สวิตเซอร์แลนด์ขึ้นชื่อเรื่องความงามตามธรรมชาติอันน่าทึ่ง ประเทศนี้เป็นที่ตั้งของภูมิประเทศที่หลากหลาย ตั้งแต่เทือกเขาแอลป์สวิสอันงดงามไปจนถึงเนินเขาที่สลับซับซ้อนของที่ราบสูงสวิส และจากทะเลสาบน้ำใสสะอาดดุจคริสตัล ไปจนถึงหมู่บ้านและเมืองที่งดงามราวกับภาพวาด สวิตเซอร์แลนด์ยังขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและความสะอาด ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเดินทางทุกวัย
ในบทความนี้จะพาทุกคนไปสำรวจความงดงามของสวิตเซอร์แลนด์ด้วยกัน ผ่านการขับรถเที่ยวไปยัง 3 เมือง คือ โลซานน์ เจนีวา และอินเทอร์ลาเคิน ทั้ง 3 เมืองนี้ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้เราได้เห็นเสน่ห์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังได้ทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น การเดินป่า และสัมผัสทิวทัศน์ที่น่าทึ่งที่สุดในโลกของเทือกเขาแอลป์สวิสอีกด้วย
เรื่องน่ารู้ก่อนขับรถเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์
การเช่ารถในสวิตเซอร์แลนด์
การขับรถในสวิตเซอร์แลนด์
ปั๊มน้ำมันในสวิตเซอร์แลนด์
อย่าลืมซื้อสติ๊กเกอร์ค่าทางด่วนมอเตอร์เวย์
ทริปขับรถเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์เป็นส่วนหนึ่งของ → แผนขับรถเที่ยวยุโรปตอนกลาง ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี สโลวีเนีย ฮังการี สโลวาเกีย และสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งเราได้แชร์ประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์สำหรับการเที่ยวในประเทศเหล่านี้ไว้อย่างละเอียด ใครที่สนใจสามารถแวะไปอ่านเพิ่มเติมได้ตามลิงก์แนบ
เที่ยวอย่างอุ่นใจไปกับบัตรเดบิต Wise สำหรับใช้จ่ายทั่วโลก สามารถใช้ถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มต่างประเทศตามอัตราแลกเปลี่ยนจริงโดยไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง ใช้ชำระค่าอาหาร จองที่พักหรือตั๋วเครื่องบิน รวมถึงในร้านค้าออนไลน์ทั่วโลกกว่า 50+ สกุลเงิน ทั้งยังรองรับการชำระผ่าน MasterCard, Apple Pay และ Google Pay โดยไม่ต้องกังวลในการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ใช้มานานกว่า 4 ปีไม่ผิดหวัง → สมัครรับบัตรเดบิต Wise ไว้ใช้ประโยชน์ด้วยตัวเองตอนนี้เลย
แผนขับรถเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์
ขับรถเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์: Day 1
เที่ยวโลซานน์ + เจนีวา
เที่ยวโลซานน์ครึ่งวัน
โลซานน์เป็นเมืองหลวงของแคว้นโวในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลสาบเจนีวาและเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของสวิตเซอร์แลนด์ โลซานน์ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมหลายแห่ง เช่น สถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธรัฐสวิส พิพิธภัณฑ์โอลิมปิก และอาสนวิหารโลซานน์ รวมไปถึงท่าเรือและย่านเมืองเก่าที่มีเสน่ห์จนน่าหลงใหล นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาเดินเที่ยวไปตามสถานที่เหล่านี้สะดวก หรือใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะที่มีความคล่องตัวสูง
แน่นอนว่าเมื่อไปเที่ยวโลซานน์แล้วกิจกรรมที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ การพาตัวเองไปเดินเล่นริมชายฝั่งทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva Lausanne) เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์และชมทิวทัศน์อันสวยงามของทะเลสาบและภูเขาโดยรอบ โดยทางเดินริมทะเลสาบมีระยะทางรวมประมาณ 10 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ระหว่างทางจะพบกับท่าเรือที่มีบรรยากาศดี พิพิธภัณฑ์โอลิมปิก ไปจนถึงท่าเรือยอร์ชและชายหาดที่ตั้งอยู่ท้ายสุด ทั้งหมดนี้นับว่าคุ้มค่าทีเดียวที่จะเดินและปล่อยใจไปกับความงดงามริมสองฝั่งทะเลสาบ
จากทะสาบเจนีวาถ้าใครไม่สะดวกเดินจนสุดเส้นทางสามารถแวะไปที่พิพิธภัณฑ์โอลิมปิก (The Olympic Museum) ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือเพียง 10 นาที ความโดดเด่นของที่แห่งนี้ คือ การจัดแสดงที่หลากหลายของประวัติศาสตร์กีฬาโอลิมปิกและความเคลื่อนไหวของกีฬาโอลิมปิกไว้อย่างน่าสนใจ ถ้าเข้าชมที่นี่แล้วยังจะได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ เอกสาร รวมไปถึงคบเพลิงในจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกทุกรุ่น และหอเกียรติยศของบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์โอลิมปิกอีกด้วย
ใครที่สนใจเข้าชมด้านในอย่าลืมเตรียมค่าเข้าชม 20 CHF หรือจองตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์โอลิมปิกโลซานน์ล่วงหน้า พิพิธภัณฑ์เปิดตลอดทั้งปีตั้งแต่วันอังคารถึงวันอาทิตย์ เวลา 09:00-18:00 น. ปิดวันจันทร์ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) และวันที่ 24, 25, 31 ธันวาคม และ 1 มกราคม
ใกล้กับพิพิธภัณฑ์โอลิมปิกยังเป็นที่ตั้งของสวนสาธารณะ “Denantou Park” ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเขียวขจี ด้านในมีการจัดตกแต่งสวนในสไตล์อังกฤษ มีบรรยากาศที่ร่มรื่น เหมาะสำหรับการปิกนิก เดินเล่น และชมความสวยงามของดอกไม้นานาพันธุ์ และที่สำคัญยังมีที่เที่ยวยอดนิยมอีกหนึ่งแห่งนั้นก็คือ “ศาลาไทย” (Pavillon Thaïlandais) ตั้งอยู่ที่ปลายสวนสาธารณะ ตัวศาลาประดับด้วยสีทองอย่างงดงาม
จากสวนสาธารณะต่อไปเราจะเปลี่ยนบรรยากาศไปยังย่านเมืองเก่ากันบ้าง ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างย่านเนินเขา “Cité Hill” และย่านใจกลางเมือง ขึ้นชื่อเรื่องทัศนียภาพที่สวยงาม รวมไปถึงเป็นที่ตั้งของสวนสาธารณะ พระราชวัง และสถานที่เที่ยวทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์หลายแห่ง เช่น
- อาสนวิหารโลซานน์ (Lausanne Cathedral)
- พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โลซานน์ (Musée Historique Lausanne)
- พิพิธภัณฑ์การออกแบบร่วมสมัยและศิลปะประยุกต์ (MUDAC)
- บันไดไม้ไปยังอาสนวิหารโลซานน์ (Escaliers du Marché)
- และสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมือง (Mon Repos Park)
ทั้งหมดนี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะแวะเข้าไปเข้าชมความสวยงามด้านใน แต่ถ้าใครมีเวลาไม่มากแนะนำให้เข้าชมอาสนวิหารโลซานน์ ซึ่งเป็นวิหารนิกายโรมันคาทอลิกสร้างในสไตล์กอทิกที่สวยที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ และยังเป็นหนึ่งในสถานที่ทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดในเมืองโลซานน์อีกด้วย
ด้านในอาสนวิหารโลซานน์มีการตกแต่งที่สวยงามด้วยหน้าต่างกระจกสี มีจิตรกรรมฝาผนัง และออร์แกนขนาดใหญ่จากศตวรรษที่ 13 สาธารณชนสามารถเข้าชมวิหารได้ฟรี ส่วนหอคอยมีค่าเข้าชม 5 CHF ด้านบนมีจุดชมวิวที่สวยงามของเมืองผ่านบันไดจำนวน 224 ขั้น เช่นเดียวกับด้านนอกที่มีจุดชมวิวฟรีที่สวยไม่แพ้กัน
ที่เที่ยวตามที่กล่าวไปข้างต้นเหมาะสำหรับคนที่มีเวลาเดินสำรวจเมืองประมาณครึ่งวัน ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับท่าเรือริมทะเลสาบ ชมพิพิธภัณฑ์โอลิมปิก และมหาวิหารวิหารชื่อดัง ตลอดจนเดินเล่นที่ย่านเมืองเก่า นับว่าเป็นครึ่งวันที่ได้เห็นเมืองโลซานน์แบบไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป สำหรับใครที่วางแผนมาเที่ยวโลซานน์ควรเผื่อเวลาไว้ประมาณ 1-2 วันกำลังดี
เรื่องน่ารู้ก่อนมาเที่ยวโลซานน์
ขับรถเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์: Day 1
เที่ยวเจนีวาครึ่งวัน
เจนีวาเป็นหนึ่งในเมืองสวยงามน่าเที่ยวของสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ทางทางตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลสาบเจนีวาใกล้กับเมืองโลซานน์ เพียง 67 กิโลเมตร และยังเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2ในสวิตเซอร์แลนด์
เจนีวาไม่เพียงแต่ขึ้นชื่อเรื่องทะเลสาบและน้ำพุชื่อดังเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ตั้งขององค์กรสำคัญระหว่างประเทศหลายแห่ง เช่น องค์การสหประชาชาติ องค์การอนามัยโลก และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก รวมถึงที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมและย่านเมืองเก่าที่งดงามจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก
นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาเดินเที่ยวและเข้าชมที่เที่ยวสำคัญต่าง ๆ ได้ภายในเวลาครึ่งวัน หรือใช้บริการระบบขนส่งมวลชน “UNIRESO” ที่ครอบคลุมในตัวเมืองและพื้นที่โดยรอบ
กิจกรรมที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเที่ยวเจนีวานั้นก็คือการใช้เวลาเดินเล่นริมทะเลสาบ เพื่อสัมผัสบรรยากาศที่มีชีวิตของเมือง แน่นอนว่าย่านนี้สิ่งที่โดดเด่นเป็นพระเอกของงาน คือ น้ำพุเจ็ตเดออัว (Jet d’Eau) เจ้าของสายน้ำที่พุงตัวขึ้นไปในอากาศถึง 40 เมตร เกิดเป็นภาพที่สวยงามมองเห็นได้ทั่วบริเวณ และถ้าอยากเห็นใกล้ ๆ ลองเดินตามเส้นทางพื้นปูนของท่าเทียบเรือขนาดเล็ก (Jetée des Eaux-Vives) ไปยังจุดที่น้ำพุก่อตัว ที่นี่ยังมีการจัดแสดงแสงสีที่น่าประทับใจในตอนกลางคืนอีกด้วย
นอกจากน้ำพุที่เป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมแล้ว รอบ ๆ ทะเลสาบยังเป็นที่ตั้งของสะพานคนเดินมองบลังค์เจนีวา (Pont du Mont-Blanc) ใช้สำหรับทอดข้ามแม่น้ำโรน (Rhône) และเชื่อมต่อย่าน “Paquis” และใจกลางเมือง ถ้าเดินข้ามสะพานนี้ไปจะพบกับสวนสาธารณะสไตล์อังกฤษ (Jardin Anglais) จากต้นศตวรรษที่ 19
ด้านในมีจุดถ่ายภาพยอดนิยมที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ “นาฬิกาดอกไม้” (L’Horloge Fleurie) ที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 24 เมตรเลยทีเดียว นาฬิกานี้ทำจากดอกไม้และต้นไม้หลากสีราว 6,500 ต้น และจะเปลี่ยนปีละสองครั้งเพื่อบ่งบอกถึงฤดูกาลที่เปลี่ยนไป ส่วนหน้าปัดนาฬิกายังทำจากทองแดงและประดับด้วยมือเคลือบทอง ทั้งหมดนี้ใช้กลไกลขับเคลื่อนนาฬิกาที่ผลิตในสวิตและมีความแม่นยำสูง
จากสวนสาธารณะสไตล์อังกฤษนักท่องเที่ยวสามารถแวะไปสำรวจย่านเมืองเก่าเจนีวา (Geneva Old Town) ที่นั้นไม่เพียงแต่รวมสถานที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ไว้ได้อย่างน่าสนใจ แต่เรายังจะได้เห็นบ้านเรือนที่สะท้อนกลิ่นอายของการใช้ชีวิตของคนในพื้นที่ รวมไปถึงถนนสายเล็ก ๆ ที่ปูด้วยหินบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านจัตุรัสขนาดซึ่งรายล้อมด้วยอาคารประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ลึกลับ และทางเดินเก่าแก่ชื่อดังที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
ที่เที่ยวยอดนิยมในย่านเมืองเก่ามีให้เลือกเข้าชมหลากหลาย ครอบคลุมถึงมหาวิหารเซนต์ปิแอร์ (St Pierre Cathedral) ซึ่งมีความเก่าแก่ย้อนไปถึงศตวรรษที่ 11 ในขณะที่หอคอยแบบแบบโรมาเนสก์มาจากศตวรรษที่ 12 เช่นเดียวกับทางเดินแบบกอทิกที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมถึงวิวจากยอดหอคอยที่ให้ทิวทัศน์ตระการตาของเมือง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมความงามด้านในได้ฟรี ส่วนหอคอยมีค่าเข้าชม 7 ยูโร และนั้นก็คุ้มมากที่จะใช้เวลาเดินขึ้นไปข้างบนโดยมีวิวสวย ๆ เป็นรางวัลตอบแทน
ทางด้านหลังมหาวิหารเซนต์ปิแอร์ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แหล่งโบราณคดีของมหาวิหารเซนต์ปิแอร์ (Archaeological Site of Saint-Pierre Cathedral) รวมถึงพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น (Tavel House) ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรี ด้านในจัดแสดงเครื่องเรือนศิลปะและของตกแต่งย้อนยุคที่บอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ของเมืองและชีวิตประจำวันของพ่อค้าและช่างฝีมือผู้มั่งคั่งที่อาศัยอยู่ในเจนีวาในช่วงยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา
ถัดจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจะเป็นที่ตั้งของทางเดินเก่าแก่ที่สุดในเจนีวา (Promenade de la Treille) มีอายุย้อนไปถึงปี ค.ศ. 1515 และยังโดดเด่นด้วยม้านั่งสีเขียวที่ยาวที่สุดในโลกถึง 120 เมตรด้วยกัน
จากทางเดินเก่าแก่ที่สุดในเจนีวาถ้าเดินลงเนินเขาไปจะเจอกับจัตุรัสหลักของเจนีวาชื่อว่า “Place de Neuve Square” ที่แปลว่า “สถานที่ใหม่” ใจกลางจัตุรัสสามารถมองเห็นรูปปั้นนายพล Guillaume-Henri Dufour บนหลังม้า ขวามือคือโรงละครใหญ่แห่งเจนีวา (Grand Théâtre de Genève) ส่วนซ้ายมือคือสวนสาธารณะทางประวัติศาสตร์ (Bastions Park)
ด้านในมีสนามหญ้าเปิดโล่งขนาดใหญ่ สวนดอกกุหลาบ สนามเด็กเล่น และพื้นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเจนีวา รวมถึงอนุเสาวรีย์กำแพงการปฏิรูปนิกายโปรเตสแตนต์ “Reformation Wall” ที่มีชื่อเสียงระดับโลกพร้อมด้วยรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของนักปฏิรูปชั้นนำหลายคน รวมถึง “Public Chess Board” กระดานหมากรุกสาธารณะให้ผู้คนได้เล่นหมากรุกกลางแจ้งฟรีสำหรับทุกวัยอีกด้วย
เดินเที่ยวรอบย่านเมืองเก่ามาหลายชั่วโมงต่อไปเราจะข้ามไปฝั่งย่านนอกเมืองกันบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าที่นั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากการแวะไปชมสำนักงานสหประชาชาติที่มีชื่อเสียงของเจนีวา ด้านหน้าสำนักงานสหประชาชาติเราสามารถมองเห็นธงชาติของแต่ละประเทศตั้งเรียงกัน 4 แถวอย่างเป็นระเบียบ มองดูแล้วให้ความรู้สึกสันติอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนด้านในนั้นเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมพร้อมกับไกด์ทัวร์ ราคาตั๋ว 16 CHF (ควรจองตั๋วล่วงหน้าประมาณ 3 เดือนเพื่อให้ได้ตั๋วเข้าชม) ทัวร์ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครอบคลุมถึงการเยี่ยมชมส่วนสำคัญต่าง ๆ ในอาคาร
ด้านหน้าสำนักงานสหประชาชาติยังเป็นที่ตั้งของเก้าอี้สามขา (Broken Chair) ประติมากรรมที่ทำจากไม้ สูง 12 เมตร และหนัก 4 ตัน โดยมีจุดเด่นคือขาเก้าอี้หนึ่งข้างที่หัก เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงความทุกข์ทรมานของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อและผลที่ตามมาของการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ถ้าเดินจากสำนักงานสหประชาชาติไปประมาณ 10 นาทีจะเจอกับทางเข้าสวนพฤกษศาสตร์แห่งเจนีวา (Geneva Botanical garden) ด้านในมีการจัดสวนดอกไม้กลางแจ้งและต้นไม้ไว้เป็นโซนอย่างน่าสนใจ และที่สำคัญมีถึง 16,000 สายพันธุ์จากทั่วทุกมุมโลกเลยทีเดียว เช่นเดียวกับมีเรือนกระจกหลายแห่งที่จัดแสดงพืชเขตร้อนหลายชนิด ตลอดจนจุดสนใจอื่น ๆ อีก 30 จุดที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมและถ่ายภาพ รวมถึงใช้เวลาพักผ่อนในสวนสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ได้อย่างผ่อนคลาย
การเดินทางจากโลซานน์มาเจนีวา
การเดินทางด้วยรถยนต์จากเมืองโลซานน์มายังเจนีวาใช้เวลาประมาณ 50 นาที โดยจอดรถไว้ที่ P+R Sécheron ซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองใกล้กับสวนพฤกษศาสตร์เก่าแก่เลย จากตรงนี้เดินทางเข้าเมืองสะดวกด้วยรถไฟสาย IR15 จากสถานี Genève-Sécheron มุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟเจนีวา (Gare de Genève) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที และสามารถเดินต่อไปยังริมทะเลสาบใจกลางเมืองได้ภายในเวลา 10 นาที ส่วนคนที่มาด้วยระบบขนส่งมวลนชนสามารถนั่งรถไฟสาย IC1, IR15 หรือ IR90 จากสถานีรถไฟโลซานน์ไปลงที่สถานีรถไฟเจนีวาได้เช่นกัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 35 นาที
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟเจนีวาแล้วเดินออกมาด้านนอกจะพบกับถนนหลายสายที่จะพาเราไปยังริมทะเลสาบ คือ Pont du Mont-Blanc, Rue des Alpes และ Pl. de Cornavin and Rue de Chantepoulet ทั้งสามสายใช้เวลาเดินเท่ากัน 10 นาที เราเลือกเดินไปตามถนน Pont du Mont-Blanc ชมบ้านเรือนที่สวยงามไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็มาโผล่ที่สะพานมองบลังค์ ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กของเมืองสามารถมองเห็นน้ำพุเจ็ตเดออัวชื่อดัง
การเดินทางในเจนีวา
ผู้ที่วางแผนเที่ยวเจนีวา 1-3 วันสามารถใช้บัตร Geneva City Pass เพื่อรับสิทธิประโยชน์เดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนในเจนีวาได้ฟรี บัตรนี้ยังสามารถนำไปเข้าชมที่เที่ยวและพิพิธภัณฑ์ยอดนิยมรวมกว่า 40 แห่ง รวมถึงเข้าร่วมทัวร์ต่าง ๆ และเพลิดเพลินไปกับกีฬาและกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น การพายเรือและล่องเรือในทะเลสาบได้อีกด้วย → ค้นพบสิทธิประโยชน์มากมายและเป็นเจ้าของบัตร Geneva City Pass
ขับรถเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์
เที่ยวเมืองชาโมนิกซ์-มองบลังค์ (ตัวเลือก)
เมืองชาโมนิกซ์ตั้งอยู่ในแคว้นโอแวร์ญ-โรนาลป์ (Auvergne-Rhône-Alpes) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส และอยู่ทางตอนเหนือของยอดเขามองบลังค์ (Mont Blanc) ระหว่างยอดเขา “Aiguilles Rouges” และ “Aiguille du Midi” ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวยอดนิยมจากเมืองเจนีวา มีชื่อเสียงเกี่ยวกับกีฬาฤดูหนาว และยังเป็นหนึ่งในที่ตั้งของสกีรีสอร์ทที่เก่าแก่ที่สุดในฝรั่งเศสอีกด้วย
แน่นอนว่าถ้าไปเที่ยวเมืองชาโมนิกซ์แล้วต้องไม่พาดที่จะขึ้นกระเช้าไปยอดเขา Aiguille du Midi ที่ความสูง 3,842 เมตร เพื่อชมความสวยงามของภูเขามองบลังค์ที่สูงที่สุดในเทือกเขาแอลป์และยุโรปตะวันตก ถ้ายังไม่จุใจสามารถนั่งรถไฟสาย “Montenvers” ไปชมธารน้ำแข็ง “Mer de Glace” ขนาดใหญ่ที่มีความยาวกว่า 7 กิโลเมตร หรือจะแวะไปเดินป่าที่ หมู่บ้านสกีรีสอร์ท Saint-Gervais-Le-Bettex ก็เป็นไอเดียที่ดีเช่นกัน
การเดินทางไปยังเมืองชาโมนิกซ์-มองบลังค์สามารถทำได้สะดวกด้วยรถบัสหรือรถไฟ สำหรับรถบัสใช้เวลาน้อยกว่ารถไฟอยู่ที่ 1 ชั่วโมง 21 นาที มีรถบัสของ Swiss Tours, BlaBlaCar Bus และ FlixBus ให้บริการจากสถานีรถไฟเจนีวาไปยังสถานีรถไฟชาโมนิกซ์-มองบลังค์ → ค้นหาตั๋วรถบัสราคาดีที่สุดจากเจนีวาไปเมืองชาโมนิกซ์มองบลังค์
ในขณะที่รถไฟใช้เวลา 3 ชั่วโมง 21 นาที มีรถไฟของ Swiss Railways (SBB/CFF/FFS) และ SNCF วิ่งจากสถานีรถไฟเจนีวาไปยังสถานีรถไฟชาโมนิกซ์-มองบลังค์ ส่วนรถยนต์สามารถเข้าถึงเมืองชาโมนิกซ์-มองบลังค์ได้ในเวลา 55 นาที → ค้นหาตั๋วรถไฟราคาดีที่สุดจากเจนีวาไปชาโมนิกซ์มองบลังค์
สำหรับใครที่มาแบบหลายคนหรือต้องการความสะดวกในการเดินทาง → มีทัวร์แบบเดย์ทริปจากเจนีวาไปเมืองชาโมนิกซ์-มองบลังค์ รวมรถรับส่งเรียบร้อย และยังมาพร้อมตัวเลือกขึ้นกระเช้าไปชมยอดเขามองบลังค์และธารน้ำแข็งด้วย
ขับรถเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ Day 2:
เที่ยวอินเทอร์ลาเคิน-ฮาร์เดอร์คูล์ม ครึ่งวัน
หลังจากวันแรกเราไปเยี่ยมชมเมืองโลซานน์และเจนีวากันมาแล้ว ต่อไปวันที่สองเราจะไปเดินป่าและชมวิวพาโรนามาบนยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์ม ซึ่งที่นั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่อยู่เหนือเมืองอินเทอร์ลาเคน ตั้งอยู่ที่ความสูง 1,322 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปที่นี้ได้ด้วยการนั่งกระเช้าไฟฟ้า รวมไปถึงการเดินป่าไปยังฮาร์เดอร์คูล์ม ซึ่งสามารถทำได้ภายเวลา 3 ชั่วโมง กิจกรรมนี้เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาเที่ยวอินเทอร์ลาเคิน-ฮาร์เดอร์คูล์มครึ่งวันหรือหนึ่งวัน
การเดินทางไปยังอินเทอร์ลาเคิน-ฮาร์เดอร์คูล์มด้วยรถยนต์จากเมืองโลซานน์ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงสถานีรถไฟ Interlaken Ost และจอดรถไว้ที่ Parkplatz ใกล้กับสถานีรถไฟเลย ราคา 2 CHF ต่อชั่วโมง ถ้าจอด 4-6 ชั่วโมงจะอยู่ที่ 4 CHF พอดี จากนั้นก็เดินไปยังสถานี Harderbahn ซึ่งเป็นจุดขึ้นกระเช้าไฟฟ้าและยังเป็นจุดเริ่มต้นการเดินป่าไปยังยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์มด้วย
กระเช้าไฟฟ้าไปฮาร์เดอร์คูล์ม
กระเช้าไฟฟ้าไปยังยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์มเรียกว่า “Harder Funicular Railway” มีอายุกว่า 100 ปีเลยทีเดียว และยังเป็นหนึ่งในรถกระเช้าไฟฟ้าที่เก่าแก่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์อีกด้วย โดยมีรถสองคันวิ่งสวนทางกันบนรางคู่ขนานพานักท่องเที่ยวไปยังยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์มที่ความสูง 1,322 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลในเวลาไม่ถึง 10 นาที
ตลอดเส้นทางที่มีความชัน 64 องศา นักท่องเที่ยวจะได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามของภูเขา บ้านเรือนในเมืองอินเทอร์ลาเคิน และทะเลสาบที่อยู่รายรอบ นั้นยังไม่รวมถึงจุดชมวิวแบบพาโรนานามาบนสะพานสองทะเลสาบที่สามารถมองเห็นภูเขายอดนิยมครอบคลุมถึงยุงเฟรา (Jungfrau) มองช์ (Mönch) และไอเกอร์ (Eiger) ที่รอให้ไปสัมผัสประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นด้วยตัวเอง
ตั๋วกระเช้าไฟฟ้าฮาร์เดอร์คูล์มราคาเท่าไร
ไปเที่ยวฮาร์เดอร์คูล์มช่วงไหนดี
เดินป่าขึ้นยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์ม
แน่นอนว่าการเที่ยวอินเทอร์ลาเคินและฮาร์เดอร์คูล์มในวันนี้เราจะใช้วิธีการเดินป่าไปยังยอดเขาแทนที่จะขึ้นกระเช้าไฟฟ้า ส่วนขากลับนั้นจะนั่งกระเช้าไฟฟ้าลงเขา วิธีนี้ช่วยประหยัดค่านั่งกระเช้าและยังได้สัมผัสกับธรรมชาติแบบเต็มอิ่มตลอดเส้นทาง กิจกรรมนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบเดินป่าหรือมีเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง
เส้นทางเดินป่าที่เราเดินมาช่วงแรกจะเป็นป่าทึบ บางช่วงที่ไม่มีต้นไม้บดบังสามารถมองเห็นวิวที่สวยงามของบ้านเรือนในอินเทอร์ลาเคินโดยมีฉากหลังเป็นยอดเขายุงเฟราสีขาวปกคลุมด้วยหิมะ รวมถึงยอดเขามองช์และไอเกอร์ ซึ่งยุงเฟราเป็นภูเขาที่โด่งดังที่สุดในบรรดาดายอดเขาสามลูกที่เรามองเห็น นักท่องเที่ยวสามารถไปที่นั้นได้ด้วยการนั่งรถไฟไปยังยุงเฟรายอค (Jungfraujoch) ที่ระดับความสูง 3,454 เมตร เป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป
นอกจากวิวที่สวยงามแล้วยังมีเส้นทางกระเช้าไฟฟ้าที่เราสามารถเดินลอดใต้สะพาน มองเห็นฐานของรถรางคู่ขนานสร้างด้วยหินที่แข็งแรง จากนั้นจะเริ่มเข้าสู่ช่วงที่สองซึ่งเป็นเส้นทางแบบเปิดโล่ง มีทุ่งหญ้าสลับกับทุ่งดอกไม้ขนาดเล็ก สามารถมองเห็นบ้านเรือนโอบล้อมด้วยภูเขาและทะเลสาบ Thun สวยจนอยากหยุดภาพนี้ไว้นาน ๆ จากจุดนี้เดินไปอีกประมาณ 15 นาทีจะถึงไฮไลท์ที่เราทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยนั้นก็คือ “ยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์ม จุดที่สูงที่สุดของเมืองอินเทอร์ลาเคิน” ใช้เวลาเดินรวมไปทั้งหมด 3 ชั่วโมงพอดี
เมื่อมาถึงยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์มแล้วแน่นอนว่าสิ่งที่พลาดไม่ได้เลยก็คือการชมวิวแบบพาโรนามาบนสะพานสองทะเลสาบ (Two Lakes Bridge) ที่สร้างยื่นห่างออกไปจากยอดหน้าผา ซ้ายมือสามารถมองเห็นทะเลสาบเบรียนซ์สีฟ้าคราม (Brienzersee) ส่วนขวามือคือทะเลสาบทูน (Thunersee) จึงเป็นที่มาของชื่อสะพานนั้นเอง
บนสะพานสองทะเลสาบมีรูปปั้นวัวและธงชาติของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับวิวอันงดงามตระการตา ภาพตรงหน้าที่เรากำลังเห็นพร้อม ๆ กันอยู่นี้คือยอดเขาไอเกอร์ (Eiger) มองช์ (Mönch) และยุงเฟรา (Jungfrau) ตามลำดับ พอกวาดสายตาลงมาจากยอดเขาจะเห็นบ้านเรือนอินเทอร์ลาเคินตัดกับบ้านเรือน สถานีรถไฟ และเส้นทางเดินรถ วิวทั้งหมดนี้ทำให้เราเกือบลืมไปเลยว่าเพิ่งเดินขึ้นเขามาเกือบ 4 กิโลเมตร
นอกจากการชมวิวที่เป็นกิจกรรมหลักแล้วถัดจากสะพานสองทะเลสาบจะเป็นที่ตั้งของร้านอาหารพาโรนามาพร้อมทิวทัศน์ที่สวยงาม ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่อาหารเช้าไปจนถึงอาหารเย็นเลย ถ้ามาที่นี่ช่วงเย็น ๆ จะได้ชมพระอาทิตย์ตกเย็นอีกด้วย ส่วนด้านนอกร้านอาหารจะเป็นที่นั่งสำหรับพักผ่อนและทานเครื่องดื่มหรือไอศกรีม
เมื่อใช้เวลาบนยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์มจนเต็มอิ่มแล้วนักท่องเที่ยวสามารถลงจากยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์มได้ 2 วิธี คือ เดินป่าจากเส้นทาง “Interlaken Ost – Harder Kulm” ที่เราเพิ่งเดินมาก่อนหน้านี้ หรือนั่งกระเช้าไฟฟ้ากลับลงไปที่สถานี Harderbahn แน่นอนว่าขามาเรามาแบบเดินป่ากันแล้วขากลับเราจะใช้วิธีการนั่งกระเช้าลงจากยอดเขาฮาร์เดอร์คูล์ม
จุดขึ้นกระเช้าอยู่ที่สถานีฮาร์เดอร์คูล์ม สามารถเดินไปได้ภายในเวลา 1 นาที ตามเส้นทางพื้นปูนที่สร้างไว้ พอถึงสถานีก็ซื้อตั๋วจากตู้ขนาดเล็กที่อยู่ด้านหน้าประตู จากนั้นก็ไปยืนรอเวลาที่กระเช้าจะมา พอกระเช้ามาถึงก็สแกนตั๋วที่ประตูอิเล็กทรอนิกส์และเข้าไปหาที่นั่งด้านในได้เลย ใช้เวลาเพียง 10 นาทีเราก็มาถึงสถานี Harderbahn และเดินกลับไปยังจุดจอดรถใกล้สถานีรถไฟ Interlaken Ost เพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองเวนิสของอิตาลี เป็นอันจบทริปเมืองอินเทอร์ลาเคิน-ฮาร์เดอร์คูล์มไปพร้อมกับประสบการณ์อันน่าจดจำภายในเวลา 4-5 ชั่วโมง
ขับรถเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์: Day 2
ขับรถไปเที่ยวเวนิสอิตาลี
เวนิส (Venice) หรือ “เวเน็ตเซีย” เมืองท่องเที่ยวชื่อดังของอิตาลีที่ไม่เหมือนใคร และยังเป็นเจ้าของฉายา “ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก” (Queen of the Adriatic) มีลำคลองที่คดเคี้ยว สถาปัตยกรรมที่สวยงาม และยังเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมอันยาวนาน นักท่องเที่ยวสามารถเดินสำรวจเมืองผ่านสถานที่สำคัญอันเป็นสัญลักษณ์ เช่น จัตุรัสซานมาร์โค มหาวิหารซานมาร์โค พระราชวังดอจ พิพิธภัณฑ์ศิลปะกอร์แรร์ ไปจนถึงเยี่ยมชมสะพานริอัลโต ที่เที่ยวทั้งหมดนี้สามารถเที่ยวได้ในหนึ่งวัน แถมในตอนท้ายยังมีเวลาเหลือเดินเล่นรอบคลองใหญ่หรือจะนั่งเรือกอนโดลาชมวิวก็ดี
ส่วนใครที่อยากไปชมเกาะรอบเวนิสด้วยอาจจะต้องเผื่อเวลาไว้ประมาณครึ่งวันเพราะการเดินทางด้วยเรือใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที อย่างไรก็ตามถ้ามีเวลาเที่ยวเวนิสประมาณ 2-3 วันกำลังดี หรือถ้ามีเวลา 1 วันก็เพียงพอที่จะชมความงดงามในเวนิสแบบเต็มอิ่ม อย่าลืมแวะไปอ่านวางแผนเที่ยวเวนิส 1 วัน รวมถึงเรื่องน่ารู้ก่อนไปเที่ยวเวนิส ตั้งแต่ที่พักราคาประหยัดไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด เพื่อช่วยวางแผนการเดินทางที่สมบูรณ์แบบไปยังเมืองแห่งลำคลองที่ต้องมาสัมผัสความสวยงามด้วยตัวเองสักครั้งในชีวิต
การขับรถในอิตาลี
การเดินทางจากอินเทอร์ลาเคิน-ฮาร์เดอร์คูล์มไปยังเมืองเวนิสใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง โดยมีค่าทางด่วนมอเตอร์เวย์ (Autostrade per l’Italia) ประมาณ 24 ยูโร จุดจ่ายค่าทางด่วนตั้งอยู่ตามเส้นทางต่าง ๆ รับจ่ายด้วยเงินสด บัตรเดบิต รวมถึงบัตรเครดิตประเภทวีซ่ามาสเตอร์การ์ด
การขับรถในประเทศอิตาลีใช้เลนขวา โดยจำกัดความเร็วบนมอเตอร์เวย์ไม่เกิน 130 กม./ชม. ความเร็วบนทางหลวงไม่เกิน 90 กม./ชม. และพื้นที่ในเมืองความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.
ผู้ที่ขับรถยนต์ต้องมีใบอนุญาตขับขี่สากล หรือใบอนุญาตขับขี่ในยุโรป (สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในยุโรป) รวมไปถึงประกันภัยสำหรับรถยนต์และประกันการเดินทาง อย่าลืมนำพาสสปอร์ตและใบอนุญาตผู้พำนักอาศัยในประเทศเนเธอร์แลนด์มาด้วย รวมถึงมีอุปกรณ์เหล่านี้ติดรถไว้ คือ เสื้อแจ็คเก็ตสะท้อนแสง สามเหลี่ยมเตือน และหลอดไฟสำรองในกรณีที่รถเสีย
แผนขับรถเที่ยวยุโรปใต้
ฝรั่งเศส (Day 0-2)
เนเธอร์แลนด์ (Day 21-22)
แหล่งข้อมูลวางแผนเที่ยว
Thank you
การเปิดเผย: บทความนี้มีลิงก์แอฟฟิลิเอทบางส่วน การกดที่ลิงก์ไม่มีค่าใช้จ่าย หากซื้อสินค้าหรือบริการจากลิงก์ดังกล่าว เราอาจได้รับค่ากำลังใจเล็กน้อยสำหรับนำไปพัฒนาบล็อก 🧡