมขึ้นหอคอยไปชมทิวทัศน์อันตระการตาของเมือง ทางด้านหลังของมหาวิหารเซนต์ปิแอร์ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แหล่งโบราณคดีของมหาวิหารเซนต์ปิแอร์ (Archaeological Site of Saint-Pierre Cathedral) และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น (Tavel House) ที่เปิดให้เข้าชมฟรี
ใกล้กับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นพื้นที่ของทางเดินเก่าแก่ที่สุดในเจนีวา (Promenade de la Treille) มีอายุย้อนไปถึงปี ค.ศ. 1515 โดดเด่นด้วยม้านั่งสีเขียวที่ยาวที่สุดในโลกถึง 120 เมตร จากตรงนี้เดินลงเนินเขาไปจะเจอกับจัตุรัสหลักของเจนีวา (Place de Neuve Square) ซ้ายมือคือสวนสาธารณะทางประวัติศาสตร์ (Bastions Park) ด้านในมีอนุเสาวรีย์กำแพงการปฏิรูปนิกายโปรเตสแตนต์ (Reformation Wall) ที่มีชื่อเสียงระดับโลกพร้อมด้วยรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของนักปฏิรูปชั้นนำหลายคน รวมถึงกระดานหมากรุกสาธารณะ (Public Chess Board) ให้ผู้คนได้เล่นหมากรุกกลางแจ้งฟรี
จากย่านเมืองเก่าสามารถนั่งรถรางไปฝั่งย่านนอกเมืองเพื่อชมสำนักงานสหประชาชาติ (United Nations Office at Geneva) ด้านหน้ามีเก้าอี้สามขา (Broken Chair) เป็นประติมากรรมที่ทำจากไม้ สูง 12 เมตร และหนัก 4 ตัน และถ้าเดินจากตรงนี้ไปประมาณ 10 นาทีจะเจอกับสวนพฤกษศาสตร์แห่งเจนีวา (Geneva Botanical garden) ชมการจัดสวนดอกไม้กลางแจ้งมีถึง 16,000 สายพันธุ์จากทั่วทุกมุมโลก มีเรือนกระจกที่จัดแสดงพืชเขตร้อนหลายชนิด ตลอดจนมีจุดสนใจอื่น ๆ อีก 30 จุดที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมและถ่ายภาพ
ขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง: Day 3
(เที่ยวยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์มครึ่งวัน)
หลังจากวันที่ 2 เราไปเยี่ยมชมเมืองโลซานน์และเจนีวากันมาแล้ว ต่อไปวันที่ 3 เราจะไป เดินป่าและชมวิวพาโรนามาบนยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์ม ซึ่งที่นั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่อยู่เหนือเมืองอินเทอร์ลาเคน ตั้งอยู่ที่ความสูง 1,322 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปที่นี้ได้ด้วยการนั่งกระเช้าไฟฟ้า รวมไปถึงการเดินป่าไปยังฮาร์เดอร์คูล์ม ซึ่งสามารถทำได้ภายเวลา 3 ชม. กิจกรรมนี้เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาเที่ยวอินเทอร์ลาเคิน-ฮาร์เดอร์คูล์มแบบครึ่งวันหรือหนึ่งวัน
เส้นทางเดินป่าที่เราเลือกคือ “Interlaken Ost – Harder Kulm” ซึ่งเป็นเส้นทางยอดนิยมและง่ายที่สุดในการเดิน มีระยะทางรวม 4.1 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ถ้าเดินเร็วอาจจะใช้เวลาน้อยกว่านี้ ยังไงเผื่อเวลาไว้ 3 ชั่วโมงกำลังดี ซึ่งจุดเริ่มต้นเส้นทางเดินป่าตั้งอยู่ทางซ้ายมือของสถานี Harderbahn มีป้ายสีเหลืองบอกเส้นทางและเวลาที่ใช้เดินไว้อย่างชัดเจน และไม่ต้องกลัวว่าจะหลงนะคะ เพราะป้ายนี้จะตั้งอยู่ตามจุดสำคัญตลอดเส้นทางเลย
เส้นทางเดินป่าที่เราเดินมาช่วงแรกจะเป็นป่าทึบ บางช่วงที่ไม่มีต้นไม้บดบังสามารถมองเห็นวิวที่สวยงามของบ้านเรือนในอินเทอร์ลาเคินโดยมีฉากหลังเป็นยอดเขายุงเฟราสีขาวปกคลุมด้วยหิมะ รวมถึงยอดเขามองช์และไอเกอร์ ซึ่งยุงเฟราเป็นภูเขาที่โด่งดังที่สุดในบรรดาดายอดเขาสามลูกที่เรามองเห็น นักท่องเที่ยวสามารถไปที่นั้นได้ด้วยการนั่งรถไฟไปยังยุงเฟรายอค (Jungfraujoch) ที่ระดับความสูง 3,454 เมตร เป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป
เมื่อมาถึงยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์มแล้วแน่นอนว่าสิ่งที่พลาดไม่ได้เลยก็คือการชมวิวแบบพาโรนามาบนสะพานสองทะเลสาบ (Two Lakes Bridge) ที่สร้างยื่นห่างออกไปจากยอดหน้าผา ซ้ายมือสามารถมองเห็นทะเลสาบเบรียนซ์สีฟ้าคราม (Brienzersee) ส่วนขวามือคือทะเลสาบทูน (Thunersee) จึงเป็นที่มาของชื่อสะพานนั้นเอง
นอกจากการชมวิวที่เป็นกิจกรรมหลักแล้วถัดจากสะพานสองทะเลสาบจะเป็นที่ตั้งของร้านอาหารพาโรนามาพร้อมทิวทัศน์ที่สวยงาม ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่อาหารเช้าไปจนถึงอาหารเย็นเลย ถ้ามาที่นี่ช่วงเย็น ๆ จะได้ชมพระอาทิตย์ตกเย็นอีกด้วย ส่วนด้านนอกร้านอาหารจะเป็นที่นั่งสำหรับพักผ่อนและทานเครื่องดื่มหรือไอศกรีม
เมื่อใช้เวลาบนยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์มจนเต็มอิ่มแล้วนักท่องเที่ยวสามารถลงจากยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์มได้ 3 วิธี คือ เดินป่าจากเส้นทาง “Interlaken Ost – Harder Kulm” ที่เราเพิ่งเดินมาก่อนหน้านี้ หรือนั่งกระเช้าไฟฟ้ากลับลงไปที่สถานี Harderbahn แน่นอนว่าขามาเรามาแบบเดินป่ากันแล้วขากลับเราจะใช้วิธีการนั่งกระเช้าลงจากยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์ม
จุดขายตั๋วกระเช้าไฟฟ้าไปยังฮาร์เดอร์คูล์มจะอยู่บนชั้นสองของสถานี Harderbahn ส่วนขากลับจะอยู่ที่สถานีฮาร์เดอร์คูล์ม สามารถเดินไปได้ภายในเวลา 1 นาที ซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าไปยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์มล่วงหน้า ตั๋วใช้เดินทางได้หนึ่งรอบ ผู้ที่ถือบัตร Swiss Pass ลดครึ่งราคา เมื่อได้ตั๋วมาแล้วก็ใช้สแกนที่ประตูทางเข้า จากนั้นก็ไปยืนรอเวลาที่กระเช้าจะมา พอกระเช้ามาถึงก็สแกนตั๋วที่ประตูอิเล็กทรอนิกส์และเข้าไปหาที่นั่งด้านในได้เลย ใช้เวลาเพียง 10 นาทีเราก็มาถึงสถานี Harderbahn และเดินกลับไปยังจุดจอดรถใกล้สถานีรถไฟ Interlaken Ost เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองเวนิสของอิตาลี เป็นอันจบทริปเมืองอินเทอร์ลาเคิน-ฮาร์เดอร์คูล์มไปพร้อมกับประสบการณ์อันน่าจดจำภายในเวลา 4-5 ชั่วโมง
ขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง: Day 4
(เที่ยวเวนิสแบบเดย์ทริป)
การขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลางของเราเดินทางมาถึงวันที่ 4 แล้ว ซึ่งเช้านี้ก็เป็นอีกเช่นเคยที่ตื่นแต่เช้ามาเพื่อเตรียมตัวเดินทางจากที่พักในเมืองเมสเตร (Mestre) ไปยังเมืองเวนิส โดยนั่งรถรางใช้เวลาเพียง 15 นาที เป็นตัวเลือกที่สะดวกมากและยังช่วยประหยัดค่าที่พักได้พอสมควร
เมื่อถึงเวนิสแล้วก็เริ่มต้นออกเดินเที่ยวจากจุดจอดรถรางสาย T1 ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟเมืองเวนิสเลย ใครที่ไม่สะดวกเดินสามารถใช้บริการระบบขนส่งมวลชนของเวนิสได้เช่นกัน อย่าลืมแวะไปอ่าน → วางแผนเที่ยวเวนิส 1 วัน และเรื่องน่ารู้ก่อนมาเที่ยวเวนิส เพื่อความครบถ้วนสมบูรณ์
ที่เที่ยวยอดนิยมในเวนิส
สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเวนิสก็คือมหาวิหารซานมาร์โค (St. Mark’s Basilica) ที่สร้างขึ้นจากแบบจำลองของโบสถ์แห่งอัครสาวกศักดิ์สิทธิ์ในกรุงคอนสแตนติโนเปิลในศตวรรษที่หก ด้านในประดับด้วยกระเบื้องโมเสกสีทองจากช่วงต้นศตวรรษที่ 13 ส่องประกายระยิบระยับสวยงามตระการตา และยังมีแท่นบูชาทองคำอันงดงาม (Pala d’Oro) รวมถึงพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โค ที่เปรียบเสมือนคลังสมบัติขนาดเล็ก โดยมีไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้ก็คือม้าดั้งเดิมของซานมาร์โค (Horses of Saint Mark) ทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน ถัดจากม้าของซานมาร์โคจะเป็นส่วนของระเบียงชมวิวที่สวยงามของจัตุรัสซานมาร์โค ขวามือสามารถมองเห็นหอนาฬิกาจากศตวรรษที่ 15 (Torre dell’ Orologio)
เนื่องจากมหาวิหารซานมาร์โคเป็นสถานที่เที่ยวยอดนิยมของเวนิส ทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่ค่อนข้างหนาแน่นตลอดทั้งปี เพื่อช่วยประหยัดเวลาไม่ต้องไปยืนรอต่อแถวนาน แนะนำให้ → จองตั๋วล่วงหน้าเพื่อเข้าชมมหาวิหารซานมาร์โค ตั๋วนี้ใช้เข้าชมมหาวิหารซานมาร์โคได้ครบทั้งหมดเลย และควรเผื่อเวลาเข้าชมไว้ประมาณ 1-1.5 ชั่วโมง
สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกหนึ่งแห่งของเวนิสก็คือพระราชวังดอจ (Doge’s Palace) ความสำคัญของที่นี่ก็คือเคยใช้เป็นที่สำนักของดอจแห่งเวนิส ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้พิพากษาและผู้นำของสาธารณรัฐเวนิสระหว่างปี ค.ศ. 726-1797 ก่อนที่ในปี ค.ศ. 1923 จะกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้บุคคลทั่วไป ที่นี่จึงเปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของอำนาจทางการเมืองในสมัยสาธารณรัฐเวนิสที่จะพาทุกคนร่วมเดินทางเข้าไปชมบรรยากาศภายในด้วยกัน รวมถึงมีไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือสะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs) ที่สามารถมองเห็นภายในได้ด้วยการซื้อตั๋วเข้าชมเท่านั้น (หรือจะแวะไปถ่ายภาพด้านนอกได้ที่ต้นสะพานติดกับพระราชวังดอจก็ได้เช่นกัน)
นักท่องเที่ยวสามารถใช้ตั๋วใบเดียวเพื่อเข้าชมพระราชวังดอจ สะพานถอนหายใจ พิพิธภัณฑ์โบราณคดี (National Archeological Museum) และพิพิธภัณฑ์ศิลปะ (Museo Correr) รอบเข้าชมช่วงบ่ายสองถึงสี่โมงเย็นคนจะเยอะมาก แนะนำให้ซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าก่อนได้ที่ → ซื้อตั๋วเข้าชมพระราชวังดอจ และนำตั๋วที่ได้รับจากอีเมล์ไปให้เจ้าหน้าที่หน้าประตูทางเข้าสแกนคิวอาร์โค้ดได้เลย และควรเผื่อเวลาการเข้าชมไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง
นอกจากพระราชวังดอจและมหาวิหารซานมาร์โคแล้ว เวนิสยังมีที่เที่ยวยอดนิยมอีกหลายแห่ง รวมถึงจัตุรัสซานมาร์โค (St. mark’s square) ที่เด่นสง่าด้วยหอระฆังซานมาร์โค ถ้าเดินจากที่นี่ไปประมาณ 8 นาทีจะเจอกับสะพานริอัลโต (Rialto Bridge) ซึ่งเป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดแบ่งเขตของซานมาร์โคและซานโปโล ใช้สำหรับเดินข้ามข้ามคลองใหญ่ หรือที่เรียกว่า “แกรนด์คาแนล” (Grand Canal) บรรยากาศในลำคลองก็พลุ่กพล่ากไปด้วยเรือโดยสาร (Vaporetti) และเรือกอนโดล่า (Gondola) ทางเดินขึ้นและลงบันไดทั้งสองด้านค่อนข้างแออัด แต่ก็คุ้มค่าที่จะยืนรอสักครู่เพื่อถ่ายภาพทิวทัศน์ที่สวยงามของลำคลอง
นั่งเรือกอนโดลา
แน่นอนว่ากิจกรรมที่หลายคนต่างพูดถึงเมื่อมาเยือนเวนิสคือการนั่งเรือกอนโดลาไปสัมผัสภาพบรรยากาศที่สวยงามของเวนิสจากสายน้ำ เรือกอนโดมักมีสามแบบด้วยกัน คือ เรือกอนโดลาข้ามฟากที่มีราคาถูก เรือกอนโดลาแบบแชร์กับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ มักมีราคาถูกในระดับหนึ่ง และเรือกอนโดลาแบบส่วนบุคคลหรือนักท่องเที่ยวที่มาแบบกลุ่มเพื่อน มักมีราคาแพงที่สุดตั้งแต่ 80 ยูโรขึ้นไป แต่ถ้าหารค่าเรือกันหลายคนจะได้ราคาที่ถูกลง เรือกอนโดลาส่วนใหญ่ให้บริการตั้งแต่เวลา 11:00-21:00 น. ตอนกลางคืนจะสวยงามเป็นพิเศษด้วยแสงไฟจากบ้านเรือน อย่าลืมเตรียมเงินสดมาด้วยนะคะ เพราะค่าเรือจะรับจ่ายเป็นเงินสดเท่านั้น
นั่งเรือข้ามไปยังเกาะใกล้เวนิส
ที่เที่ยวข้างต้นในเวนิสสามารถใช้เวลา 1-2 วันก็เข้าชมแบบทั่วถึง อาจจะแบ่งเป็นที่เที่ยวด้านนอก 1 วัน เข้าชมพิพิธภัณฑ์ครึ่งวัน จากนั้นก็ออกไปเที่ยวเกาะรอบนอกเวนิส ซึ่งมีเกาะสามแห่งที่มีชื่อเสียง คือ San Giorgio Maggiore, Murano และ Burano ทั้งสามแห่งใช้เวลานั่งเรือประมาณ 5-40 นาที
เกาะซานจิออร์จิโอแม็กจิออเร่ (San Giorgio Maggiore)
เกาะมูราโน่ (Murano)
เกาะบูราโน่ (Burano)
ขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง: Day 5
(ขับรถไปสโลวีเนีย + เที่ยวถ้ำโพสทอยน่า)
วันที่ 5 ของการขับรถเที่ยวในยุโรปตอนกลาง เราเช็คเอาท์ออกจากที่พักในเวนิสประมาณสิบโมงเช้า จากนั้นก็ออกเดินทางไปยังประเทศสโลวีเนีย ซึ่งแน่นอนว่าที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางหลักของการขับรถเที่ยวในครั้งนี้ โดยเราจะใช้เวลาเพื่อสำรวจเมืองต่าง ๆ รวมทั้งหมด 5 วัน ด้วยกัน ครอบคลุมเมืองหลวงลูบลิยานา ถ้ำโพสทอยน่า ทะเลสาบเบลด หุบเขาวินท์การ์จอร์จ (Vintgar Gorge) เส้นทางขับรถ Vršič Pass ที่สวยมาก และปิดท้ายกันที่ทะเลสาบโบฮินจ์ ทั้งหมดนี้สรุปไว้เป็นบทความรวมใน → คู่มือวางแผนขับรถเที่ยวสโลวีเนีย 5 วัน และจะมาขยายรายละเอียดเพิ่มเติมในบทความนี้
เที่ยวถ้ำโพสทอยน่า
จากเวนิสใช้เวลาขับรถมายังสโลวีเนียประมาณ 2 ชั่วโมง 36 นาที จุดข้ามพรมแดนจะอยู่ใกล้วงแหวนถนนสาย A34 (หลังจากขับมาประมาณ 1 ชั่วโมง 23 นาที) เมื่อข้ามพรมแดนอิตาลีแล้วใช้เส้นทาง H4 ขับต่อไปเรื่อย ๆ จะพบกับถ้ำโพสทอยน่า ซึ่งเป็นสถานที่เที่ยวยอดนิยมของประเทศสโลวีเนีย ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงลูบลิยานาประมาณ 50 นาที และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาวนรถกลับมาจากเมืองหลวงหลายรอบเราก็เลยใช้โอกาสนี้เข้าชมที่นี่ไว้เลย
โพสทอยน่าเป็นหนึ่งในระบบถ้ำที่ยาวที่สุดในโลกถึง 24 กิโลเมตร แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพียง 5 กิโลเมตร และต้องเข้าไปพร้อมกับไกด์ทัวร์เท่านั้น ซึ่งแบ่งการเข้าชมออกเป็นสองช่วง คือ ช่วงแรกนั่งรถรางไฟฟ้าระยะทาง 3.5 กม. เข้าไปยังสถานีปลายทาง จากนั้นลงเท้าเดินต่อไปกับไกด์เพื่อสำรวจความงดงามในถ้ำอีก 1.5 กม. ครอบคลุมถึงห้องโถง Great Mountain สะพานรัสเซีย ห้องโถงสปาเก็ตตี้ รวมถึงไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้ คือ หินงอกหินย้อยสีขาวบริสุทธิ์ (Brilliant) อายุกว่า 1.5 แสนปี และปลามนุษย์ไร้ดวงตาที่ใช้ชีวิตลึกลับในถ้ำมืดสนิท ทั้งหมดนี้นับเป็นประสบการณ์อันน่าจดจำที่ต้องไปสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง
ขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง: Day 6
(เที่ยวลูบลิยานาแบบเดย์ทริป)
ลูบลิยานาได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงสีเขียวแห่งความเป็นมิตรที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลของประเทศสโลวีเนีย รายล้อมด้วยบ้านเรือนและแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมจากยุคเรเนสซองส์และยุคคลาสสิกผสมผสานกับรูปแบบการออกแบบที่ทันสมัยของสถาปนิกชื่อดังระดับโลก “Jože Plečnik” และทรงคุณค่าทางวัฒนธรรรมจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกอีกด้วย อย่าลืมแวะไปอ่าน → วางแผนเที่ยวเมืองหลวงลูบลิยานาฉบับคนที่มาเป็นครั้งแรก
ที่เที่ยวส่วนใหญ่ในลูบลิยานาตั้งอยู่ใจกลางเมืองทำให้เดินเที่ยวง่าย สามารถตั้งต้นได้จากตลาดกลาง (Central Market) รองท้องด้วยกาแฟหรืออาหารเช้าในราคาที่เป็นมิตร ต่อด้วยเดินขึ้นเขาหรือขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปชมปราสาทเบลด (Ljubljana Castle) ที่มองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของเมือง
จากนั้นเดินกลับลงมาที่ตลาดกลางเพื่อไปตามล่าหาน้องมังกรทั้งสี่ (Dragon Bridge) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังของเมืองลูบลิยานามาอย่างยาวนาน ใกล้ ๆ กันเชื่อมต่อด้วยสะพานแห่งความรัก (Butchers’ Bridge) ที่เต็มไปด้วยแม่กุญแจแห่งความรักยืนยาว ต่อด้วยไฮไลท์สะพานจัตุรัสสามสะพาน (Triple Bridges Square) และจัตุรัสกลางเมืองเพรเซเรน (Prešeren Square) ที่มีโบสถ์สีชมพูโดดเด่นเป็นฉากหลัง
จากใจกลางเมืองอย่าลืมแวะไปทานอาหารสโลวีเนียดั้งเดิมและไส้กรอกเลื่องชื่อที่ร้านอาหาร Klobarsna ต่อด้วยชมมหาวิหารเซนต์นิโคลัสลูบลิยานา (Ljubljana Cathedral) จากศตวรรษที่ 13 โดดเด่นด้วยหอคอยสองแห่งที่มองเห็นได้จากระยะไกล แล้วไปเดินเล่นต่อที่ทาวน์สแควร์ และถ่ายรูปศาลากลางจังหวัดอันงดงาม ใกล้ ๆ กันสามารถเดินตามถนนที่มีชื่อเสียงของเมือง (Stari trg) หรือแวะไปที่สวนกลางเมือง (Congress Square) ก็เป็นไอเดียที่ดีเหมือนกัน
ถ้ายังไม่เหนื่อยไปต่อกันที่กำแพงโรมันเก่า ตามด้วยก้าวผ่านจัตุรัสประวัติศาสตร์ (Trg republike) ที่ใช้เป็นสถานที่ประกาศเอกราชของสโลวีเนียเมื่อ ปี ค.ศ. 1991 และปิดท้ายด้วยการพักผ่อนที่สวนสาธารณะ Tivoli Park ที่ใหญ่ที่สุดของลูบลิยานา
ที่พักในลูบลิยานา LINA ROOMS: เกสต์เฮาส์ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองเพียง 20 นาที เดินไปที่เที่ยวยอดนิยมสะดวก เจ้าของเป็นครอบครัวเอเชียใจดีมากและที่สำคัญมีที่จอดรถให้ฟรี ห้องพักสะอาด ใช้ห้องน้ำแชร์ มีตู้เย็นให้แช่อาหารได้ ส่วนชั้นใต้ดินมีห้องครัว เครื่องซักผ้า และที่รีดผ้าไว้บริการฟรี และยังมีซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใกล้เพียง 5 นาที → ตรวจสอบราคาและห้องว่างตอนนี้เลย
ขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง: Day 7
(ขับรถบนเส้นทางที่สวยที่สุดของสโลวีเนีย)
วันที่ 7 ออกเดินทางจากลูบลิยานาและมุ่งหน้าสู่ Vršič Pass ซึ่งเป็นเส้นทางขับรถที่สวยที่สุดในสโลวีเนีย อยู่ที่ระดับความสูง 1,661 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีความยาวทั้งหมด 43.4 กม. ต้องขับผ่านถึง 50 โค้งด้วยกัน และใช้เวลาขับประมาณ 2-3 ชั่วโมง อาจจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับเวลาที่แวะพักแต่ละจุด โดยจุดเริ่มต้นของเส้นทาง Vršič Pass อยู่ที่ถนนหมายเลข 206 บริเวณทางแยกระหว่างถนน Borovška cesta และ Kranjska Gora (กดดูแผนที่ประกอบ) พอเห็นทางแยกก็ขับตรงมาได้เลย
ไฮไลท์บนเส้นทางขับรถ Vršič Pass
ขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง: Day 8
(เที่ยวทะเลสาบเบลด + หุบเขาวินท์การ์จอร์จ)
เที่ยวทะเลสาบเบลด (Lake Bled)
เบลดเป็นทะเลสาบในเทือกเขาจูเลียนแอลป์ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสโลวีเนีย ห่างจากเมืองหลวงลูบลิยานาเพียง 55 กม. สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เดินทางมาชมเยียมเยือนที่นี่คงหนีไม่พ้นทัศนียภาพที่งดงามล้อมรอบด้วยภูเขาและป่า ใจกลางทะเลสาบยังโดดเด่นด้วยปราสาทเบลดและโบสถ์จากศตวรรษที่ 11 เป็นแหล่งสะท้อนความงดงามทางวัฒนธรรม ที่นี่จึงเหมาะทีเดียวที่สำหรับการใช้เวลาพักผ่อนหย่อนใจอย่างเต็มที่
ด้วยความที่เบลดเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากมีขนาดกะทัดรัดเหมาะสำหรับการเที่ยว 1-2 วัน หรือแม้กระทั่งการเที่ยวแบบเดย์ทริปจากลูบลิยานา เราสามารถใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงเพื่อเดินสำรวจรอบทะเลสาบ ถ้าอยากเห็นทัศนียภาพอันแสนโรแมนติกของทะเลสาบเบลดแบบพาโรนามาแนะนำให้เดินเดินป่าขึ้นไปยังจุดชมวิว “Mala Osojnica” ที่ความสูงประมาณ 756 เมตร ใกล้ ๆ กันมีเส้นทางเดินสำรวจเนินเขาสตราจา “Straža” และเล่นรถรางโคสเตอร์ลงเขาได้อีกด้วย
ถ้าต้องการล่องเรือเพลตนาในทะเลสาบ เข้าชมโบสถ์และปราสาทบนยอดเขาควรเผื่อเวลาไว้ประมาณหนึ่งวัน ซึ่งสามารถเที่ยวได้แบบเดย์ทริปร่วมกับหุบเขาวินท์การ์จอร์จ (Vintgar Gorge) ที่ห่างออกไปเพียง 15 นาที สำหรับคนที่อยากดื่มด่ำธรรมชาติที่ทะเลสาบเบลดแบบเต็มอิ่มแพลนเที่ยว 2-3 วันกำลังดี
เที่ยวหุบเขาวินท์การ์จอร์จ (Vintgar Gorge)
วินท์การ์จอร์จ หรือช่องเขาเบลดจอร์จ (Bled Gorge) เป็นหนึ่งในที่เที่ยวทางธรรมชาติยอดนิยมของสโลวีเนีย ตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบเบลดไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 15 นาที สามารถแวะไปชมความงดงามกันภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง ความน่าสนใจของหุบเขาวินท์การ์จอร์จคือเส้นทางธรรมชาติที่ลัดเลาะไปตามสะพานไม้ความยาวประมาณ 1.6 กิโลเมตรที่เราจะได้สัมผัสถึงความอุดมสมบูรณ์ของแอ่งน้ำตามธรรมชาติและชมธารน้ำตกเสียงดังที่มีความสูงถึง 13 เมตร หากโชคดีระหว่างทางอาจจะได้เห็นรถไฟขับผ่านสะพานรถไฟโบฮินจ์อีกด้วย
ขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง: Day 9
(เที่ยวทะเลสาบโบฮินจ์แบบเดย์ทริป)
โบฮินจ์เป็นทะเลสาบถาวรที่ใหญ่ที่สุดในสโลวีเนีย ตั้งอยู่ห่างจากทะเลสาบเบลดเพียง 35 นาที เปรียบเสมือนอัญมณีสีเขียวซ่อนเร้นความงดงามอยู่ภายในหุบเขาโบฮินจ์ของเทือกเขาจูเลียนแอลป์ และยังเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติทริคลาฟที่สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์
ทะเลสาบโบฮินจ์เหมาะสำหรับผู้ที่ถวิลหาธรรมชาติ มีกิจกรรมให้เลือกทำหลากหลาย ตั้งแต่ชมเดินเล่นชมความงดงามของทะเลสาบไปจนถึงขึ้นกระเช้าลอยฟ้าไปยอดเขาโวเกล (Mount Vogel) ท้าทายความสูง 1,922 เมตรที่จะมอบประสบการณ์อันไม่รู้ลืม
ติดกับทะเลสาบคือที่ตั้งของโบสถ์เซนต์จอห์นเดอะแบปทิสต์อายุว่า 700 ปี ถัดจากโบสถ์เดินข้ามสะพานแวะไปถ่ายภาพรูปปั้นชามัวร์เขาทอง อย่าลืมนั่งเรือพาโนรามาในทะเลสาบโบฮินจ์ หรือจะว่ายน้ำในทะเลสาบคลายความร้อนก็เป็นไอเดียที่ดีเหมือนกัน
ไม่ไกลจากทะเลสาบประมาณ 10 นาที มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติยอดนิยมอีกหนึ่งแห่งที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาทริคลาฟ นั้นก็คือน้ำตกซาวิก้า (Savica Waterfall) เจ้าของความสูง 78 เมตร โดดเด่นด้วยสายน้ำขนาดเล็กและใหญ่ที่แยกตัวกันออกมาเป็นรูปทรงตัวอักษร A สามารถเที่ยวได้ภายในเวลา 1 ชั่วโมง
ที่เที่ยวและกิจกรรมที่กล่าวไปข้างต้นสามารถเที่ยวได้ครอบคลุมแบบเดย์ทริป ส่วนใครที่มีเวลา 1-2 วันแนะนำให้เพิ่มการเดินป่าชมธรรมชาติและธารน้ำตกที่สวยงาม เช่น เส้นทางเดินป่าไปยังทะเลสาบ Seven Lakes Valley เหมาะสำหรับสายชอบเดินและมีเวลาประมาณครึ่งวัน ใช้เวลาเดินประมาณ 2-4 ชั่วโมง เส้นทางเดินง่าย (ดูเส้นทางในแผนที่ประกอบ) มีจุดแวะพักชมวิวหลายแห่ง และท้ายที่สุดเราจะพบกับทะเลสาบที่สวยงามเป็นรางวัลตอบแทนความเหนื่อย
เช่นเดียวกับเส้นทางเดินป่าไปยังช่องเขา Mostnica Gorge และน้ำตก Voje Gorge มีความคล้ายคลึงกับหุบเขาวินท์การ์จอร์จ (Vintgar Gorge) ที่เที่ยวใกล้ทะเลสาบเบลดแต่ใช้เวลาเดินนานกว่าและมีคนพลุ่กพล่านน้อยกว่า การเดินผ่านหุบเขาในเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง และเดินต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งไปยังน้ำตก Voje ทั้งหมดนี้จะคุ้มค่ากับการเดินมากหากเป็นสายรักธรรมชาติ และควรเผื่อเวลารวมการเดินไปกลับ 4-5 ชั่วโมง
ที่พักในทะเลสาบโบฮินจ์ Farmhouse Soklic: อพาร์ตเมนต์มาพร้อมสวนดอกไม้ที่มีบรรยากาศร่มรื่น ตั้งอยู่ใกล้ป้ายรถโดยสารประจำทาง สามารถเดินทางไปทะเลสาบโบฮินจ์สะดวก ห้องพักตกแต่งแบบเรียบง่ายแต่ลงตัว เจ้าของใจดี มีนมสดจากฟาร์มให้ทานทุกเช้า → ตรวจสอบราคาและห้องว่างตอนนี้เลย
ขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง: Day 10
(ขับรถไปบูดาเปสต์ + เที่ยวปราสาท Bory)
เช้าวันที่ 10 เราต้องโบกมือลาทะเลสาบเบลดเพื่อเดินทางต่อไปยังบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ใช้เวลาขับรถประมาณ 6 ชั่วโมง และเป็นอีกเช่นกันที่เรามีเวลาเหลือประมาณ 2-3 ชั่วโมงก่อนจะถึงบูดาเปสต์ จึงตัดสินใจแวะไปเที่ยวที่ปราสาท Bory Castle ในเมืองเซแกชแฟ เฮร์วาร์ (Székesfehérvár) สามารถเที่ยวได้ภายใน 2 ชั่วโมง ก่อนจะเดินทางต่ออีก 1 ชั่วโมงไปถึงที่พักนอกเมืองบูดาเปสต์ มีเวลาเหลือเช็คอินเข้าที่พัก ขับรถออกไปหาซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต และเตรียมตัวเที่ยวในวันรุ่งขึ้นแบบผ่อนคลาย
ที่พักในบูดาเปสต์ HELIOS Hotel Apartments: ที่พักราคาประหยัดตั้งอยู่ทางฝั่งบูดาห่างจากใจกลางเมืองบูดาเปสต์ประมาณ 20 นาที เดินทางเข้าเมืองสะดวกด้วยรถบัส ห้องพักมีขนาดใหญ่ มีระเบียงและห้องน้ำส่วนตัว มาพร้อมพื้นที่สามารถทำอาหารทานเองได้ พนักงานใจดี และที่สำคัญมีที่จอดรถฟรี → ตรวจสอบราคาและห้องว่างตอนนี้เลย
ขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง: Day 11-12
(เที่ยวบูดาเปสต์ 2 วัน)
บูดาเปสต์เป็นเมืองหลวงที่สวยงามของฮังการี ตั้งอยู่ในทวีปยุโรปตะวันออกซึ่งอยู่ห่างจากเมืองปราก (Prague) ประมาณ 525 กิโลเมตร ได้ชื่อว่าเป็นมหานครที่มีเสน่ห์ติดอันดับโลก จนได้รับรับฉายาว่าเป็น “ไข่มุกแห่งแม่น้ำดานูบ” ซึ่งมาจากสายน้ำขนาดใหญ่ที่แบ่งบูดาเปสต์ออกเป็นสองฝั่งด้วยกัน คือ “บูดา” (Buda) ซึ่งเป็นเนินเขาและที่อยู่อาศัย และ “เปสต์” (Pest) ซึ่งเป็นพื้นที่ราบและย่านการค้า ทั้งสองฝั่งนั้นเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมอันน่าสนใจ
เพื่อความประหยัดก่อนไปเที่ยวบูดาเปสต์ลองพิจารณา → ซื้อบัตร Budapest Card ครอบคลุมการเที่ยวในบูดาเปสต์ 1-5 วัน ใช้เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะแบบไม่จำกัดและเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมและพิพิธภัณฑ์ชั้นนำในบูดาเปสต์กว่า 30 แห่งได้ฟรี นอกจากนี้ยังรวมถึงเข้าร่วมทัวร์ชมเมืองกับไกด์ท้องถิ่นชำนาญการ และผ่อนคลายไปกับสระน้ำร้อนที่ St. Lukacs Thermal Bath พร้อมรับส่วนลด 50% สำหรับการล่องเรือ ร้านอาหาร และกิจกรรมอื่น ๆ
ที่เที่ยวยอดนิยมในบูดาเปสต์
เที่ยวบูดาเปสต์วันที่ 1
เริ่มต้นการเที่ยววันแรกในบูดาเปสต์ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ใกล้ริมแม่น้ำดานูบอย่างอาคารรัฐสภาฮังการี (Hungarian Parliament Building) ตามด้วยรองเท้าแห่งชีวิตริมแม่น้ำดานูบ (Shoes on the Danube Bank) จากนั้นข้ามสะพานเชน (Chain Bridge) เพื่อไปชมปราสาทบูดา (Buda Castle) ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือโบสถ์แมทเทียส (Matthias Church) ป้อมปราการชาวประมง (Fishermen’s Bastion) พระราชวังซันดอร์ (Sándor Palace Hungary) รวมถึงวิหารเซนต์สตีเฟ่น (St. Stephen’s Basilica) ถ้ายังไม่เหนื่อยอย่าลืมแวะไปที่จัตุรัสลิเบอร์ตี้ (Liberty Square) และสวนสาธารณะเอลิซาเบซใจกลางเมือง (Elizabeth Square)
บูดาเปสต์นอกจากจะมีที่เที่ยวที่สวยงามแล้วยังมีอาหารน่าทานอยู่หลายเมนู ไม่ว่าจะเป็น สตูว์เนื้อวัว (gulyás) ซุปชาวประมง (Halászlé) ซุปผักรวม (Főzelék) พาสต้าราดชีสรสเผ็ด (Túrós Csusza) กะหล่ำปลีดองยัดไส้ (Töltött Káposzta) รวมถึงขนมปล่องไฟ (Kürtös Kalács) และเค้กฟองน้ำเนื้อนุ่ม (Somlói Galuska) ฯลฯ
แน่นอนว่ามาถึงที่นี่แล้วเราจะไปลองทานสตูว์เนื้อวัว (gulyás) ที่ร้านอาหารฮังการีดั้งเดิม VakVarjú Restaurant มีคะแนนรีวิวสูง 4.4 ในกูเกิ้ลเลยทีเดียว เมนูที่สั่งมาแน่นอนว่าต้องเป็นกูยาช ตามด้วยซุปปลาชาวประมง รอไม่นานก็มาเสิร์ฟพร้อมขนมปัง พอได้ทานเข้าไปแล้วรสชาติอร่อยไม่ผิดหวัง ส่วนซุปปลาชาวประมงรสชาติคล้าย ๆ แกงเผ็ดบ้านเรา โดยรวมแล้วคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป 40 ยูโร (สองคน) ใครที่สนใจอยากไปตามต่อร้านเปิดทุกวันเวลา 11:00-23:30 น. อย่าลืมจองโต๊ะล่วงหน้าด้วยนะคะ
อย่าลืมแวะไปอ่าน → วางแผนเที่ยวบูดาเปสต์ 2 วัน 3 คืน ครอบคลุมที่เที่ยวในบูดาเปสต์ การเดินทางเข้าเมืองด้วยระบบขนส่งมวลชน ที่พักราคาประหยัด กิจกรรมน่าสนใจ และสิ่งที่ควรรู้ก่อนไปเยือนบูดาเปสต์ด้วยตัวเอง
เที่ยวบูดาเปสต์วันที่ 2
วันที่ 2 ของการเที่ยวบูดาเปสต์ เราจะไปต่อกันที่ที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์อย่างจัตุรัสวีรบุรุษ (Hero Square) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้สวนสาธารณะเมืองบูดาเปสต์ (City Park) จากนั้นก็ไปชมปราสาทไวย์ดาฮุดยาด (Vajdahunyad Castle) ต่อด้วยเดินเล่นและแวะพักที่จุดขึ้นบอลลูนชมวิว (BalloonFly) ซึ่งอยู่ใกล้กับสระอาบน้ำเซเยนซี (Szechenyi Thermal Bath) ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือแวะไปทานอาหารราคาถูกที่ตลาดสดในร่มบูดาเปสต์ (Great Market Hall) และปิดท้ายด้วยขนมหวานและกาแฟที่นิวยอร์กคาเฟ่ (New York Café)
ขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง: Day 13
(ขับรถไปปราก + เที่ยวบราติสลาวาครึ่งวัน)
ทริปขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลางเดินทางมาถึงวันประเทศที่ 4 แล้ว ต่อไปเราก็จะออกเดินทางจากบูดาเปสต์ไปยังประเทศที่ห้านั้นก็คือสโลวาเกีย เป็นการแวะเที่ยวแบบครึ่งวันที่เมืองหลวงบราติสลาวา ซึ่งเป็นที่รู้จักจากประวัติศาสตร์อันยาวนานและมรดกทางวัฒนธรรม ตลอดจนสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงาม รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำหลายแห่ง เช่น ย่านเมืองเก่า ปราสาทบราติสลาวา พิพิธภัณฑ์แห่งชาติสโลวาเกีย และหอสังเกตการณ์ยูเอฟโอ
บราติสลาวาเป็นเมืองที่มีเสน่ห์และให้บรรยากาศที่ผ่อนคลายคล้ายกับลูบลิยานาเมืองหลวงของสโลวีเนีย ที่เที่ยวยอดนิยมตั้งอยู่ใกล้กันสามารถเดินจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งได้ง่ายโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทาง และยังมีความปลอดภัยต่อการท่องเที่ยว โดยเฉพาะย่านเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสัมผัสได้ถึงความชีวิตชีวาของเมือง
ที่เที่ยวยอดนิยมในบราติสลาวา
นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาไปกับการเข้าชมปราสาทบราติสลาวา (Bratislava Castle) ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมือง ตามด้วยจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นแม่น้ำดานูบและหอสังเกตการณ์ยูเอฟโอ (UFO Observation Deck) ต่อด้วยมหาวิหารเซนต์มาร์ติน (St. Martin’s Cathedral) ที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่ย่านเมืองเก่าเพื่อสำรวจที่เที่ยวยอดนิยมอื่น ๆ เช่น ชมรูปปั้นตัวแทนคนทำงานหนัก (Čumil) ชมอดีตศาลากลางบราติสลาวา (Old Town Hall) ตามด้วยชมพระราชวังพริเมท (Primate’s Palace) แกลเลอรีงานศิลปะสมัยใหม่ (Gallery Nedbalka) ถ้ามีเวลาเหลืออย่าลืมแวะไปเยือนโบสถ์สีฟ้า (Blue Church) และแวะพักที่จัตุรัสฮวิซโดสลาฟใจกลางเมืองเก่า (Hviezdoslav Square)
บราติสลาวาเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากสามารถใช้เวลาเดินเที่ยวแบบเดย์ทริปก็ครอบคลุมสถานที่เที่ยวยอดนิยมรวมถึงย่านเมืองเก่าแล้ว แต่ถ้ารู้สึกว่ารวบรัดจนเกินไปอาจจะใช้เวลาสัก 1-2 วัน โดยวันแรกเที่ยวที่ปราสาทและย่านเมืองเก่า ส่วนวันที่สองก็ต่อด้วยย่านนอกเมืองเก่า อ่านต่อ → วางแผนเที่ยวบราติสลาวาเมืองหลวงโปรยเสน่ห์ของสโลวาเกีย
ขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง: Day 14-15
(เที่ยวปราก 2 วัน)
ปรากเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่มีเสน่ห์มนต์ขลังที่สุดในยุโรป และยังเป็นเจ้าของฉายาชื่อเล่น “The Heart of Europe” เชื่อเลยว่าปรากเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางในฝันของใครหลายคน ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานจากยุคโรมาเนสก์ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่รุ่งโรจน์ด้วยสถาปัตยกรรมสมัยกอทิก เรเนสซองส์ และบาโรก ทั้งยังที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ปรากจึงดูดผู้คนหลากหลายทั่วโลกให้เดินทางมาสัมผัสความงดงามด้วยตาตัวเอง
ด้วยความที่ปรากเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากนักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลา 2-3 ก็เพียงพอสำหรับการเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ อย่างครอบคลุม ที่เที่ยวยอดนิยมส่วนใหญ่ในปรากตั้งอยู่ในพื้นที่ปราก 1 โดยแบ่งออกเป็นย่านเมืองเก่าและย่านเมืองใหญ่ ทั้งสองฝั่งขั้นกลางด้วยทัศนียภาพที่สวยงามของแม่น้ำวัลตาวาเชื่อมต่อถึงกันโดยสะพานชาร์ลส์
เราสามารถเริ่มต้นเดินเที่ยวได้จากเขตเมืองเก่าไปยังเขตเมืองใหม่ซึ่งมีปราสาทปรากเป็นไฮไลท์ของที่นั้น ถ้าไม่สะดวกเดินรถรางสาย 22 และ 42 เป็นตัวเลือกที่ดีในการเข้าถึงสถานที่ยอดนิยมของปรากได้สะดวกในราคาประหยัด หากมีเวลาเหลือเพิ่มเติมลองแวะไปเที่ยวแบบเดย์ทริปที่เมืองเชสกี้คุมลอฟ (Cesky krumlov) หรือจะแวะไปที่ปราสาทเก่าแก่จากศตวรรษที่ 14 (Karlštejn Castle) ก็น่าสนใจเช่นกัน
เพื่อความประหยัดก่อนไปเที่ยวปรากลองพิจารณา → ซื้อบัตร Prague Card ครอบคลุมการเที่ยวในปราก 2-5 วัน ใช้เข้าชมที่เที่ยวยอดนิยมในปรากกว่า 60 แห่งฟรี เช่น Prague Castle, St. Vitus Cathedral, St. George’s Basilica, Old Royal Palace, Golden Lane, Old Town Hall with Astronomical Clock, Powder Tower, Old Town Bridge Tower, Lesser Town Bridge Towers, Petrin Tower รวมถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (9 แห่ง) และใช้เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในปรากได้ไม่จำกัดเที่ยว เช่นเดียวกับการเดินทางจากสนามบินแบบไปกลับด้วย Airport Express
นอกจากนี้ยังรวมรถรางสายประวัติศาสตร์ 42 รถบัสนำเที่ยวและล่องเรือฟรี พร้อมรับส่วนลด 50% สำหรับทัวร์ โรงละคร คอนเสิร์ต ร้านอาหาร และกิจกรรมอื่น ๆ บัตรราคา 89 ยูโร (2 วัน) 119 ยูโร (3 วัน) และ 155 ยูโร (5 วัน) มาพร้อมแผนที่นำเที่ยวในมือถือและคู่มือแบบโต้ตอบฟรี
ที่เที่ยวยอดนิยมในปราก
เที่ยวปรากวันที่ 1
เริ่มต้นเที่ยววันแรกในปรากที่ย่านเมืองเก่า หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “Staré Mesto” พาตัวเองไปโลดแล่นในศูนย์กลางการท่องเที่ยวของปราก สัมผัสบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและความงดงามของอาคารเก่าแก่ที่สะท้อนสถาปัตยกรรมแบบกอทิกจากยุคกลางไว้อย่างวิจิตรบรรจง ครอบคลุมที่เที่ยวสำคัญ เช่น จัตุรัสเมืองเก่า (Old Town Square) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ของกรุงปรากตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ดูนาฬิกาดาราศาสตร์ (Astronomical Clock) โดยมีไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้ คือ ทุก ๆ หนึ่งชั่วโมงเหล่าอัครสาวกทั้ง 12 คนจะออกมาปรากฏตัวผ่านหน้าต่างบานเล็กสองบาน
อย่าลืมขึ้นไปบนหอคอยศาลาว่าการเมืองเก่า (Old Town Hall) เพื่อชมพร้อมวิวที่สวยงามแบบรอบด้านของเมือง สามารถมองเห็นจัตุรัสเมืองเก่า รวมไปถึงโบสถ์ติน (Church of Our Lady before Týn) โบสถ์เซนต์นิโคลัส (St.Nicholas Church) และปราสาทปราก (Prague Castle) จากระยะไกล
ไม่ไกลจากจัตุรัสเมืองเก่าจะพบกับซุ้มประตูเมือง (Powder Tower) ในอดีตนั้นเคยใช้เป็นทางเข้าขบวนพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์เช็กสู่เมืองเก่า จากนั้นเดินต่อไปเพื่อข้ามสะพานชาร์ลส์ (Charles Bridge) ความโดดเด่นของที่นี่คือเป็นสะพานหินทรายขนาบข้างด้วยหอคอยที่มีป้อมปราการของหอสะพานเมืองใหม่ (Lesser Town Bridge Towers) และหอสะพานเมืองเก่า (Old Town Bridge Tower) สะพานขั้นกลางด้วยแม่น้ำวัลตาวาโดยมีฉากหลังเป็นบ้านเรือนเมืองเก่าและเรือทัวร์ ส่วนอีกฝั่งจะมองเห็นปราสาทปรากที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ยิ่งถ้ามาในช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกยิ่งให้ความโรแมนติกแบบสุด ๆ ไปเลย
เมื่อเดินผ่านหอสะพานเมืองใหม่มาแล้วจะเข้าสู่มาลาสตรานา (Malá Strana) เป็นย่านที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเมือง จากนั้นเดินขึ้นเขาไปยังปราสาทปราก (Prague Castle) เป็นสถานที่เที่ยวยอดนิยมที่ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้ และยังเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐเช็กมานานนับพันปี ด้านในมีพื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ที่สามารถเดินเล่นรอบ ๆ ได้ฟรี และมีค่าเข้าชมบางส่วนสำหรับพื้นที่ปิด ราคา 250 CZK (รวม Old Royal Palace, St. George’s Basilica, Golden Lane และ St. Vitus Cathedral)
ความน่าสนใจของปราสาทปรากไม่เพียงแค่มีสถาปัตยกรรมที่งดงามตระการตาเท่านั้น แต่พื้นที่โดยรอบกว่า 247 ไร่ยังเต็มไปด้วยอาคารทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ รวมถึงพระราชวัง โบสถ์ขนาดใหญ่ ป้อมปราการ และสวนดอกไม้ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงาม ครอบคลุมถึงมหาวิหารเซนต์วิตัส (St. Vitus Cathedral) มหาวิหารเซนต์จอร์จ (St. George’s Basilica) พระราชวังเก่า (Old Royal Palace) หอคอยปราสาทปราก (Great South Tower of the Cathedral) ถนนสายทองทองคำ (Golden Lane) และนิทรรศการถาวรนำเสนอมุมมองทางประวัติศาสตร์ของปราสาทปราก (The Story of the Prague Castle)
ถัดจากด่านฟ้าชมวิวทางขวามือจะเป็นทางเข้าไปยังสวนดอกไม้ทางใต้ของปราสาทสามารถมองเห็นวิวของกรุงปรากทอดยาวไปถึงสะพานชาร์ลส์ (Charles Bridge) และจัตุรัสเมืองเก่า (Old Town Square) ได้ในระยะไกล และถ้าเดินต่อไปอีกจนถึงสวน Paradise Garden จะพบกับประตูทางออกของปราสาท
ความน่าสนใจอีกหนึ่งอย่างสำหรับคนที่ไปเที่ยวปราสาทปรากก็คือพิธีการเปลี่ยนเวรยามของทหารรักษาการณ์ รวมทั้งการประโคมแตรเดี่ยวและพิธีชักธงที่จะมีให้เห็นทุกวันเวลา 12.00 น. ณ ลานแรก ส่วนการเปลี่ยนเวรยามที่ประตูปราสาทมักจะมีเวลา 07:00-20.00 น. (ฤดูร้อน) และระหว่างเวลา 07:00-18:00 น. (ฤดูหนาว)
ปราสาทปรากมีขนาดใหญ่พอสมควร ควรเผื่อเวลาไว้สำหรับการเดินชมแบบทั่วประมาณ 3-4 ชั่วโมง ช่วงเวลาที่แนะนำคือ 08:00-11:00 และ 15:00 น. เป็นต้นไป วันธรรมดาคนจะน้อยกว่าวันเสาร์อาทิตย์
เที่ยวปรากวันที่ 2
วันที่ 2 ของการเที่ยวในปรากเราจะไปต่อกันที่ย่านเมืองใหม่ (New Town) ซึ่งเป็นศูนย์รวมการค้าที่มีบรรยากาศคึกคัก โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่จัตุรัสเวนเซสลาส (Wenceslas Square) รายล้อมด้วยโรงแรม คาเฟ่ และร้านค้าชื่อดัง โดยมีสัญลักษณ์ที่โดดเด่น คือ รูปปั้นนักบุญเวนเซสลาสผู้อุปถัมภ์แห่งชาติของโจเซฟ วาคลาฟ มายส์เบค ผู้ซึ่งได้รับฉายาว่า “กษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรม” ตั้งสง่าอยู่ด้านหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
จัตุรัสเวนเซสลาสยังรวมที่เที่ยวชื่อดังหลายแห่ง ครอบคลุมถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (National Museum) ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้านการศึกษา มีไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดก็คือโดมส่วนกลางที่มีจุดชมวิวที่สวยงามสามารถมองเห็นจัตุรัสเวนเซสลาสและคือรูปปั้นของนักบุญเวนเซสลาสอย่างลงตัว
ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสามารถเดินผ่านย่านการค้าในจัตุรัสเวนเซสลาสประมาณ 15 นาทีจะพบกับอาคารพลเมือง (Municipal House) เป็นหนึ่งในอาคารที่สวยงามที่สุดในยุคอาร์ตนูโว จากอาคารพลเมืองผ่านจัตุรัสเมืองเก่าเราสามารถเดินประมาณ 23 นาทีข้ามสะพานชาร์ลส์ไปยังย่านมาลาสตรานา จากนั้นจะพบกับโบสถ์เซนต์นิโคลัส (St.Nicholas Church) ด้านในมีความหรูหราวิจิตรตระการตา ติดกับโบสถ์มีหอคอยความสูง 65 เมตร รวมถึงหอระฆังจากปี ค.ศ. 1755 สามารถเดินขึ้นบันไดวน 215 ขั้นเพื่อชมทิวทัศน์ที่สวยงามของอาคารโดยรอบ มองเห็นปราสาทปรากรวมถึงจัตุรัสของเมืองและหอสะพานเมืองใหม่อีกด้วย
จากโบสถ์เซนต์นิโคลัสสามารถเดินต่ออีกต่อประมาณ 15 นาทีจะพบกับพระอารามสตราร์โฮฟ (Strahov Monastery) เป็นอารามเปรมงสตราเทนเซียนที่เก่าแก่ที่สุดในโบฮีเมียและเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญที่สุดในสาธารณรัฐเช็ก ด้านในมีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสประกอบไปด้วยสถานที่สำคัญอีกหลายแห่ง เช่น
- ห้องสมุดอาราม (Strahov Library)
- หอเทววิทยา (Baroque Theological Hall)
- หอนักปรัชญา (Philosophers’ Hall)
- อนุสาวรีย์วรรณกรรมแห่งชาติ (Monument of National Literature)
- คริสตจักรโรมันคาทอลิก (Basilica of the Assumption of the Virgin Mary at Strahov)
- และพื้นที่จัดแสดงแกลเลอรี่ทางศาสนา (Strahovská obrazárna)
ใกล้กับพระอารามสตราร์โฮฟยังเป็นที่ตั้งของหอคอยลุคเอาท์เปอตริน (Petrin Tower) หนึ่งในแลนด์มาร์คที่โดดเด่นที่สุดของปรากเป็นเจ้าของความความสูง 58.70 เมตร และมีขั้นบันได 299 ขั้นรวมถึงลิฟต์ขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบนที่ไม่เพียงแต่มองเห็นเมืองทั้งเมืองเท่านั้น แต่ในวันที่อากาศแจ่มใสยังสามารถมองเห็นโบฮีเมียได้เกือบทั้งหมด
จากหอคอยลุคเอาท์เปอตรินสามารถเดินลงเขาไปยังย่านมาลาสตรานาเพื่อข้ามสะพาน Legion Bridge ไปยังที่เที่ยวยอดนิยมอีกหนึ่งแห่งในปรากได้นั้นก็คือบ้านเต้นรำแดนซิ่งเฮาส์ (Dancing House) เป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในกรุงปรากที่มีรูปร่างน่าสนใจ
ปัจจุบันด้านในเป็นที่ตั้งของร้านอาหารร่วมสมัยบนชั้น 7 มีบาร์กระจกที่ชั้นบนสุดพร้อมวิว 360 องศาของกรุงปราก รวมไปถึงแกลลอรีจัดแสดงภาพเขียนและภาพวาด ส่วนชั้น 2 นั้นเป็นที่ตั้งของโฮสเทลให้บริการห้องพักจำนวน 40 ห้อง ใครที่สนใจสามารถแวะไปเยี่ยมชมร้านอาหารและเพลิดเพลินกับวิวจากระเบียงดาดฟ้าโดยไม่มีค่าธรรมเนียม เปิดทุกวัน เวลา 07:00-22:00 น. บาร์กระจกเปิดเวลา 10:00-22:00 น. ส่วนแกลเลอรีเปิดทุกวัน เวลา 09:00-19:00 น. มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
ทานอาหารเช็กดั้งเดิม
อาหารในเช็กมักมีชื่อเสียงเกี่ยวกับขนมอบและเนื้อสัตว์รสชาติอร่อย ที่คนมักจะพูดถึงกันบ่อยก็คือ สตูว์เนื้อวัว (Goulash) แซนด์วิชแบบเปิด (Chlebíčky) ไส้กรอกย่าง (Grilované klobásy) แพนเค้กเช็ก (Palačinky) เนื้อตุ๋น (Svíčková) ขาหมูต้มสมุนไพร (Pork knuckle) ซุปมันฝรั่ง (Kulajda) ชีสทอด (Smažený sýr) และเตอร์แด็ลญีก (Trdelnik) เป็นต้น
และแนะนอนว่าไม่ควรพลาดที่จะลองทานสตูว์เนื้อวัว (Goulash) มีต้นกำเนิดมาจากฮังการี ส่วนของเช็กจะมีสไตล์เป็นของตัวเอง เนื้อวัวมีรสชาติมันเข้มข้นและเผ็ดด้วยพริกแห้ง ใส่ผักเล็กน้อยและเสิร์ฟพร้อมเกี๊ยวหรือทานคู่กับขนมปัง ร้านที่เราไปลองและประทับใจเกินความคาดหมาย คือ Restaurace Mlejnice เป็นร้านอาหารเช็กแบบดั้งเดิมอยู่ห่างจากนาฬิกาดาราศาสตร์แค่หนึ่งนาที นอกจากขายอาหารเช็กแล้วที่นี่ก็ยังมีบาร์สำหรับดื่มเบียร์เช็กด้วย ร้านเปิดทุกวันเวลา 11:00-23:00 น. ค่าอาหารสองคนรวมทิปและเครื่องดื่มประมาณ 30 ยูโร
ขนมเตอร์แด็ลญีก (Trdelnik)
Trdelnik มีต้นกำเนิดมาจากประเทศสโลวาเกีย ปัจจุบันพบเห็นอย่างแพร่หลายทั่วย่านท่องเที่ยวในกรุงปราก ทำมาจากแป้งที่พันรอบแท่งเหล็กแล้วนำไปย่างและราดด้วยน้ำตาลผสมวอลนัท ที่นิยมในปรากจะใส่ไส้ไอศกรีม ร้านที่เราไปลองชื่อว่า Trdelník Sweet Chimney Cake อยู่ใกล้กับหอสะพานเมืองใหม่ มีหลายแบบให้เลือก เพิ่มท็อปปิงผลไม้ หรือโรยเม็ดสีก็ได้ ทานแล้วหวานอร่อย
ขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง: Day 16
(ขับรถกลับเนเธอร์แลนด์)
ทริปขับรถเที่ยวทางไกลในยุโรปตอนกลาง 2 อาทิตย์ จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี สโลวีเนีย ฮังการี สโลวาเกีย และสาธารณรัฐเช็ก ได้เดินทางมาถึงวันสุดท้ายแล้ว จากนี้เราก็ต้องขับรถกันยาวถึง 12 ชั่วโมงเพื่อเดินทางกลับไปยังประเทศเนเธอร์แลนด์ และหยุดพักประมาณ 3-4 ครั้งก่อนจะถึงบ้านอย่างปลอดภัย
นับว่าเป็นอีกหนึ่งทริปที่เราภูมิใจมาก ๆ กับการเดินทางไปยัง 5 ประเทศใหม่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้สัมผัสประสบการณ์กับโลกอันกว้างใหญ่ที่ทำให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วมนุษย์เราตัวเล็กแค่นิดเดียว และยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่รอให้เราไปสัมผัสด้วยตัวเอง จะว่าไปในทุก ๆ ทริปการเที่ยวที่จบลงมันคือการเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งใหม่แบบนี้นี่เอง
อีกอย่างตลอดหลายเดือนก่อนที่ทริปนี้จะเกิดขึ้นได้พยายามหาข้อมูลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้การเดินทางราบรื่นที่สุด และแม้จะมีบางช่วงที่อากาศไม่เป็นใจบ้าง หรือต้องเปลี่ยนที่นอนที่ตัวเองไม่คุ้นชิน แต่ด้วยคนสำคัญที่ร่วมจับมือเดินทางไปด้วยกันแบบไม่หวั่น รวมถึงช่วงเวลาดี ๆ ที่เราสองคนได้ทำร่วมกันตลอดทริปนี้มันมีค่ามากกว่าสิ่งไหน ๆ และแน่นอนว่าเราสองคนก็อยากที่จะขับรถเที่ยวทางไกลด้วยกันแบบนี้อีก แต่จะเป็นที่ไหนนั้นแน่นอนว่าจะมาแชร์ประสบการณ์ให้กับผู้อ่านทุกคนในบทความต่อ ๆ ไป ฝากติดตามและเป็นกำลังใจให้บล็อกเล็ก ๆ ของเยาว์วี่ด้วยนะคะ
กำลังมองหาแผนขับรถเที่ยวยุโรปอีกหรือไม่? ลองแวะไปอ่าน → วางแผนขับรถเที่ยวฝรั่งเศส ที่ไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะแค่การเที่ยวในปารีสเท่านั้น แต่ยังรวมการเที่ยวในชาโมนิกซ์-มองบลังค์ และเฟรนช์ริเวียร่า รวมการออกแคมป์ปิ้งสายประหยัด ตลอดจนเรื่องน่ารู้ก่อนมาเที่ยวฝรั่งเศสด้วยตัวเอง
แหล่งข้อมูลวางแผนเที่ยว
Thank you
การเปิดเผย: บทความนี้มีลิงก์แอฟฟิลิเอทบางส่วน การกดที่ลิงก์ไม่มีค่าใช้จ่าย หากซื้อสินค้าหรือบริการจากลิงก์ดังกล่าว เราอาจได้รับค่ากำลังใจเล็กน้อยสำหรับนำไปพัฒนาบล็อก 🧡