เที่ยวบอร์โด (Bordeaux) เมืองในภูมิภาคทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงในด้านไวน์ และที่สำคัญยังเป็นเมืองมรดกโลกขององค์การยูเนสโกอีกด้วย เมืองนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำการอนซึ่งสะท้อนทิวทัศน์อันงดงามที่ความลงตัวของเมืองทั้งสองฝั่ง
บอร์โดยังมีที่เที่ยวน่าสนใจ เช่น พิพิธภัณฑ์ไวน์ลาซิเต้ดูแว็ง (Cité du Vin) ที่จะพานักท่องเที่ยวไปเรียนรู้เกี่ยวกับไวน์อย่างใกล้ชิด รวมถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะเลบาซองส์เดอลูมิแยร์ (Les Bassins des Lumières) ที่จัดแสดงแสงสีเสียงเล่าเรื่องราวและผลงานของศิลปินชื่อดังอย่างเกาดีและดาลีได้อย่างลงตัว นอกจากที่เที่ยวแล้วก็ยังมีกิจกรรมให้เลือกทำหลากหลาย
เอาเป็นว่าไม่รอช้าตามไปเที่ยวบอร์โดแบบเดย์ทริปด้วยกัน ครอบคลุมที่เที่ยวสามารถเข้าชมได้ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น รวมถึงงบเที่ยวและวิธีเดินทางแบบไม่มีหลง
พิจารณาใช้บัตรบอร์โดซิตี้พาส (Bordeaux CityPass)
เพื่อความประหยัดนักท่องเที่ยวสามารถใช้บัตร Bordeaux CityPass สำหรับเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในบอร์โดได้ฟรีไม่จำกัด บัตรนี้ยังสามารถนำไปเข้าชมพิพิธภัณฑ์และอนุสาวรีย์ได้ถึง 15 แห่ง รวมถึงตัวเลือกเข้าร่วมไกด์ทัวร์ชมเมืองและที่เที่ยวยอดนิยม เช่น พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไวน์ลาซิเต้ดูแว็ง (Cité du Vin) และพิพิธภัณฑ์ศิลปะเลบาซองส์เดอลูมิแยร์ (Les Bassins des Lumières) ที่มาพร้อมนิทรรศการศิลปะดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก คุ้มค่าและตอบโจทย์คนชอบเที่ยวแบบจ่ายน้อยแต่ได้เยอะแบบนี้ต้องมีไว้เมื่อเที่ยวบอร์โดด้วยตัวเอง
เที่ยวบอร์โด: พิพิธภัณฑ์ไวน์ลาซิเต้ดูแว็ง (Cité du Vin)
อย่างที่รู้กันว่าบอร์โดเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการผลิตไวน์ที่ดีที่สุดในโลก และเมื่อมาเยือนบอร์โดด้วยตัวเองแล้วก็ต้องไม่พลาดที่จะเข้าชมพิพิธภัณฑ์ไวน์ลาซิเต้ดูแว็งเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับไวน์แบบจัดเต็ม พิพิธภัณฑ์นี้ต้องบอกเลยว่าทำออกมาได้น่าสนใจทีเดียว เพราะไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ธรรมดาทั่วไปแต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของมรดกการผลิตไวน์อันยาวนานของบอร์โดและการเฉลิมฉลองการปลูกองุ่นทั่วโลก โดยรวมความรู้ที่มาพร้อมความสนุกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และศิลปะของไวน์อันโดงดังในภูมิภาคบอร์โด เช่น Médoc, Saint-Émilion และ Graves มาจัดแสดงผ่านนิทรรศการแบบอินเทอร์แอคทีฟให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วม พร้อมการจัดวางมัลติมีเดียและคอลเล็กชันสิ่งประดิษฐ์มากมายที่เข้าชมแล้วคุ้มค่าตั๋วที่จ่ายไป
การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ไวน์ลาซิเต้ดูแว็งแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ นิทรรศการถาวรและการชิมไวน์พร้อมชมวิวแบบพาโนรามา ทั้งสองส่วนรวมอยู่ในตั๋วเข้าชมใบเดียวราคา 22 ยูโร โดยส่วนแรกจะเริ่มจากนิทรรศการถาวรที่ตั้งอยู่บนชั้น 2 ส่วนนี้นำเสนอภาพรวมรวมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของไวน์ผ่านหัวข้อหลัก 6 ส่วน ครอบคลุมถึงกิจกรรมแบบให้ผู้ชมมีส่วนร่วมถึง 18 กิจกรรมด้วยกัน เช่น การขนส่งไวน์ทางทะเล วิวัฒนาการของขวดไวน์ และชมวิดีโอผ่านหน้าจอขนาดใหญ่แบบรอบด้านเกี่ยวกับการปลูกองุ่นเพื่อผลิตไวน์ตลอดฤดูกาล เป็นต้น
ในส่วนของนิทรรศการถาวรที่ชอบมากเลยก็คือครอบคลุมเนื้อหาตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของไวน์ว่าเป็นมายังไง แล้วเล่าแบบไม่ใช่แค่ในบอร์โอย่างเดียวแต่ยังกล่าวไปถึงระดับโลกด้วย รวมถึงการปลูกไวน์ที่โชว์ให้ดูเลยว่าต้องใช้องุ่นสายพันธุ์ในบ้าง ตอนแรกเราก็เข้าใจว่าการทำไวน์อาจใช้องุ่นไม่แตกต่างกัน แต่พอมาที่นี่แล้วถึงเข้าใจว่าองุ่นแต่ละสายพันธุ์จะให้รสชาติไวน์ที่แตกต่างกัน แล้วก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศพื้นที่ในการปลูกด้วย ที่ชอบอีกอย่างคือมีวิดีโอที่อธิบายกระบวนการผลิตไวน์แบบเข้าใจง่าย พอฟังเพิ่มเติมกับออดิไกด์แล้วก็ช่วยสร้างความเข้าใจได้ดี เอาจริง ๆ พอมาเข้าชมแล้วแบบไม่อยากเดินออกเลยเพราะมีกิจกรรมที่แตกต่างกันหลายโซน ถ้าใครวางแผนมาที่นี่อย่าลืมเผื่อเวลาไว้ดี ๆ
พอชมนิทรรศการถาวรเสร็จแล้วก็ขึ้นลิฟต์ไปต่อที่ชั้น 8 ซึ่งเป็นที่ตั้งของบาร์สำหรับชิมไวน์พร้อมชมวิวสวย ๆ แบบพาโรนามาของเมืองไปในตัว ไวน์ของที่นี่มีให้เลือกหลายแบบทั้งไวน์ขาวและไวน์แดง แต่ละแบบก็มีหลายยี่ห้อมาพร้อมระดับความเข้มข้นที่แตกต่างกัน สามารถเลือกชิมได้คนละ 1 แก้ว พอรับไวน์แล้วก็สามารถเดินออกไปนอกระเบียงที่มีมีวิวสวย ๆ ของเมืองบอร์โดจากระดับความสูง 35 เมตร เรียกได้ว่าคุ้มเกินคุ้ม!
นอกจากนิทรรศการถาวรและการชิมไวน์พร้อมชมวิวแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์ยังมีร้านจำหน่ายของที่ระลึกรวมถึงห้องเก็บไวน์ของโลกที่เรียกว่า “Latitude20” ตั้งอยู่ที่ชั้นเดียวกับเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วด้วย โดยความพิเศษของห้องเก็บไวน์นี้คือรวมขวดไวน์จากแบรนด์ต่าง ๆ ไว้ถึง 14,000 ขวด จากกว่า 70 ประเทศทั่วโลกด้วยกัน ราคาตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักพันยูโรเลย เอาเป็นว่าแม้จะไม่ใช่คอไวน์แต่ลองเดินเข้าไปแล้วก็ทำเอาทึ่งอยู่เหมือนกัน ที่สำคัญถ้าใครอยากได้ติดไม้ติดมือกลับบ้านไปสักขวดเขาก็มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำในการเลือกด้วย
โดยรวมแล้วพิพิธภัณฑ์ไวน์ลาซิเต้ดูแว็งนำเสนอความน่าสนใจออกมาได้เต็มรูปแบบ ตั้งแต่การให้ความรู้บวกความสนุก ไปจนถึงการลิ้มลองรสไวน์ด้วยตัวเองพร้อมชมวิวสวย ๆ และถ้าติดใจอยากได้ไวน์กลับบ้านไปด้วยเขาก็มีที่ให้เลือกซื้อ แม้ว่าพิพิธภัณฑ์จะตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองนิดหนึ่งแต่ก็อยากให้มาเข้าชมแต่เช้าเพราะค่อนข้างใช้เวลานาน แนะนำให้เผื่อเวลาไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง อย่าลืมจองตั๋วเข้าชมออนไลน์ล่วงหน้าเพื่อช่วยประหยัดเวลา ทางพิพิธภัณฑ์ยังมีออดิโอไกด์สำหรับรับฟังข้อมูลเพิ่มเติมให้บริการฟรี (ครอบคลุม 8 ภาษารวมถึงภาษาอังกฤษ) เอาเป็นว่าถ้าใครแพลนมาเที่ยวบอร์โดอย่าลืมใส่พิพิธภัณฑ์นี้ไว้ในลิสต์ด้วยเด้อ
เที่ยวบอร์โด: ศูนย์รวมอาหารฝรั่งเศสและนานาชาติ (Les Halles Bacalan)
ชมพิพิธภัณฑ์ไวน์ลาซิเต้ดูแว็งเสร็จแล้วก็เที่ยงพอดี ดังนั้นเราจะแวะไปทานอาหารเที่ยงที่ Les Halles Bacalan ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ไวน์เดินข้ามถนนมาก็เจอเลย ความน่าสนใจของตลาดนี้คือรวมแผงขายอาหารทั้งฝรั่งเศสและนานาชาติไว้มากมาย แต่ละร้านส่วนใหญ่จะไม่มีที่นั่งด้านหน้าสามารถหาที่นั่งได้ตามโซนตรงกลาง ส่วนด้านนอกจะมีที่นั่งกลางแจ้งบรรยากาศดี ถ้าไปช่วงกลางวันคนจะเยอะหน่อย ส่วนตอนบ่ายเป็นต้นไปคนอาจจะน้อยลง ส่วนราคามื้อเที่ยงที่จ่ายไปสองคนอยู่ที่ประมาณ 25.6 ยูโร ถือว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ
นอกจากเรื่องอาหารแล้วที่นี่ยังขายขนมอบดั้งเดิมอันเป็นเอกลักษณ์ของบอร์โดที่ชื่อว่า “Canelés” อีกด้วย ราคาชิ้นละประมาณ 1-3 ยูโร ข้างนอกเป็นคาราเมลส่วนด้านในนุ่มคล้ายคัสตาร์ด ทานแล้วให้รสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นหอมของวานิลลา ใครที่สนใจอย่าลืมแวะไปลองซื้อทานกันได้
เที่ยวบอร์โด: พิพิธภัณฑ์ศิลปะเลบาซองส์เดอลูมิแยร์ (Les Bassins des Lumières)
อิ่มท้องกับมื้อเที่ยงแล้วเราก็มีแรงเที่ยวกันต่อ ซึ่งกิจกรรมต่อไปก็คือการนั่งรถบัสไปชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะเลบาซองส์เดอลูมิแยร์ ที่ตั้งอยู่ห่างจากพิพิธภัณฑ์ไวน์ลาซิเต้ดูแว็งประมาณ 27 นาที พิพิธภัณฑ์นี้ต้องบอกเลยว่าเป็น Hidden Jam ของบอร์โดเลย และที่สำคัญถ้าใครชอบการแสดงแสงสีเสียงแบบจัดเต็มแล้วต้องไม่พลาดอย่างเด็ดขาด
ตามประวัติย่อจากนิทรรศการด้านในเล่าว่าพิพิธภัณฑ์ศิลปะเลบาซองส์เดอลูมิแยร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ศูนย์ศิลปะดิจิทัล” ตั้งอยู่ในบังเกอร์ใต้น้ำขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า “Base Sous-Marine” เดิมสร้างโดยชาวเยอรมันในช่วงสงครามครั้งที่สอง เมื่อเวลาผ่านไปบังเกอร์ใต้น้ำไม่ได้รับการใช้งานก็ถูกทิ้งร้าง ถ้าจะทุบทิ้งก็คงเปล่าประโยชน์ จนในที่สุดก็ถูกดัดแปลงมาเป็นศูนย์ศิลปะดิจิทัลทางวัฒนธรรมของบอร์โดอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
เมื่อเดินเข้าไปด้านในพิพิธภัณฑ์จะพบกับพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เกือบมืดสนิท (แต่ก็ยังมีแสงไฟสลัว ๆ ให้เห็น) ใครที่ไม่ชินกับความมืดอาจจะต้องรอให้ดวงตาปรับตัวแป๊บหนึ่ง พอชินแล้วเราจะเห็นทางเดินที่วนไปตามพื้นที่บังเกอร์และมีแอ่งน้ำอยู่จริง ๆ ลึกถึง 16 เมตร ในขณะที่ผนังแต่ละส่วนก็กลายมาเป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการต่าง ๆ และยังเป็นฉากกั้นขนาดใหญ่สำหรับฉายภาพดิจิทัลขั้นสูงที่สะท้อนแสงกับผิวน้ำได้อย่างล้ำสมัย
การแสดงแสงสีเสียงดิจิทัลที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเลบาซองส์เดอลูมิแยร์ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับโปรแกรมและช่วงเวลา ช่วงที่เราไปนั้นจะเน้นไปที่ผลงานของศิลปินชื่อดังอย่างเกาดีและดาลี โดยมีทั้งหมด 12 ด้วยกัน และมีความยาวรวมทั้งหมดกว่า 1 ชม. ที่สำคัญดนตรีประกอบและแสงสีที่ฉายนั้นลงตัวกับภาพที่เห็นจนเกิดเป็นเรื่องราวและผลงานต่าง ๆ ของศิลปินที่ใครหลายคนอาจจะเคยจากอินเทอร์เน็ตเห็นมาแล้ว พอมาเห็นแบบนี้อีกยิ่งให้ความรู้สึกที่เต็มอิ่มและบางครั้งก็สามารถตีความที่แตกต่างกันออกไปตามประสบการณ์ของแต่ละคนได้เช่นกัน
พอดูจบคือชอบมาก นี้ยังคิดเลยว่าถ้าไม่มาที่นี่อาจจะพลาดพิพิธภัณฑ์ดี ๆ แบบนี้ไป ที่สำคัญใช้บัตรบอร์โดซิตี้พาสเข้าชมได้ฟรีก็ยิ่งคุ้มไปอีก ท้ายสุดแล้วประทับใจจนต้องไปค้นหาข้อมูลต่อและก็พบว่าการแสดงดิจิทัลนี้ยังมีจัดฉายอีกในหลายเมือง เช่น ในอัมสเตอร์ดัมที่เน้นผลงานของเกาดีและดาลี และยังรวมถึงธีมการดำดิ่งสู่อวกาศอันกว้างใหญ่ ใครที่ไปเที่ยวอัมสเตอร์ดัมก็แวะไปชมได้เหมือนกัน
เที่ยวบอร์โด: จัตุรัสปลาซเดอลาบูร์ส (Place de la Bourse)
ชมการแสดงแสงสีเสียงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเลบาซองส์เดอลูมิแยร์ก็นั่งรถบัสกลับมาที่ใจกลางเมือง และไปเดินเล่นยังสถานที่ถัดไปนั้นก็คือจัตุรัสปลาซเดอลาบูร์ส ซึ่งเป็นจัตุรัสอันงดงามใจกลางเมืองบอร์โด พอมาถึงแล้วจะเห็นจัตุรัสรูปทรงครึ่งวงกลมและรายล้อมด้วยอาคารอันงดงามตระการตาสมัยศตวรรษที่ 18 ในขณะที่ใจกลางโดดเด่นด้วยน้ำพุขนาดใหญ่
ถ้ามองไปยังฝั่งตรงข้ามจัตุรัสจะเห็น “Le Miroir d’eau” หรือที่เรียกว่าสระน้ำตื้น พอเดินข้ามถนนไปยืนมองใกล้ ๆ จะเห็นเหมือนกระจกที่สะท้อนเงาน้ำกับจัตุรัสปลาซเดอลาบูร์สได้อย่างสวยงาม บริเวณนี้ยังอยู่ใกล้กับสวน Les jardins des lumières มีมุมนั่งเล่นและชมวิวริมแม่น้ำการอนและสะพาน Pont de Pierre อีกด้วย
จากจัตุรัสปลาซเดอลาบูร์สถ้าใครที่อยากเห็นบรรยากาศคึกคักของเมืองลองแวะไปเดินเล่นที่ถนน Rue Sainte-Catherine ซึ่งชอปปิงหลักของเมืองยาวไปจนถึงด้านหน้าโรงละครโอเปร่าแห่งชาติของบอร์โดเลย ถนนนี้รายล้อมไปด้วยร้านอาหารและร้านค้ามากมายตลอดสองฝั่งทางเดิน ยิ่งถ้ามาในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์คนจะเยอะเป็นพิเศษ
เดินต่อจากโรงละครโอเปร่าแห่งชาติไปอีกประมาณ 5 นาที ผ่านสำนักงานบริการข้อมูลนักท่องเที่ยวที่เรามารับบัตรบอร์โดซิตี้พาสไปใช้งานตั้งแต่ตอนเช้าจะเจอกับจัตุรัส Place des Quinconces ที่มีชื่อเสียงอีกหนึ่งแห่งของเมือง จัตุรัสนี้โดดเด่นด้วยน้ำพุขนาดใหญ่ และยังเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถาน Monument aux Girondins ที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองบอร์โดอีกด้วย
เที่ยวบอร์โด: หอคอยเปเบอร์ลัน (Pey Berland Tower)
เดินเล่นที่ย่านใจกลางเมืองพอหอมปากหอมคอแล้วถ้าใครที่อยากชมวิวมุมสูงของเมืองบอร์โดแนะนำให้ไปที่หอคอยเปเบอร์ลัน ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ติดกับมหาวิหารเซนต์แอนดรูว์บอร์โด หอคอยแห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 มีรูปทรงเพรียวบางประดับด้วยงานแกะสลักหินอันวิจิตรประณีต และมีความสูงถึง 50 เมตร และนั้นก็เพียงพอที่จะมอบทิวทัศน์อัมงดงามแบบพาโรนามาของเมืองบอร์โดให้กับผู้เข้าชม
เที่ยวบอร์โด: มหาวิหารเซนต์แอนดรูว์บอร์โด (Saint-André Cathedral)
ขึ้นหอคอยเปเบอร์ลันชมวิวแล้วถ้ามีเวลาเหลือประมาณ 20-30 นาทีลองแวะไปเดินชมมหาวิหารเซนต์แอนดรูว์บอร์โดกันต่อ ด้านในเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรี โดยเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 ในสไตล์โรมาเนสก์และกอทิก พอได้ไปเดินชมข้างในแล้วพบว่ามีบรรยากาศที่เงียบสงบ ตรงกลางมีทางเดินของอาสนวิหารที่โดดเด่นด้วยเพดานโค้งสูงตระหง่านและหน้าต่างกระจกสีที่สวยงาม โดยรวมแล้วนับว่าเป็นมหาวิหารที่งดงามไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ในบอร์โดเลย
ย่านที่พักน่าสนใจในบอร์โด
จากที่เที่ยวน่าสนใจในบอร์โดกันไปแล้ว ต่อไปก็มาถึงย่านที่พักน่าสนใจกันบ้าง ต้องบอกเลยว่ามีที่พักราคาประหยัดตั้งอยู่ทั่วเมืองบอร์โด โดยเฉพาะย่านท่องเที่ยวตอนแรกคิดว่าราคาน่าจะแพง แต่พอลองค้นหาข้อมูลดี ๆ กลับพบว่ามีที่พักราคาประหยัดตั้งอยู่ใกล้ที่เที่ยวสำคัญให้เลือกพักตามงบประมาณและความสะดวกเยอะเลยทีเดียว
ค้นหาและเปรียบเทียบที่พักในบอร์โด
อาหารน่าทานในบอร์โด
บอร์โดเป็นสวรรค์แห่งการทำอาหารที่มีประเพณีการกินที่หลากหลาย โดยผสมผสานระหว่างเนื้อสัตว์และกลิ่นอายของไวน์เลิศรส ถ้ามาเที่ยวบอร์โดแล้วอย่าลืมแวะไปลิ้มลองอาหารเหล่านี้ด้วยตัวเอง
การเดินทางในบอร์โดด้วยระบบขนส่งสาธารณะ
บอร์โดมีระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพและได้รับการพัฒนามาอย่างดี รู้จักกันในชื่อ Transports Bordeaux Métropole (TBM) ครอบคลุมถึงรถราง รถบัส เรือ รถไฟความเร็วสูง รถไฟภูมิภาค และรถไฟระหว่างเมือง นักท่องเที่ยวสามารถเดินด้วยระบบขนส่งสาธารณะในบอร์โดได้โดยใช้ตั๋วใบเดียวแบบไม่แบ่งแยกประเภทการเดินทาง (ยกเว้นการเดินทางด้วยรถไฟ)
ตั๋วเดินทางในบอร์โดด้วยระบบขนส่งสาธารณะ
นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋วเดินทางตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ครอบคลุมถึงตั๋วแบบเที่ยวเดียว บัตรผ่านรายวันแบบ 24 ชม. หรือ 72 ชม. บัตรท่องเที่ยวบอร์โดซิตี้พาส และบัตรผ่านรายสัปดาห์หรือรายเดือน ซึ่งตั๋วแบบเที่ยวเดียว ราคาเริ่มต้น 1.80 ยูโร ใช้เดินทางได้ไม่จำกัดเที่ยวเป็นเวลา 1 ชม. บนรถราง รถบัส และเรือ Bat³ และรถโคชภูมิภาค (ภายในเขตเทศบาล 28 แห่งของภูมิภาคบอร์โด) ในขณะที่บัตรผ่านรายวัน ราคาเริ่มต้น 5 ยูโร ใช้เดินทางได้ 24 ชม. ตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดใช้งาน บนรถราง รถบัส เรือ Bat³ ที่จอดรถ P+R ที่จอดรถจักรยาน และรถโคชภูมิภาค (ภายในเขตเทศบาล 28 แห่งของภูมิภาคบอร์โด)
สามารถซื้อตั๋วและบัตรโดยสารได้ที่ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติที่ป้ายรถรางและสถานีขนส่งหลัก ในรถบัสสำหรับตั๋วโดยสาร 1-2 เที่ยว รวมถึงร้านค้าออนไลน์ จุดขายทางการของ TBM และแอป TBM
ก่อนเริ่มต้นการเดินทางทุกครั้งอย่าลืมตรวจตั๋ว โดยแตะบัตรที่เครื่องสีเหลืองหรือสีขาวที่อยู่บนรถราง รถบัส และเรือ Bat³ สำหรับบัตร TBM สามารถแตะได้ทั้งเครื่องสีเหลืองและสีขาว บัตรแบบไร้สัมผัสแตะได้ที่เครื่องสีขาวเท่านั้น ส่วนตั๋วกระดาษแบบมีแถบแม่เหล็กใช้เครื่องสีเหลืองเท่านั้น โดยใส่ตั๋วของลงในช่องที่หันด้านสีขาวขึ้นตามทิศทางที่ลูกศรระบุเพื่อตรวจตั๋ว
การเดินทางไปบอร์โดจากอัมสเตอร์ดัม
อัมสเตอร์ดัมตั้งอยู่ห่างจากบอร์โดประมาณ 1,103 กม. นักท่องเที่ยวที่ต้องการไปเที่ยวบอร์โดสามารถพักค้างคืนที่ปารีส แล้วเที่ยวจากปารีสไปมงแซงต์มิเชลแบบเดย์ทริปสะดวก หรือเดินทางแบบเที่ยวตรงจากอัมสเตอร์ดัมเลยด้วยตัวเลือกที่หลากหลาย ครอบคลุมถึงเที่ยวบิน รถไฟ รถบัส และรถยนต์
เที่ยวบอร์โดช่วงไหนดี
บอร์โดเป็นเมืองที่เที่ยวได้ตลอดทั้งปีขึ้นอยู่กับความชอบรวมถึงสิ่งที่อยากเห็นในแต่ละฤดูกาล
เที่ยวบอร์โดใช้งบเท่าไร
ค่าใช้จ่ายสำหรับเที่ยวบอร์โด 1 วัน 2 คืน สำหรับ 2 คน อยู่ที่ประมาณ 459 ยูโร คิดเป็นเงินไทยประมาณ 17,452 บาท ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ค่าที่พัก การเดินทาง อาหาร กิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงค่าที่จอดรถและค่าทางด่วน ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน เช็คราคาและจองตั๋วเครื่องบินราคาประหยัดได้ที่นี่
budget
โรงแรม: 78-150 ยูโร
โฮสเทล: 28-138 ยูโร
การเดินทาง: 5 ยูโร
ซื้อตั๋วเดินทาง
กิจกรรมและตั๋ว: 6-22 ยูโร/แห่ง
รถเช่า: 20-50 ยูโร
อาหาร: 12-25 ยูโร/มื้อ
ที่จอดรถ: 7-20 ยูโร/วัน
เที่ยวอย่างอุ่นใจไปกับบัตรเดบิต Wise สำหรับใช้จ่ายทั่วโลก สามารถใช้ถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มต่างประเทศตามอัตราแลกเปลี่ยนจริงโดยไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง ใช้ชำระค่าอาหาร จองที่พักหรือตั๋วเครื่องบิน รวมถึงในร้านค้าออนไลน์ทั่วโลกกว่า 50+ สกุลเงิน ทั้งยังรองรับการชำระผ่าน MasterCard, Apple Pay และ Google Pay โดยไม่ต้องกังวลในการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ใช้มานานกว่า 4 ปีไม่ผิดหวัง → สมัครรับบัตรเดบิต Wise ไว้ใช้ประโยชน์ด้วยตัวเองตอนนี้เลย
แหล่งข้อมูลวางแผนเที่ยว
Thank you
การเปิดเผย: บทความนี้มีลิงก์แอฟฟิลิเอทบางส่วน การกดที่ลิงก์ไม่มีค่าใช้จ่าย หากซื้อสินค้าหรือบริการจากลิงก์ดังกล่าว เราอาจได้รับค่ากำลังใจเล็กน้อยสำหรับนำไปพัฒนาบล็อก 🧡