วันเดย์ทริปจากอัมสเตอร์ดัม (One Day Trip from Amsterdam) ในวันที่มีแสงแดดจ้าเหมาะกับการเดินเที่ยวในช่วงฤดูหนาวได้เป็นอย่างดี เราได้มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวไปยังเมืองเล็ก ๆ ชื่อว่า “อัลค์มาร์” (Alkmaar) ตั้งอยู่ในจังหวัดนอร์ทฮอลแลนด์ ห่างจากกรุงอัมสเตอร์ดัมเพียงครึ่งชั่วโมง และเดินทางสะดวกด้วยรถไฟ อัลค์มาร์ หรือเรียกว่า “เมืองชีส” มีชื่อเสียงเกี่ยวกับตลาดชีส (Alkmaar Cheese Market) ซึ่งจัดแสดงและจำหน่ายชีสทุกเช้าวันศุกร์ ระหว่างเดือนเมษายนถึงกันยายน นอกจากตลาดชีสที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวให้เดินทางไปเยี่ยมชมแล้ว อัลค์มาร์ ยังเป็นเมืองที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน มีอนุสรณ์สถานแห่งชาติที่ได้รับการจดทะเบียนมากถึง 399 แห่ง เรียกได้ว่าแทบทุกสถานที่ที่เราเดินผ่าน อาจเป็นหนึ่งในอาคารเก่าแก่เกือบหลายร้อยปีก่อน ในด้านศิลปะและวัฒนธรรมก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน มีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจ Stedelijk Museum Alkmaar จัดแสดงผลงานศิลปะภาพเขียนและเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองอัลค์มาร์ นอกจากนี้ยังมีถนนเก่าแก่ที่สุดในเมืองอัลค์มาร์ (Langestraat) ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลากลางเมือง (Alkmaar City Hall) ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงาม ร้านค้าจำนวนมากที่ทอดยาวไปตามถนนความยาวเกือบครึ่งกิโลเมตร รวมถึงบ้านเรือนและอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นแบบหน้าจั่วลักษณะพิเศษ เหมาะแก่การเดินเล่น ชอบปิง และเก็บภาพสวย ๆ ได้เป็นอย่างดี
วันเดย์ทริปแบบเที่ยวสองเมืองรวมกัน (Alkmaar และ Hoorn) จากอัมสเตอร์ดัม
ก่อนมาเที่ยวที่เมืองอัลค์มาร์ เราวางแผนในการเดินเที่ยวที่นี้เพียงครึ่งวัน โดยเริ่มตั้งแต่เวลาเที่ยง และไม่มีกำหนดกลับบ้านจนกว่าจะเดินชมสถานที่ต่าง ๆ จนทั่ว เรียกได้ว่าขอใช้เวลาช่วงวันหยุดไปกับการเดินเที่ยวแบบผ่อนคลายไม่เร่งรีบ หลังเวลาผ่านไปมากกว่าสองชั่วโมง เราเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ จนรู้สึกเต็มอิ่มกับการท่องเที่ยวที่นี้ ทำให้มีเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมง จึงตัดสินใจเดินทางไปเที่ยวต่อที่เมืองโฮร์น (Hoorn) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองอัลค์มาร์ประมาณ 35 นาที นั่งรถไฟไปได้สะดวกมาก และนั้นก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่ามาก ๆ เพราะตอนแรกคิดว่าเมืองอัลค์มาร์ เป็นเมืองที่คุ้มค่าในการเที่ยวแบบเดย์ทริปจากอัมสเตอร์ดัมแล้ว แต่พอไปถึงเมืองโฮร์น ทำให้รู้ว่าเป็นเมืองที่คุ้มค่าต่อการเยี่ยมชมยิ่งขึ้นไปอีก
ท่าเรือที่เมืองโฮร์นสวยมาก สวยแบบทำให้เมืองโฮร์น (ในความคิดของเรา) เป็นเมืองที่แตกต่างจากเมืองอื่น ๆ ในประเทศเนเธอร์แลนด์แบบสุด ๆ ไปเลย สามารถใช้เวลาเดินเที่ยวที่เมืองโฮร์น ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ตบท้ายด้วยการชมพระอาทิตย์ตกเย็น สะท้อนแสงกับน้ำทะเล เป็นช่วงเวลาที่โรแมนติกเกินจะบรรยาย หากออกเดินทางจากกรุงอัมสเตอร์ดัมในช่วงเช้า ใช้เวลาเดินเที่ยวที่เมืองอัลค์มาร์จนถึงบ่ายอ่อนๆ จากนั้นจบทริปที่เมืองโฮร์นพร้อมพระอาทิตย์ตกตอนเย็นริมท่าเรือ เป็นวันเดย์ทริปแบบเที่ยวสองเมืองรวมกันจากกรุงอัมสเตอร์ที่ขอแนะนำมาก ๆ

เราเริ่มออกเดินทางจากสถานีรถไฟกลางกรุงอัมสเตอร์ดัมในช่วงสาย ๆ บรรยากาศระหว่างทางเต็มไปด้วยพื้นที่ทุ่งหญ้าสีเขียว รวมถึงฝูงแกะและฝูงวัวที่กินหญ้า พอออกมานอกเมืองมาก ๆ เราจะได้เห็นภาพแบบนี้ตลอดสองข้างทางรถไฟ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็เดินทางมาถึงสถานีรถไฟเมืองอัลค์มาร์ พอออกจากสถานีจะยังไม่เจอกับใจกลางเมืองเลย ต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 10 นาที ถึงจะเป็นบริเวณใจกลางเมือง สถานที่แรกที่เราเจอนั้นก็คือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เมืองอัลค์มาร์ (Stedelijk Museum Alkmaar) หากใครที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ Stedelijk ในกรุงอัมสเตอร์ดัมมาก่อนอาจจะคุ้นชื่อนี้ดี พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่หลายเมืองในประเทศเนเธอร์แลนด์
สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองอัลค์มาร์ (Alkmaar)
เข้าชมพิพิธภัณฑ์ Stedelijk Museum Alkmaar
พิพิธภัณฑ์ Stedelijk Museum Alkmaar เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ภายในจัดแสดงนิทรรศการด้านศิลปะวัฒนธรรมและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเมืองอัลค์มาร์ รวบรวมผลงานชิ้นเอกจากศิลปินที่มีชื่อเสียงบอกเล่าประวัติศาสตร์ในช่วงยุคทองเมืองอัลค์มาร์ เช่น Jacob Cornelisz van Oostsanen, Maarten van Heemskerck, Pieter Jansz Saenredam และ Caesar van Everdingen จัดแสดงคอลเลคชันเฟอร์นิเจอร์ที่โดดเด่น เครื่องเงิน และเครื่องแก้วในศตวรรษที่สิบเจ็ด ภาพวาดเหมือนของบุคคลที่มีชื่อเสียงที่อาศัยอยู่ในเมืองอัลค์มาร์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน นิทรรศการจากศิลปินของ Bergen School และนิทรรศการประวัติศาสตร์เชิงโต้ตอบเกี่ยวกับสงครามแปดสิบปีในการปิดล้อมของกองทัพสเปน (Siege of Alkmaar) โดยแบ่งออกเป็นนิทรรศการถาวรเพื่อแสดงรายละเอียดที่ชัดเจนในหัวข้อ Alkmaar’s Golden Age, Portrait of Alkmaar, The Bergen School และ Victory

การเข้าชมพิพิธภัณฑ์เป็นอันดับแรก ๆ นั้นถือเป็นการเริ่มต้นทริปของวันนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะหลังจากเดินชมสถานที่อื่น ๆ ไปได้สักพัก เราค้นพบว่าภาพเขียนที่เพิ่งเห็นในพิพิธภัณฑ์ เป็นสถานที่ที่เราเดินผ่าน และเห็นการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจนถึงปัจจุบัน บางแห่งมีร่องรอยเหลืออยู่ บางแห่งไม่มีแล้ว พอเข้าชมพิพิธภัณฑ์เยอะ ๆ ทำให้เรากลายเป็นคนที่ชอบดูภาพเขียนขึ้นมากพอสมควรถ้าเทียบกับเมื่อก่อน ชอบที่ได้เห็นบ้านเมืองมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ตอนนี้เราถึงเข้าใจว่าแต่ก่อนทำไมศิลปินถึงชอบถ่ายทอดเรื่องราวรอบตัวลงบนภาพเขียน ในช่วงสงครามก็มีการสื่อความหมายออกมาทางภาพวาด ศาสนาก็เป็นอีกหนึ่งอิทธิพลที่ศิลปินได้รับแรงบันดาลใจและถ่ายทอดออกมาทางผลงานศิลปะ สิ่งเหล่านี้บางครั้งอาจจะอธิบายยากด้วยคำพูด ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาต้องการสื่อสารสิ่งใด เพราะเป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อน และอาจมีการตีความได้หลายรูปแบบตามประสบการณ์และความคิดของผู้รับสาร แต่พอมาอยู่ในรูปแบบของศิลปะ มันทำให้ผู้คนเข้าใจกันง่ายมากขึ้น ใช้ “ศิลปะ” เป็นสื่อกลาง และเชื่อมคนทั้งโลกเข้าด้วยกันได้อย่างแยบยล
ข้อมูลเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Stedelijk Museum Alkmaar
- ที่อยู่: Canadaplein 1, 1811 KE Alkmaar
- เวลาเปิดทำการ: วันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 11:00-17:00 น.
- ราคาตั๋วเข้าชม 13.50 ยูโร หรือใช้บัตร Museumkaart เข้าชมฟรี
- จองตั๋วออนไลน์ก่อนเข้าชมได้ที่: Stedelijk Museum Alkmaar
นอกจากพิพิธภัณฑ์ Stedelijk Museum Alkmaar ในเมืองอัลค์มาร์ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอีกหนึ่งแห่งนั้นก็คือ The Beatles Museum ซึ่งจัดแสดงเรื่องราววงดนตรียอดนิยมในยุค 60 The Beatles รวมถึงแผ่นเสียง อัลบั้มมือสอง หนังสือมากกว่าร้อยเล่มเกี่ยวกับ the Beatles เป็นสวรรค์ของนักสะสม และแฟนตัวยงของ Beatles ได้เป็นอย่างดี
หลังเดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์ทางด้านขวามือเราจะพบกับโบสถ์กลางประจำเมืองอัลค์มาร์ ในประเทศเนเธอร์แลนด์ทั่วทุกเมืองมีโบสถ์ประจำเมืองเป็นของตัวเอง ถึงแม้ประชากรมากกว่าครึ่งจะไม่นับถือศาสนาใด ๆ แต่ผู้คนรุ่นก่อนๆ รวมถึงรุ่นพ่อกับแม่ ยังคงนับถือศาสนาคริสต์ และนิยมไปโบสถ์ รวมถึงยังมีพิธีกรรมทางศาสนามาจนถึงทุกวันนี้ โบสถ์จึงเป็นสถานที่อีกหนึ่งแห่งที่ถ่ายทอดเรื่องราวศาสนาของผู้คนที่นี้ได้เป็นอย่างดี
โบสถ์กลางเมืองอัลค์มาร์ (Grote Sint Laurenskerk)
Grote Sint-Laurenskerk เป็นสถานที่สำคัญในอดีตของนิกายโปรเตสแตนต์ในเมืองอัลค์มาร์ สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับ Saint Lawrence และมีสุสานของ Floris V, Count of Holland (1256 – 1296) ถูกฝังอยู่ในโบสถ์แห่งนี้ ภายในยังมีสถาปัตยกรรมที่งดงาม รวมถึงออร์แกนประสานเสียงและระฆังชุดคาริล (Carillon) ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ใช้เป็นที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนา

แวะทานขนม Oliebol
ด้านหน้าโบสถ์ Grote Sint-Laurenskerk มีแผงขายขนม Oliebol ตั้งอยู่ และจำหน่ายตลอดช่วงฤดูหนาว ชาวดัตช์นิยมรับประทาน Oliebol แบบร้อน ๆ โรยหน้าด้วยน้ำตาไอซิ่ง หรือราดด้วยช็อกโกแลตนูเทลล่า มีทั้งแบบปกติ และแบบผสมลูกเกด หากเดินทางมาท่องเที่ยวในเนเธอร์แลนด์ช่วงฤดูหนาว ห้ามพลาดที่จะลิ้มลองรสชาติของขนมนี้สักครั้ง ราคาอยู่ที่ก้อนละ 1 ยูโร

อาคารเก่าแก่พร้อมสถาปัตยกรรมยุคกลาง Hooge Huys (Het Princenhof)
ด้านหน้าโบสถ์ Grote Sint-Laurenskerk ทางด้านซ้ายมือมีอาคารเก่าแก่รูปร่างดึงดูดสายตาใครหลายคนตั้งอยู่ อาคารแห่งนี้เคยเป็นสำนักงานเดิมของบริษัทประกันภัยมาก่อน ย้อนกลับไปในอดีตนั้นพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นจุดที่ตั้งของปราสาทประจำเมืองชื่อ Het Princenhof และมีชื่อเล่นว่า Hooge Huys ก่อนที่จะพังยับเยินในปี 1753 จากนั้นบริษัทประกันภัย Noord-Hollandsche Levensverzekerings Maatschappij ได้ขยายกิจการและมอบหมายให้สถาปนิกอนุรักษ์นิยม A.J. Kropholler ออกแบบอาคารบนพื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งนี้ อาคารปัจจุบันจึงถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี 1930-1931 Kropholler ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากตัวอย่างในยุคกลาง อาคารขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นรวมกับหลังคาหน้าจั่วแบบขั้นบันได และใช้อิฐสีแดงสด Kropholler เป็นผู้รับผิดชอบในการสร้างในทุกรายละเอียด การตกแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์ก็ได้รับการออกแบบโดยเขา

ในปี 1990 บริษัทประกันภัยได้ย้ายออกจากอาคาร ในตอนท้ายของปี 1995 เจ้าของขายอาคารหลังนี้ให้กับสถาบันทางการเงิน Reaal Group ก่อนที่ในปี 2004 ได้เปลี่ยนชื่อสถานที่จาก Hooge Huys เป็น Reaal Verzekeringen (VIVAT) ครอบครัว Hofstee-Buur ได้จัดตั้งมูลนิธิ ‘t Hooge Huys เพื่ออนุรักษ์อาคารจากทศวรรษที่ 1930 ในตอนท้ายของปี 2013 สมาคม Hendrick de Keyser ได้เข้าซื้ออาคารแห่งนี้เพื่ออนุรักษ์บ้านเรือนจากประวัติศาสตร์ในประเทศเนเธอร์แลนด์ มาบำรุงรักษาไม่ให้ถูกทำลาย
ลานสนามหญ้าเก่าแก่ที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุไม่มีครอบครัว (Hofje van Splinter)
หลังจากเดินข้ามสะพาน Alkmaar oudegracht มายังถนน Ritsevoort เราจะพบกับอาคารด้านขวามือ มองจากภายนอกแล้วสถานที่แห่งนี้เหมือนบ้านหลังอื่น ๆ ทั่วไป หากเปิดประตูเข้าไปเราจะพบกับลานหญ้าและบรรยากาศที่เงียบสงบซ่อนอยู่ภายใน สถานที่แห่งนี้คือ Hofje van Splinter ที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุไม่มีครอบครัว ก่อตั้งขึ้นในปี 1646 จากมรดกของ Margaretha Splinter เธออาศัยอยู่ที่นั้นกับสามีของเธอ หลังการเสียชีวิตของ Margaretha Splinter อาคารได้ถูกดัดแปลงให้เป็นลานกว้างสำหรับสุภาพสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงานจำนวนแปดคนที่มีความยากจน เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่อาศัยส่วนบุคคล หากเดินเข้าไปชมไม่ควรส่งเสียงดังรบกวน หรือมองสอดส่องผ่านหน้าต่างไปยังด้านใน เพราะถือว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก

บ้านเรือนและอาคารเก่าแก่ (อนุสรณ์สถาน) ในเมืองอัลค์มาร์
เมืองอัลค์มาร์มีบ้านเรือนและอาคารเก่าแก่ที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติของเนเธอร์แลนด์มากถึง 399 รายการ เฉกเช่นเดียวกับบ้านเรือนบนถนน Ritsevoort ซึ่งเป็นเส้นทางเดินไปยังโรงสี Molen van Piet เราจะพบกับบ้านเรือนและอาคารเก่าแก่หลายหลังตลอดสองข้างทาง
บ้านเรือนและอาคารเก่าแก่ (อนุสรณ์สถาน) บนถนน Ritsevoort
Ritsevoort 4, Alkmaar
อาคารสร้างด้วยหน้าจั่วระฆังปูด้วยแผ่นหินธรรมชาติขดเป็นรูปก้นหอย อาคารถูกดัดแปลงเป็นแบบสมัยใหม่โดยใช้ชิ้นส่วนเก่า ปัจจุบันเป็นที่อยู่อาศัย ด้านล่างอาคารเป็นร้านทำผม

Ritsevoort 8, Alkmaar
สร้างด้วยหน้าจั่วแบบขั้นบันไดปูด้วยแผ่นหินธรรมชาติ ด้านหน้าดัดแปลงเป็นซุ้มสมัยใหม่โดยใช้ชิ้นส่วนเก่า ปัจจุบันเป็นที่อยู่อาศัย ด้านล่างอาคารเป็นสตูดิโอรับออกแบบงานกราฟฟิก
Ritsevoort 22, Alkmaar
เป็นอาคารแบบหน้าจั่วขั้นบันไดปูด้วยแผ่นหินธรรมชาติ ทำอิฐแถบน้ำ (waterlijsten) เพื่อไม่ให้น้ำฝนไหลมาทำทำลายหน้าอิฐ มีส่วนโค้งบนหน้าต่างบานเลื่อนขนาดหกบานและเสาตรงกลาง อาคารมาจากศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันเป็นที่อยู่อาศัย ด้านล่างอาคารเป็นร้านเครื่องเขียน

- ซ้ายมือคือร้านขายหนังสือเก่า De Alkenaer (Ritsevoort 36)
- ขวามือคือร้านเครื่องเขียน (Ritsevoort 22) สร้างแบบหน้าจั่วขั้นบันไดปูด้วยแผ่นหินธรรมชาติ

โรงสี Molen van Piet
Molen van Piet เป็นโรงสีแบบหอคอยสูงหินทรงกลมมีนั่งร้าน (Tower Mill) สร้างขึ้นในปี 1769 ปกติโรงสีที่โดยทั่วไปที่สร้างในพื้นที่นอกตัวเมืองมีความสูงไม่มากนัก เนื่องจากไม่มีบ้านเรือนปิดกั้นทิศทางลม แต่โรงสี Molen van Piet สร้างขึ้นในตัวเมืองอัลค์มาร์ ทำให้มีความสูงเหนืออาคารบ้านเรือน เพื่อให้มีพลังงานลมเพียงพอที่จะให้โรงสีทำงานได้ ในปี 1884 Cornelis Piet ซื้อโรงสีแห่งนี้ซึ่งมีบ้านที่ด้านล่างของโรงสี ก่อนที่โรงสีจะได้รับการติดตั้งใบมีดตั้งแต่ปี 1955 และใช้มีหินเจียร 3 คู่ในการทำงาน ปัจจุบันโรงสี Molen van Piet เป็นของเทศบาลเมืองอัลค์มาร์ แต่ยังคงมีสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว Piet อาศัยอยู่

ศาลากลางเมืองอัลค์มาร์ (Alkmaar City Hall)
หลังจากชมโรงสี Molen van Piet เสร็จแล้ว เราเดินกลับเข้ามาในถนน Langestraat เพื่อไปยังศาลากลางเมืองอัลค์มาร์ (Alkmaar City Hall) สร้างขึ้นระหว่างปี ค. ศ. 1509 ถึงปี ค. ศ. 1520 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบลักษณะเฉพาะและผสมผสานแบบดัตช์ (ศาลากลาง) รวมกับซุ้มประตูและหอคอยในสไตล์กอทิก (เช่นเดียวกับในโบสถ์) แปดปีหลังจากสร้างเสร็จอาคารส่วนใหญ่ถูกไฟไหม้ ก่อนที่ศาลากลางจะได้รับการบูรณะในปี พ. ศ. 2440-2524 ศาลากลางแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2512 ปัจจุบันเป็นสถานที่จัดงานแต่งงาน ความสวยงามและลงตัวอีกหนึ่งอย่างก็คือ เมื่อมองกลับไปยังทางเข้าถนน Langestraat จะเห็นโบสถ์ Grote Sint Laurenskerk ที่ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนได้อย่างพอดี

เดินเล่นที่ถนนเก่าแก่ที่สุดในเมืองอัลค์มาร์ (Langestraat)
นอกจากศาลากลางที่มีความสวยงามบนถนนสาย Langestraat แล้ว ภายในยังเป็นถนนชอปปิงสายเก่าแก่ที่สุดในเมืองอัลค์มาร์ มีร้านค้า ร้านขายเครื่องประดับ ร้านอาหาร และคาเฟ่จำนวนมากทอดยาวตลอดสองฝั่งไปตามถนนที่มียาวประมาณ 410 เมตร ถนน Langestraat เชื่อมไปยัง Mient ซึ่งเป็นถนนอีกสายที่เดินไปสู่ตลาดชีสเมืองอัลค์มาร์ ภายในถนน Langestraat และถนน Mient ยังมีอาคารเก่าแก่ที่น่าสนใจหลายแห่ง




บ้านเรือนและอาคารเก่าแก่ (อนุสรณ์สถาน) บนถนน Langestraat และถนน Mient
- ร้านขายเครื่องประดับและสินค้าแฟชั่น Langestraat 1
- ร้านขายอุปกรณ์ทาสี Mient 31
- ร้านขายเครื่องลายครามและเครื่องเคลือบดินเผา Mient 33
- คาเฟ่ Verdronkenoord 119
Langestraat 1, Alkmaar
อาคารตรงมุมถนน Mient และถนน Langestraat มีร้านขายเครื่องประดับและสินค้าแฟชั่นตั้งอยู่ อาคารแห่งนี้มาจากศตวรรษที่ 17-18 อาคารทั้งสองด้านสร้างแบบกรอบแท่งสี่เหลี่ยมเซาะร่องคู่ตรงกลาง (Triglyph) พร้อมหน้าต่างบานเลื่อนเก้าบาน และหน้าต่างห้องใต้หลังคา ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำงานและที่อยู่อาศัย

Mient 31, Alkmaar
เป็นอาคารบนถนน Mient มีคำว่า ‘De Kroon’ (The Crown) ‘มงกุฎ’ สลักอยู่ด้านหน้า สร้างด้วยหน้าจั่วขั้นแบบบันไดสไตล์เรอเนสซองส์ที่มีรายละเอียดสวยงาม ทั้งสองชั้นของตัวอาคารและด้านบนสร้างด้วยสามเหลี่ยมหน้าจั่วแบบสวมมงกุฎ ปิดด้านใดด้านหนึ่งด้วยเสาอิฐที่มีแถบหินและสลักหินธรรมชาติ มีจั่วสามเหลี่ยมเหนือหน้าต่าง พร้อมหน้าต่างบานเลื่อนสิบสองบาน อาคารแห่งนี้มาจากศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันใช้ที่อยู่อาศัย ด้านล่างเป็นร้านขายอุปกรณ์ทาสี

Mient 33, Alkmaar
ติดกับร้านขายอุปกรณ์ทาสีหมายเลข 31 ยังมีอาคารหมายเลข 33 อีกหนึ่งแห่งที่มีความเก่าแก่และสวยงามไม่แพ้กัน อาคารแห่งนี้มาจากปี 1672 สร้างด้วยหน้าจั่วแบบขั้นบันไดในคาร์ทูช (Cartouche) ด้านบนสวมมงกุฎ มีหน้าต่างห้องใต้หลังคาทรงกลม พร้อมแถบน้ำที่ทำจากหินธรรมชาติ เพื่อไม่ให้น้ำฝนไหลมาทำทำลายหน้าอิฐ เหนือหน้าต่างมีซุ้มนูนโค้งก่ออิฐประดับ พร้อมหน้าต่างบานเลื่อนเก้าบาน ปัจจุบันใช้เป็นที่อยู่อาศัย ด้านล่างเป็นร้านขายเครื่องลายครามและเครื่องเคลือบดินเผา

Verdronkenoord 119, Alkmaar
หากเดินตามลำคลอง Verdronkenoord ไปเรื่อย ๆ และข้ามสะพาน Platte Stenenbrug เราจะพบกับอาคารเก่าแก่บริเวณหัวมุมถนนอีกหนึ่งแห่ง Verdronkenoord 119 สร้างในสมัยปี 1693 ด้วยหน้าจั่วแบบขั้นบันไดสวมมงกุฎด้วยแจกันบนยอดเสาที่วางอยู่บนคอร์เบลแกะสลัก มีแถบน้ำทำจากหินธรรมชาติ เพื่อไม่ให้น้ำฝนไหลมาทำทำลายหน้าอิฐ เหนือหน้าต่างมีซุ้มโค้ง พร้อมหน้าต่างบานเลื่อน และหน้าต่างห้องใต้หลังคา ปัจจุบันใช้เป็นที่อยู่อาศัย ด้านล่างเป็นร้านคาเฟ่

เดินเล่นที่ริมคลองเมืองอัลค์มาร์ (Alkmaar canals)
ภายในเมืองอัลค์มาร์นอกจากสถานที่ทางประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีลำคลองที่น่าสนใจหลายแห่ง
อาคารเก่าแก่สไตล์เรอเนสซองส์ (Waag Alkmaar)
เดินมาเรื่อย ๆ ตามถนน Mient จนสุดสายจะพบกับอาคาร Waag เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติขึ้นทะเบียนไว้บนจัตุรัส Waagplein ในเมืองอัลค์มาร์ ก่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นโบสถ์ในศตวรรษที่ 14 ในสไตล์เรอเนสซองส์ ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นโรงชั่งน้ำหนัก ปัจจุบันด้านหน้าสถานที่แห่งนี้เป็นลานกว้างสำหรับจัดตลาดชีสที่มีชื่อเสียง (Alkmaar Cheese Market) พิพิธภัณฑ์ดัตช์ชีส (Dutch Cheese Museum) และสำนักงานข้อมูลการท่องเที่ยวเมืองอัลค์มาร์ (VVV Alkmaar) ตั้งอยู่ในอาคารด้วย

ตลาดชีสเมืองอัลค์มาร์ (Alkmaar Cheese Market)
อัลค์มาร์เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในฐานะ ‘เมืองชีส’ มีตลาดชีสที่มีชื่อเสียงระดับโลก จัดขึ้นบริเวณจัตุรัส Waagplein ทุกเช้าวันศุกร์ ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงกันยายน มีการเดินขบวนแห่ผ่านถนน Langestraat และทอดยาวมาจนถึงลานกว้างแห่งนี้ รวมถึงกิจกรรมรื่นเริงจากพ่อค้าชีส สร้างความสนใจและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมเยียนตลาดชีสแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี

พิพิธภัณฑ์ดัตช์ชีสเมืองอัลค์มาร์ (Dutch Cheese Museum)
เดินเข้าไปยังอาคาร Waag เราจะพบกับพิพิธภัณฑ์ดัตช์ชีสเมืองอัลค์มาร์ (Dutch Cheese Museum) ซึ่งตั้งอยู่ด้านบนสุดของตัวอาคาร สถานที่แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1983 จัดแสดงประวัติความเป็นมาของชีส วิธีการผลิตและการค้าชีส วัตถุทางประวัติศาสตร์ ภาพวาด และกิจกรรมล่าขุมทรัพย์สำหรับเด็ก ๆ


เดินเล่นที่ถนนสายวินเทจ (Fnidsen)
เมื่อเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ชีสไปทางด้านซ้ายมือ และข้ามสะพาน Bathbrug บนลำคลอง Mient ไปยังถนนอีกฝั่งเราจะพบกับถนน Fnidsen ซึ่งเป็นถนนสายวินเทจที่ห้ามพลาดต้องมาเดินเล่นสักครั้ง ภายในถนนแห่งนี้เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องใช้ภายในบ้าน ร้านรองเท้า รวมถึงร้านขายอาหารและผักสด ความพิเศษของถนนสายนี้ไม่เพียงแต่มีร้านค้าที่มีความน่ารักจนไม่รู้จะเริ่มต้นเดินเข้าร้านไหนก่อนดี แต่ร้านค้าเหล่านั้นยังตั้งอยู่ในอาคารเก่าแก่จากศตวรรษที่ 17 และถูกดัดแปลงเป็นที่อยู่อาศัย และร้านขายของได้อย่างลงตัว

บ้านเรือนและอาคารเก่าแก่ (อนุสรณ์สถาน) บนถนน Fnidsen
Fnidsen 97, Alkmaar
ร้านขายไวน์หมายเลข Fnidsen 97 ตั้งอยู่ในอาคารอาคารที่สร้างแบบหน้าจั่วด้วยหินธรรมชาติ ตั้งแต่ปี 1623 สวมมงกุฎด้วยยอดแหลมบนคอร์เบลแกะสลัก บนหน้าต่างมีซุ้มโค้ง ด้านหน้ามีรูปดาวและจารึกปี 1623 ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำงานและที่อยู่อาศัย และร้านค้าขายไวน์ด้านล่าง

Fnidsen 113, Alkmaar
ร้านขายโปสการ์ดบริเวณหัวมุมถนน Fnidsen หมายเลข 113 เป็นอาคารจากศตวรรษที่ 19 สร้างด้วยซุ้มปั้นปูน พร้อมหน้าต่างบานเลื่อนหกบาน หน้าร้านมีความทันสมัย ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำงานและที่อยู่อาศัยและร้านค้า

Fnidsen 52, Alkmaar
อาคารเก็บของบริเวณหัวมุมหลังนี้นี้มีความพิเศษตรงที่สร้างขึ้นแบบอสมมาตรที่มีสัดส่วนไม่เหมือนกันทั้งสองด้าน ใช้หินธรรมชาติที่มีความสวยงาม มีประตูสองบานด้านหน้า และหน้าต่างพร้อมการกระจายก้านซึ่งเป็นที่นิยมในช่วงศตวรรษที่ 17-18

Fnidsen 66, Alkmaar
ร้านดอกไม้ Fnidsen 66 ตั้งอยู่ในอาคารจากศตวรรษที่ 17-18 ด้านหน้าและด้านหลังสร้างด้วยหินธรรมชาติ มีหน้าต่างบานเลื่อนหกบานตามสไตล์โรมัน


เดินต่อไปอีกเรื่อย ๆ ในถนน Fnidsen ร้านค้าจะเริ่มลดน้อยลง เราจะพบกับบ้านเรือนที่เป็นที่อาศัยของผู้คนที่นี้แทน ตามซอยเล็ก ๆ ในถนนแห่งนี้ผู้คนปลูกกิ่งไม้ให้เติบโตไปตามบ้านเรือน มองแล้วแปลกตาและดูไม่เหมือนกับร้านค้าอันหรูหราที่เพิ่งเดินผ่านมาเมื่อสักครู่

บ้านและรอยกระสุนปืน (House With Bullet)
เดินย้อนกลับมาใจกลางถนน Fnidsen ด้านขวามือเราจะพบกับสะพาน Appelsteegburg ตั้งอยู่บนริมคลอง Zijdam และมีบ้านหลายหลังที่สร้างเรียงรายกันอย่างสวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านหลังสีเขียวติดกับสะพาน หากมองแบบผิวเผินแล้วอาจเหมือนบ้านโดยทั่วไป แต่ถ้าหากสังเกตดี ๆ จะพบว่าด้านซ้ายมือของตัวบ้านมีลูกกระสุนติดอยู่ บ้านหลังนี้มีร่องรอยทางประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เป็นบ้านที่รู้จักกันดีของคนในท้องถิ่นชื่อว่า House With Bullet หรือ Huis Met de Kogel ในภาษาดัตช์ รอยกระสุนนั้นมาจากการปิดล้อมของกองทัพทหารสเปนในปี 1573 และมีการยิงปืนเข้ามาในพื้นที่หมู่บ้านที่มีคนอาศัยอยู่ กระสุนไม่ได้ทะลุเข้าไปในบ้าน สมาชิกในครอบครัวของบ้านหลังนี้ทุกคนไม่ได้รับอันตราย ก่อนที่จะการบูรณะซ่อมแซ่มบ้านและเสร็จอย่างสมบูรณ์ในปี 2010 เจ้าของบ้านยังคงลูกกระสุนไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงเหตุการณ์ในอดีต House With Bullet ยังเป็นเป็นบ้านไม้หนึ่งในสองหลังที่เหลืออยู่ในเมืองอัลค์มาร์

อาคารเก่าแก่จากศตวรรษที่ 17 (De Drie Schopjes Alkmaar)
เมื่อข้ามสะพาน Appelsteegburg และเดินไปทางขวามือเราจะพบกับ De Drie Schopjes เป็นอาคารเก่าแก่สร้างขึ้นในปี 1609 และได้การบูรณะในปี พ. ศ. 2425 สร้างด้วยหินธรรมชาติ มีหน้าจั่วแบบขั้นบันไดที่สวยงาม หน้าร้านมีบานประตูหน้าต่างและกันสาด ในอดีตคนทำขนมเค้กเคยทำงานในโกดังแห่งนี้ซึ่งยังสามารถมองเห็นได้จากชิปสามชิ้นในอิฐที่หันหน้าเข้าหากัน เมล็ดข้าวถูกเก็บไว้ชั้นบนและถูกยกผ่านหน้าต่างโค้งตรงกลาง ชั้นล่างเป็นร้านค้าที่มีการแสดงสินค้า

พอเดินชมสถานที่สำคัญจนทั่วแล้ว เราเดินย้อนกลับมาที่พิพิธภัณฑ์ชีสและผ่านไปยังไปยังถนน Magdalenenstraat และ ถนน Achterstraat ซึ่งเป็นถนนอีกสองสายที่มีความน่าสนใจและเหมาะแก่การเดินเล่นแบบเพลิน ๆ มีร้านขายอาคารสด ร้านเสื้อผ้า ร้านน้ำหอม ร้านขายพิซซ่า และอีกมากมาย รวมถึงร้านขายชีสให้ได้เลือกซื้อกันอย่างจุใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรับประทานชีส

เสน่ห์เมืองอัลค์มาร์ (Alkmaar)
หลังจากเดินตามถนนสองสายนี้จนทั่วแล้ว เราเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมง จึงตัดสินใจเดินทางไปเที่ยวต่อที่เมืองโฮร์น (Hoorn) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองอัลค์มาร์ประมาณครึ่งชั่วโมง นั่งรถไฟต่อไปได้สะดวก ทริปการเดินเที่ยวเมืองอัลค์มาร์จึงจบลงเพียงเท่านี้ เสน่ห์เมืองอัลค์มาร์ในความคิดของเราคือเมืองเก่าที่ดัดแปลงเข้ากับอาคารสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเดินไปตามมุมไหนก็มีอาคารเก่าแก่สร้างด้วยหน้าจั่วลักษณะพิเศษให้เห็นอยู่ตลอด อาคารส่วนใหญ่เหล่านี้มาจากศตวรรษที่ 17 สังเกตได้จากหน้าต่างพร้อมการกระจายก้านซึ่งเป็นที่นิยมในช่วงศตวรรษที่ 17-18 ผู้คนนิยมซื้อบ้านเก่ามาดัดแปลง แต่คงส่วนบนอาคารและหน้าจั่วไว้ ซึ่งสิ่งนี้ยังคงทำให้ได้บรรยากาศสมัยเก่า และเพิ่มมูลค่าของบ้าน
หากเดินทางมาเที่ยวที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และกำลังมองหา วันเดย์ทริปจากอัมสเตอร์ดัม เมืองอัลค์มาร์เป็นอีกหนึ่งเมืองเล็ก ๆ ที่ขอแนะนำให้ลองมาเที่ยวสักครั้ง หลาย ๆ เมืองเล็ก ๆ ที่ไม่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว แต่กลับเป็นที่รู้จักกันดีของผู้คนที่นี้ อาจสร้างความเซอร์ไพร์ให้กับใครหลายคน เหมือนกับเราในวันนี้ที่ไม่รู้สึกผิดหวังเลยที่เดินทางมาเที่ยวที่นี้ และนั้นก็ทำให้เมืองอัลค์มาร์เข้าไปอยู่ในลิสต์เมืองที่เราชอบในประเทศเนเธอร์แลนด์เรียบร้อยแล้ว
แผนที่ปักหมุดเดินเที่ยวเมืองอัลค์มาร์ด้วยตัวเอง
การเดินทางไปยังเมืองอัลค์มาร์ (Alkmaar)
นั่งรถไฟจากสถานีกลางกรุงอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam Centraal Station) ไปยังสถานีรถไฟเมืองอัลค์มาร์ (Alkmaar Station) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 34 นาที ค่าโดยสารประมาณ 8.10 ยูโร (สำหรับการเดินทางเที่ยวเดียว) วางแผนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเนเธอร์แลนด์
อ่านต่อที่เที่ยววันเดย์ทริปจากอัมสเตอร์ดัม
- 35 สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองไลเด้น (Leiden)
- เที่ยวเมืองเบรดา (Breda) เนเธอร์แลนด์ตอนใต้
- เที่ยวเมืองแห่งชีส “อัลค์มาร์” จังหวัดนอร์ทฮอลแลนด์
- เมืองอาเมอร์สโฟร์ต (Amersfoort) ของจังหวัดอูเทร็คท์
- เที่ยวดอร์เดรชท์ (Dordrecht) เมืองแห่งอนุสรณ์สถานแห่งชาติ
- เมืองเซร์โทเคนบอส (‘s-Hertogenbosch) เป็นเมืองหลวงจังหวัดนอร์ทบราแบนต์