เรื่องน่ารู้ก่อนมาเที่ยวเวนิส (Venice) ค้นพบเคล็ดลับและคำแนะนำสำหรับการเที่ยวเวนิสด้วยตัวเอง ตั้งแต่ที่พักราคาประหยัดไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด เพื่อช่วยวางแผนการเดินทางที่สมบูรณ์แบบไปยังเมืองแห่งลำคลองที่ต้องมาสัมผัสความสวยงามด้วยตัวเองสักครั้งในชีวิต
1. คนเยอะตลอดแม้ว่าจะเป็นฤดูนอกการท่องเที่ยว
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวเวนิสคือฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายน และกันยายนถึงตุลาคม สภาพอากาศอบอุ่นกำลังดี จำนวนนักท่องเที่ยวไม่หนาแน่น แต่ถึงกระนั้นก็ยังไว้วางใจไม่ได้ เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวแต่จำนวนนักท่องเที่ยวก็เยอะตลอดทั้งปี เพราะเวนิสเป็นหนึ่งในเมืองที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างใฝ่ฝันที่จะเดินทางมาสัมผัสความงดงามให้ได้ด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่งในชีวิต
2. ระวังน้ำท่วมในเวนิส
นอกจากจำนวนนักท่องเที่ยวจะหนาแน่นตลอดทั้งปีแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องระวังคือน้ำท่วมในเวนิสที่เรียกว่า “Acqua Alta” เมื่อระดับในทะเลเอเดรียติกสูงขึ้นมากกว่า 80 เซนติเมตร จัตุรัสซานมาร์โคจะถูกน้ำท่วมเป็นที่แรก เมืองมักจะรับมือกับปัญหานี้ด้วยการเปิดไซเรนแจ้งเตือนก่อนที่จะมีการวางทางเดินยกระดับน้ำหลายแห่งในพื้นที่น้ำท่วมหลักเพื่อให้นักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่สามารถเดินได้โดยไม่เปียก คนท้องถิ่นมักจะออกจากบ้านด้วยรองเท้าบูท ร้านค้าก็มักเปิดจำหน่ายรองเท้าบูทเมื่อมีสถานการณ์น้ำท่วม
อย่างไรก็ตามน้ำท่วมนี้มักจะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวช่วงเดือนตุลาคมถึงมกราคมเท่านั้น น้ำจะขังอยู่ประมาณ 3-4 ชั่วโมงจากนั้นจะลดระดับต่ำลงจนกลับมาเป็นปกติ นักท่องเที่ยวสามารถใช้แอป hi!tide Venice สำหรับตรวจสอบกระแสน้ำขึ้นลงในเวนิสอย่างเป็นทางการ ส่วนใครที่อยากเห็นร่องรอยจากเห็นการณ์น้ำท่วมหนักในอดีตของเวนิส สามารถแวะไปดูได้ที่ร้านหนังสือประวัติศาสตร์
3. พักที่เมนแลนด์ช่วยประหยัดค่าที่พัก
เมืองเมสเตร (Mestre) คือพื้นที่แผ่นดินใหญ่ที่ตั้งอยู่ระหว่างเวนิสโดยมีสะพาน Liberty Bridge เชื่อมต่อการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะของทั้ง 2 เมืองเข้ากัน เมืองนี้ยังเป็นตัวเลือกที่พักราคาถูกเหมาะสำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัด ที่สำคัญสามารถเดินทางเข้าเมืองด้วยรถราง รถไฟ และรถประจำทางได้ภายในเวลาเพียง 15 นาที
4. เลือกที่พักใกล้สถานีรถไฟ
แม้ว่าตัวเลือกที่พักในเมืองเมสเตรจะมีราคาประหยัดกว่าการพักในเมืองเวนิส แต่แน่นอนว่าถ้าขยับเข้ามานิดหนึ่งเรายังสามารถหาที่พักในราคาไม่แพงในเมืองเวนิสได้เช่นกัน และถ้าเป็นไปได้ควรเลือกที่พักใกล้สถานีรถไฟ เพราะลองจินตนาการว่าเรามาด้วยกระเป๋าเดินทางที่หนักมากและต้องลากกระเป๋าเดินทางเดินต่อไปยังใจกลางเมือง กว่าจะถึงที่พักนอกจากจะเหนื่อยและปวดขาแล้วยังอาจจะเจอกับนักล่วงกระเป๋าหรือสแกมระหว่างทางอีก
การเลือกที่พักใกล้สถานีรถไฟจึงช่วยประหยัดเวลาและสามารถเอากระเป๋าเดินทางไปเก็บง่าย ส่วนใครที่มาแบบเดย์ทริปมีตู้รับฝากกระเป๋าในสถานีรถไฟ ราคาเริ่มต้น 6 ยูโร จะได้ไม่ต้องหิ้วสัมภาระหนัก ๆ ติดตัวไปตลอดทั้งวัน
5. วิธีเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองเวนิส
สนามบินหลักของเวนิสคือสนามบินมาร์โคโปโล (VCE) ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง 12 กม. การเดินทางเข้าเมืองสามารถทำได้ 5 วิธี วิธีที่สะดวกที่สุดคือใช้บริการรถบัสแอร์พอร์ตเอ็กซ์เพรส (ATVO) หรือรถโดยสารประจำทางสาย 5 (ACTV)
รถบัสแอร์พอร์ตเอ็กซ์เพรสสาย 35 (ATVO)
รถโดยสารประจำทางสาย 5 (ACTV)
ตั๋วร่วม ACTV + Marco Polo Airport Transfer
นอกจากตั๋วเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองเวนิสด้วยรถบัสสาย 5 แล้ว ยังมีตั๋วแบบเหมาจ่ายที่รวมการเดินทางในเวนิสด้วยระบบขนส่งสาธารณะพื้นฐาน ครอบคลุมถึง Waterbuses, Buses, Tram และ People Mover โดยมีให้เลือกตามเวลาที่ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นแบบจำกัดเวลา 90 นาที และจำนวน 1-3 วัน ดังลิสต์ด้านล่าง ข้อดีของตั๋วเหล่านี้คือเมื่อเดินทางจากสนามบินมาถึงเมืองเวนิสแล้ว สามารถใช้เดินทางต่อไปยังใจกลางเมืองเวนิสได้เลยโดยไม่ต้องเสียเวลาซื้อตั๋วแยก
- ACTV Ticket 90 นาที + Airport Transfer Bus (เที่ยวเดียว) 18 ยูโร (เหมาะสำหรับคนที่พักห่างจากป้าย Venice Piazzale Roma เพราะสามารถนำไปขึ้นเรือโดยสารสาย 1 หรือ 2 ต่อไปยังใจกลางเมืองได้เลย)
- ACTV 1 day Transport + Airport Transfer Bus (เที่ยวเดียว) DAILY PASS 32 ยูโร
- ACTV 1 day Transport + Airport Transfer Bus (2 เที่ยว) DAILY PASS 38 ยูโร
- ACTV 2 day Transport + Airport Transfer Bus (เที่ยวเดียว) 42 ยูโร
- ACTV 2 day Transport + Airport Transfer Bus ( 2 เที่ยว) 48 ยูโร
- ACTV 3 day Transport + Airport Transfer Bus (เที่ยวเดียว) 52 ยูโร
- ACTV 3 day Transport + Airport Transfer Bus ( 2 เที่ยว) 58 ยูโร
* ตัวเลขอัพเดตเดือนพฤศจิกายน 2024
รถบัสแอร์พอร์ตเอ็กซ์เพรสสาย 10 (ATVO)
สำหรับผู้ที่พักในเมืองเมสเตร แนะนำให้ขึ้นรถบัสแอร์พอร์ตเอ็กซ์เพรสสาย 10 (ATVO) วิ่งตรงจากสนามบินมาร์โคโปโลไปจอดที่สถานี Mestre Stazione FS จากสถานีนี้สามารถต่อรถรางสาย T1 รถโดยสารประจำทาง หรือรถไฟไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการสะดวก การเดินทางใช้เวลา 20 นาที รถวิ่งระหว่างเวลา 06:10-00:20 น. ออกทุก 15 นาที ค่าโดยสารเที่ยวเดียว 10 ยูโร ไปกลับ 18 ยูโร จุดขึ้นรถบัสจะอยู่ที่ป้ายหมายเลข 4 (ทางออก D)
การเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองเวนิสด้วยเรือโดยสาร
นอกจากรถบัสแอร์พอร์ตเอ็กซ์เพรสและรถโดยสารประจำทาง นักท่องเที่ยวยังสามารถเลือกเดินทางเข้าเมืองด้วยระบบขนส่งทางน้ำ ซึ่งให้บริการทั้งหมด 3 แบบ คือ เรือโดยสาร (Alilaguna) เรือแท็กซี่แบบส่วนตัว (Water Taxi) และเรือแท็กซี่แบบแชร์ (Shared Water Taxi) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางแบบผ่อนคลายและชมวิวทางน้ำไปในตัว
การเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองเวนิสด้วยรถไฟ
ตัวเลือกนี้อาจจะไม่แนะนำเพราะต้องไปเปลี่ยนรถที่สถานีรถไฟเมสเตรก่อน (Venezia Mestre Railway Station) แต่ก็ยังสะดวกสำหรับคนที่ชอบการเดินทางด้วยรถไฟ โดยสามารถนั่งรถบัสแอร์พอร์ตเอ็กซ์เพรสสาย 10 (ATVO) หรือรถโดยสารประจำทางสาย 15 (ACTV) ไปยังสถานีรถไฟเมสเตร การเดินทางใช้เวลา 20-30 นาที จากนั้นต่อรถไฟของเทรนิตาเลีย ไปยังสถานีรถไฟหลักของเวนิส (Venezia Santa Lucia) ใช้เวลา 19 นาที ค่ารถไฟ 1.45 ยูโร รวมเวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ค่าโดยสารรวม 11.45 ยูโร ตัวเลือกนี้ยังง่ายสำหรับคนที่พักในเมืองเมสเตรและเดินทางเข้าเมืองด้วยรถไฟอีกด้วย
6. มีบัตรโดยสารรายวันในเวนิส
อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าการเดินทางในเวนิสด้วยระบบขนส่งสาธารณะพื้นฐาน (ACTV) ครอบคลุมถึง Waterbuses, Buses, Tram และ People Mover นักท่องเที่ยวสามารถใช้ตั๋วมาตรฐานเที่ยวเดียว/รอบเดียว หรือบัตรโดยสารรายวันเพื่อเดินทางได้เลย โดยมีให้เลือกดังนี้
- ตั๋วเที่ยวเดียว/รอบเดียว (ใช้ได้ 75 นาที) ราคา 9.50 ยูโร
- 24 ชั่วโมง ราคา 25 ยูโร
- 48 ชั่วโมง ราคา 35 ยูโร
- 72 ชั่วโมง ราคา 45 ยูโร
- 7 วัน ชั่วโมง ราคา 65 ยูโร
เรื่องน่ารู้: ตั๋วโดยสารมาตรฐานในเกาะเวนิส มีอายุ 75 นาทีนับจากตรวจตั๋วครั้งแรก โดยใช้เครื่องอ่านตั๋วที่ตั้งอยู่หน้าท่าเรือ เมื่อถึงจุดหมายหรือต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถประเภทอื่น เช่น รถบัสหรือรถราง ให้ตรวจสอบตั๋วอีกครั้งที่เครื่องอ่านการ์ดในรถ และไม่ต้องซื้อตั๋วใหม่ ตราบใดที่ยังอยู่ในระยะเวลา 75 นาที
7. ที่เที่ยวในเวนิสเข้าชมแล้วคุ้ม
เวนิสมีที่เที่ยวหลายแห่ง ที่เที่ยวจากประสบการณ์ตรงที่ไปเข้าชมมาแล้วคุ้มค่าตั๋วมาก ๆ คือ มหาวิหารซานมาร์โค (St. Mark’s Basilica) พระราชวังดอจ (Doge’s Palace) และพิพิธภัณฑ์ศิลปะกอร์แรร์ (Museo Correr)
มหาวิหารซานมาร์โค (St. Mark’s Basilica)
ข้างในสวยมาก เป็นโบสถ์ที่ส่องประกายระยิบระยับด้วยกระเบื้องโมเสกสีทองจากช่วงต้นศตวรรษที่ 13 ทำจากแผ่นทองคำเปลว เงิน และอัญมณีล้ำค่า แสดงถึงเรื่องราวจากพระคัมภีร์และตำนานของเซนต์มาร์ก ทางเดินในโบสถ์ยังประดับด้วยหินอ่อนหลากสี และใช้เป็นสถานที่เก็บพระธาตุของนักบุญมาร์ค รวมถึงแท่นบูชาทองคำอันงดงาม (Pala d’Oro) ที่สร้างโดยช่างทองยุคกลาง
ไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เมื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์ซานมาร์โคก็คือม้าดั้งเดิมของซานมาร์โค (Horses of Saint Mark) (และจะได้เห็นแน่นอนเพราะว่าต้องเดินผ่านไปยังระเบียงชมวิว) ม้าที่ว่านี้เป็นรูปปั้นทองสัมฤทธิ์มีทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน ทุกตัวยืนและยกเท้าหน้าหนึ่งข้างแสดงถึงความทรงพลังและมีประวัติอันยาวนานอย่างน่าทึ่ง โดยผ่านการเดินทางไกลมาแล้วถึง 3 ประเทศด้วยกัน
พระราชวังดอจ (Doge’s Palace)
เคยใช้เป็นสำนักของดอจแห่งเวนิส ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้พิพากษาและผู้นำของสาธารณรัฐเวนิสระหว่างปี ค.ศ. 726-1797 ก่อนที่ในปี ค.ศ. 1923 จะกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้บุคคลทั่วไป ที่นี่จึงเปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของอำนาจทางการเมืองในสมัยสาธารณรัฐเวนิสที่จะพาทุกคนร่วมเดินทางเข้าไปชมบรรยากาศภายในด้วยกัน รวมไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือสะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs) สามารถมองเห็นภายในได้ด้วยการซื้อตั๋วเข้าชมเท่านั้น
พิพิธภัณฑ์ศิลปะกอร์แรร์ (Museo Correr)
ความน่าสนใจของพิพิธภัณฑ์ศิลปะกอร์แรร์คือรวบรวมคอลเล็กชันงานศิลปะเก่าแก่ ภาพวาด และวัตถุที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ของเมืองเวนิส รวมถึงรูปปั้นประติมากรรมหินอ่อนของนักปฏิมากรอันโตนิโอคาโนวาชื่อดัง
พิพิธภัณฑ์ยังผนวกเข้ากับพระราชวังเดิมซึ่งเคยเป็นที่ประทับของของกษัตริย์และจักรพรรดิในสมัยศตวรรษที่ 19 รวมถึงสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์โจเซฟที่ 1 และสมเด็จพระจักพรรดินีเอลิซาเบธ “ซีซี” เมื่อครั้งเสด็จเยือนเวนิส ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่จะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองเวนิสเท่านั้น แต่ยังได้มีโอกาสเข้าชมห้องประทับต่าง ๆ ที่จัดตกแต่งไว้อย่างงดงามตระการตา และนั้นก็คุ้มค่าที่จะแวะเข้าไปชมสักครั้ง
8. จองตั๋วล่วงหน้าไว้ก่อน
ด้วยความที่เวนิสมีจำนวนนักท่องเที่ยวหนาแน่นตลอดทั้งปี เราจึงมักจะเห็นแถวยืนต่อคิวซื้อตั๋วเข้าชมยาวมาก จากประสบการณ์ตรงรอมาเกือบ 30 นาที (แต่ถ้าใครมีเวลาสะดวกที่จะรอก็ได้นะคะ) เราเลยไม่เอาแบบนี้อีกแล้ว รีบจองตั๋วที่เที่ยวอันอื่นล่วงหน้าไว้เลย แล้วก็เป็นการดีที่ตัดสินใจทำแบบนี้ เพราะตอนไปพระราชวังดอจก็เห็นแถวยาวเหมือนกัน แต่ดีที่มีมาตั๋วแล้ว เอาไปให้เจ้าหน้าที่สแกนคิวอาร์โค้ดได้เลย ใช้เวลาไม่ถึงไม่ถึง 5 นาทีก็เข้าไปด้านในแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากรอนานจองตั๋วมาก่อนจะดีที่สุด
9. อย่าลืมแวะไปเที่ยวเกาะใกล้เวนิส
ที่เที่ยวในวนิสสามารถใช้เวลา 1-2 วันก็เข้าชมแบบทั่วถึง อาจจะแบ่งเป็นที่เที่ยวด้านนอก 1 วัน เข้าชมพิพิธภัณฑ์ครึ่งวัน จากนั้นก็ออกไปเที่ยวเกาะรอบนอกเวนิส ซึ่งมีเกาะสามแห่งที่มีชื่อเสียง คือ San Giorgio Maggiore, Murano และ Burano ทั้ง 3 แห่งใช้เวลานั่งเรือประมาณ 5-40 นาที
เกาะซานจิออร์จิโอแม็กจิออเร่ (San Giorgio Maggiore)
เกาะมูราโน่ (Murano)
เรื่องน่ารู้: เรือโดยสารสาย 4.1 วิ่งทวนเข็มนาฬิการอบเกาะเวนิส สาย 4.2 วิ่งตามเข็มนาฬิการอบเกาะเวนิส ทั้ง 2 สายผ่านวิ่งออกจากท่าเรือเดียวกันคือ Fondamente Nove ไปยังเกาะมูราโน่ ระหว่างทางแวะรับส่งผู้โดยสารที่เกาะ San Michele → ดูแผนที่เส้นทางเดินเรือโดยสารไปเกาะมูราโน่
เกาะบูราโน่ (Burano)
10. สะพานแห่งลมหายใจเข้าชมข้างในได้
“Bridge of Sighs” เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของเมืองเวนิส ตั้งอยู่ติดกับพระราชวังดอจและอาคารที่กำหนดให้เป็นเรือนจำใหม่ ถ้ามองจากด้านนอกเราจะเห็นตัวสะพานมีทางเดิน 2 ทาง และปิดล้อมด้วยกำแพงอย่างหนาแน่น ส่วนด้านในสามารถมองเห็นภาพบรรยากาศด้านนอกเพียงน้อยนิดผ่านหน้าต่างฝั่งละ 2 บาน
นักโทษที่ผ่านการพิจารณาคดีจะเดินผ่านสะพานนี้ไปยังห้องขังที่พวกเขาจะต้องรับโทษ เสียงถอนหายใจจึงเปรียบเสมือนอิสระครั้งสุดท้ายเมื่อมองหน้าต่างบานเล็กไปเห็นการใช้ชีวิตของผู้คนภายนอก นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมด้านในสะพานนี้ได้ผ่านตั๋วเข้าชมพระราชวังดอจ
11. เรือกอนโดลาราคาแพง
แน่นอนว่ากิจกรรมที่หลายคนต่างพูดถึงเมื่อมาเยือนเวนิส คือการนั่งเรือกอนโดลาไปชมภาพบรรยากาศที่สวยงามของเมืองทางสายน้ำ เรือกอนโดที่ให้บริการนักท่องเที่ยวมักมี 3 แบบ คือ เรือกอนโดลาข้ามฟากที่มีราคาถูก เรือกอนโดลาแบบแชร์กับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ มักมีราคาถูกในระดับหนึ่ง และเรือกอนโดลาแบบส่วนบุคคลหรือนักท่องเที่ยวที่มาเป็นกลุ่ม มักมีราคาแพงที่สุดตั้งแต่ 80 ยูโรขึ้นไป แต่ถ้าหารค่าเรือกันหลายคนราคาก็จะถูกลง
เรือกอนโดลาส่วนใหญ่ให้บริการตั้งแต่เวลา 11:00-21:00 น. ตอนกลางคืนจะสวยงามเป็นพิเศษด้วยแสงไฟจากบ้านเรือน อย่าลืมเตรียมเงินสดมาด้วยนะคะ เพราะค่าเรือจะรับจ่ายเป็นเงินสดเท่านั้น
12. นั่งเรือกอนโดลาจากตรงไหนดี?
เรือกอนโดลาตั้งอยู่เกือบทุกที่ริมฝั่งแกรนด์คาแนล จุดที่พบเยอะที่สุดคือใกล้กับสะพานริอัลโตและท่าเรือใกล้กับจัตุรัสซานมาร์โค ในซอกซอยเล็ก ๆ ยังพบจุดขึ้นเรือกอนโดลาเช่นกัน
- ท่าเรือใกล้กับจัตุรัสซานมาร์โค: จะเป็นพื้นที่ทะเลทำให้มีคลื่นเล็กน้อยจากเรือโดยสารอื่น ๆ
- ท่าเรือใกล้สะพานริอัลโต: เป็นลำคลองแบบปิดไม่มีคลื่น เหมาะสำหรับการนั่งเรือกอนโดลา ถ้าเป็นไปได้ลองเดินออกมาจากสะพานริอัลโตสักนิดเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรทางน้ำที่ติดขัด
- ตัวเลือกสุดท้ายคือนั่งเรือกอนโดลาจากซอยเล็ก ๆ ที่ห่างจากย่านท่องเที่ยว
13. ลิงก์สำหรับจองตั๋วนั่งเรือกอนโดลาในลำคลองเวนิส
เมื่อเลือกเรือกอนโดลาตามแบบที่ต้องการแล้วสามารถซื้อตั๋วที่หน้างานและจ่ายเงินพร้อมลงเรือได้เลย วิธีนี้ดีที่ได้เห็นเรือก่อนใช้บริการ และสามารถสอบถามเส้นทางการเดินเรือกับคนขับได้เลย อีกวิธีหนึ่งที่สะดวกคือการจองตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าตามลิงก์ด้านล่าง ช่วยประหยัดเวลาโดยไม่ต้องไปยืนรอซื้อตั๋ว สามารถนำตั๋วไปใช้งานได้จริง และที่สำคัญมีตั๋วราคาถูกกว่าไปจองหน้าที่งานซะอีก
- Grand Canal by Gondola with Commentary (35 ยูโร/50 นาที)
- Grand Canal Gondola with App Commentary (34 ยูโร/30 นาที)
- Venice: Shared Gondola Ride Across the Grand Canal (39 ยูโร/30 นาที)
- Venice: Shared Gondola Ride through the Lagoon City (39 ยูโร/30 นาที)
14. เรือโดยสารหมายเลข 1 ดียังไง?
หลายคนอาจจะสงสัยว่าถ้ามาเที่ยวเวนิสแล้วอยากเห็นที่เที่ยวยอดนิยมเกือบทุกแห่งจะต้องนั่งเรือสายอะไร คำตอบคือสาย 1 เรือโดยสารวาปเปอเรตโต (Vaporetto) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบขนส่งพื้นฐานในเวนิส เรือจะวิ่งจากสถานี Venice Piazzale Roma และ Ferrovia ในลำคลองแกรนด์คาแนลเป็นรูปตัวยู ผ่านกลางใจเมืองไปยังสถานที่เที่ยวสำคัญหลายแห่ง เช่น สะพานริอัลโต พิพิธภัณฑ์ รวมถึงจัตุรัสซานมาร์โค จึงเป็นตัวเลือกที่ดีในการชมวิวสวย ๆ ของเมืองทางสายน้ำ การเดินทางใช้เวลารวมประมาณ 45 นาที ค่าโดยสาร 9.50 ยูโร
15. นั่งเรือโดยสารข้ามฟากแทน (Traghetto)
ถ้ามีงบประมาณที่จำกัด มีอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ใกล้เคียงกับการนั่งเรือกอนโดลา นั้นก็คือใช้บริการเรือโดยสารข้ามฟากแทน (Traghetto) ซึ่งจริง ๆ ก็คือเรือกอนโดลานั้นแหละ แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่าและสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 10 คนเลยทีเดียว คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวมักนั่งเรือนี้ข้ามแกรนด์คาแนลในระยะทางสั้น ๆ และที่สำคัญมีราคาถูกกว่าหลายเท่าตัว
ลักษณะของเรือโดยสารข้ามฟากมีความเรียบง่ายและไม่ได้รับการตกแต่งใด ๆ ก่อนขึ้นเรือสามารถจ่ายเงินให้กับคนขับที่ท่าเรือ ค่าโดยสาร 2 ยูโร คนพายเรือจะมี 2 คน ยืนอยู่ที่หัวเรือและท้ายเรือ จากนั้นจะพาข้ามไปยังลำคลองอีกฝั่ง ใช้เวลาเพียงแค่ 2-3 นาที (หรืออาจจะเร็วกว่านี้)
ท่าขึ้นเรือ Traghetto มักตั้งอยู่ตามจุดสำคัญรอบ ๆ แกรนด์คาแนล ที่พบบ่อย คือ Santa Sofia (Rialto Market), Riva del Carbon (Riva del Vin), San Tomà (Sant’Angelo), Santa Maria del Giglio (San Gregorio) และ Punta della Dogana (Calle Vallaresso) เป็นต้น
เรือข้ามฟากส่วนใหญ่ให้บริการวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08:30-19:00 น วันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09:00- 18:00 น. ใครที่กลัวว่าจะหาท่าเรือไม่เจอ สามารถกดดูที่ตั้งท่าเรือได้ตามลิงก์ด้านบน หรือมองหาป้ายที่มีคำว่า “Traghetto” ซึ่งตั้งอยู่ตามถนนสายต่าง ๆ ทั่วเวนิส
16. เลือกใส่รองเท้าที่เดินสะดวก (ต้องเดินเยอะแน่นอน)
เวนิสเป็นเมืองที่มีตรอกซอยซอยเยอะมาก บางแห่งก็ลานชันเพราะเป็นสะพาน การเดินเที่ยวทั้งวันโดยไม่ใส่รองเท้าที่เดินสะดวกอาจจะทำให้ปวดขาและหมดสนุกไปเลยก็ได้ ก่อนออกเที่ยวในเวนิสอย่าลืมเลือกรองเท้าที่เดินสะดวก เช่น รองเท้าผ้าใบ ถ้าอยากถ่ายรูปสวย ๆ แนะนำให้เตรียมรองเท้ามาด้วยหนึ่งคู่ แล้วค่อยเปลี่ยนใส่ตอนถ่ายรูปแทนที่จะทนปวดเท้าตลอดทั้งวัน
17. เตรียมอุปกรณ์เหล่านี้มาด้วย
- ปลั๊กแปลงไฟ: ประเทศอิตาลีใช้แรงดันไฟฟ้ามาตรฐาน 230 โวลต์ ความถี่มาตรฐาน 50 เฮิร์ทซ์ ใช้เต้าเสียบปลั๊กไฟประเภท C, F และ L นักเดินทางที่มาจากประเทศนอกยุโรป ควรเตรียมหัวปลั๊กแปลงไฟรอบโลกสำรองมาด้วย 1-2 ชิ้น
- ที่อุดหู: คนที่เลือกพักในตัวเมืองเวนิสโดยเฉพาะย่านสถานที่เที่ยวสำคัญตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงดังรบกวนการนอน และเพื่อป้องกันการนอนไม่หลับควรเตรียมที่อุดหูมาเผื่อด้วย
- สเปรย์กันยุง: เวนิสนอกจากจะมีชื่อเสียงเกี่ยวกับลำคลองแล้ว ยังมีชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องยุงด้วย ที่พักบางแห่งอาจจะไม่มีมุงลวดกันยุง เพื่อความมั่นใจควรเตรียมสเปรย์กันยุงไปเผื่อด้วย
18. วันเดียวก็เที่ยวเวนิสได้
เวนิสเป็นเมืองที่ต้องมาเดินเที่ยวและสัมผัสความสวยงามด้วยตัวเอง เวลาที่เหมาะสำหรับการเที่ยวเวนิสคือสัก 2-3 วันกำลังดี วันแรกเดินด้านนอก วันที่สองชมด้านใน วันที่สามแวะไปเกาะอื่นกำลังพอดี แต่ถ้ามีเวลาจำกัดเพียง 1 วันก็สามารถทำได้เช่นกัน ได้เห็นสถานที่สำคัญรวมถึงเข้าชมที่เที่ยวด้านในด้วย แถมตอนท้ายมีเวลาเหลือเดินเลาะตามลำคลองอีก
19. เดินออกมาจากย่านท่องเที่ยวหาอาหารราคาถูกกว่า
การเที่ยวบางทีเราก็มีงบประมาณที่จำกัด อันไหนจ่ายได้ก็จ่าย แต่ถ้าอันไหนที่แพงไปไม่สมเหตุสมผลก็ควรหลีกเลี่ยง เช่น ถ้าอยากทานอาหารลองเดินออกมาจากย่านท่องเที่ยวจะพบกับพื้นที่ด้านหลังมหาวิหารซันมาร์โคบนถนน Calle Larga S. Marco ที่รวมร้านอาหารไม่แพงไว้มากมาย หรือลองแวะไปที่ตลาดสดของคนท้องถิ่นอย่าง Mercato di Rialto (Rialto Market) ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานริอัลโต ที่นั่นมีอาหารสดขาย รวมไปถึงผลไม้ในราคาคนท้องถิ่นอีกด้วย
20. น้ำเปล่าดื่มได้ เอาอาหารเที่ยงมาทานเอง
หลายคนอาจจะกังวลเรื่องน้ำเปล่าในเวนิส แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะว่าน้ำเปล่าในเวนิสดื่มได้ ที่สำคัญมีน้ำพุไว้บริการฟรี สามารถเตรียมกระป๋องน้ำไปกรอกได้เลยช่วยประหยัดค่าซื้อน้ำ นอกจากน้ำดื่มแล้วถ้าอยากประหยัดมากขึ้นลองเตรียมอาหารเที่ยงมาทานเองระหว่างวัน เช่น แซนวิช ข้าวกล่อง ซึ่งเราทำบ่อยเพราะติดนิสัยมาจากคนดัตช์เวลาไปเที่ยวจะเอาอาหารเที่ยงไปด้วย ที่สำคัญเราได้กินอาหารที่ชอบและยังเที่ยวสนุกตามงบประมาณที่ตั้งไว้
21. ระวังสัมภาระและการล่วงกระเป๋า
เวนิสเป็นเมืองที่เที่ยวได้ปลอดภัยแต่ก็เช่นกับเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่ต้องระมัดระวังทรัพย์สินของเราในพื้นที่สาธารณะ เพราะมีคำเตือนการล่วงกระเป๋าบ่อยครั้งในพื้นที่พลุ่กพล่าน และถ้าเป็นไปได้ควรฝากกระเป๋าไว้ที่ตู้เก็บของในสถานีรถไฟจะได้เดินเที่ยวแบบอุ่นใจ
แหล่งข้อมูลวางแผนเที่ยว
Thank you
การเปิดเผย: บทความนี้มีลิงก์แอฟฟิลิเอทบางส่วน การกดที่ลิงก์ไม่มีค่าใช้จ่าย หากซื้อสินค้าหรือบริการจากลิงก์ดังกล่าว เราอาจได้รับค่ากำลังใจเล็กน้อยสำหรับนำไปพัฒนาบล็อก 🧡