ไฮเนเก้น เอ็กซ์พีเรียนซ์ หรือ “โรงเบียร์ไฮเนเก้น” (Heineken Experience) เป็นทัวร์แบบอินเทอร์แอคทีฟของเบียร์ยี่ห้อดังระดับโลก “ไฮเนเก้น” (ภาษาดัตช์: ไฮเนอเกิน) ตั้งอยู่ในโรงเบียร์เก่าแก่ที่สุดใจกลางกรุงอัมสเตอร์ดัม เคยเป็นโรงผลิตเบียร์ตั้งแต่ปี 1864 แต่ต่อมาในปี 1988 ต้องปิดตัวลงเพราะมีขนาดเล็กเกินไป ก่อนที่ฐานการผลิตแห่งใหม่จะย้ายไปอยู่ที่เมืองซูเทอร์เวาเดอร์ (Zoeterwoude) ในจังหวัดเซาท์ฮอลแลนด์ สถานที่แห่งนี้จึงกลายมาเป็นอาคารทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของเบียร์ไฮเนเก้น กระบวนการผลิตเบียร์ ที่จะพาผู้เข้าชมไปสัมผัสประสบการณ์ของแบรนด์แบบเต็มอิ่ม พร้อมลิ้มสรสชาติเบียร์สดในตอนท้ายฟรี ปัจจุบันโรงเบียร์ไฮเนเก้นเป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวยอดนิยมของอัมสเตอร์ดัม และการมาเที่ยวอัมสเตอร์ดัมจะครบสมบูรณ์ไม่ได้ ถ้าขาดทัวร์โรงเบียร์ไฮเนเก้นนี้ไป
วิธีการเดินทางไปโรงเบียร์ไฮเนเก้น (Heineken Experience)
โรงเบียร์ไฮเนเก้นตั้งอยู่ที่ Stadhouderskade 78 ใจกลางอัมสเตอร์ดัม ห่างจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอัมสเตอร์ดัมเพียง 7 นาที วิธีการที่สะดวกคือเดินจากย่าน Museumplein ไปตามถนน Stadhouderskade โรงเบียร์ไฮเนเก้นจะตั้งเด่นสง่าอยู่ทางขวามือ ถ้าใครที่เริ่มต้นการเดินทางจากสถานีรถไฟ Amsterdam Centraal สามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย 52 มาลงที่สถานี Vijzelgracht จากนั้นเดินอีก 4 นาที โรงเบียร์ไฮเนเก้นจะตั้งเด่นสง่าถัดจากสะพาน Nieuwe Vijzelstraat
ตั๋วเข้าชมโรงเบียร์ไฮเนเก้น (Heineken Experience)
พอเดินข้ามถนนมาแล้วเราก็จะเจอกับประตูทางเข้าโรงเบียร์ไฮเนเก้น อันดับแรกเราต้องโชว์ตั๋วเข้าชมที่จองล่วงหน้ามาแล้วให้กับเจ้าหน้าที่ก่อน จะปริ้นอีเมล์ยืนยันการจองหรือโชว์ QR-Code จากในมือถือก็ได้ ตั๋วเข้าชมโรงเบียร์ไฮเนเก้นมีหลายแบบ แบบที่เราเลือกก็คือ Heineken Tour 90 นาที ราคา 23 ยูโร รวมเครื่องดื่ม 2 แก้ว ที่นี่เขามีตั๋วรวมเข้าชมโรงเบียร์ไฮเนเก้นและล่องเรือเที่ยวในคลองอัมสเตอร์ดัมด้วยนะคะ ราคา 36.50 ยูโร เราจะมาอธิบายรายละเอียดกันอีกทีในตอนท้ายของบทความนี้
หลังจากเข้ามาด้านในโรงเบียร์ไฮเนเก้นแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้สายรัดข้อมือสีเขียวซึ่งมีเหรียญเล็ก ๆ สองเหรียญติดอยู่บนสายข้อมือ เหรียญนี้พูดง่าย ๆ คือแทนเงินค่าตั๋วที่เราจ่ายไปนั้นเอง เราสามารถนำไปแลกเครื่องดื่มด้านในได้ 2 แก้ว เพราะฉะนั้นเก็บให้ดี ๆ นะคะ ไม่อย่างนั้นอาจจะอดได้ดื่มเบียร์ตอนท้าย ส่วนสายรัดข้อมือเราก็เก็บไว้เป็นของที่ระลึก
เรื่องราวของโรงเบียร์ไฮเนเก้นเริ่มต้นขึ้นในกรุงอัมสเตอร์ดัม
ถึงเวลาเริ่มทัวร์จะมีเจ้าหน้าที่เป็นคนนำอธิบายข้อมูลในส่วนแรก ตรงนี้เขาจะจัดแสดงเรื่องราวของโรงเบียร์ไฮเนเก้นที่เริ่มต้นขึ้นในกรุงอัมสเตอร์ดัม มีรูปถ่ายการทำงานของโรงเบียร์ เครื่องบรรจุเบียร์ที่สมัยก่อนบรรจุด้วยมือและทำได้ทีละน้อยขวดไม่เหมือนในปัจจุบัน พอเดินเข้ามาเรื่อย ๆ จะเจอกับรางวัลเหรียญทองในปารีสที่ไฮเนเก้นได้รับในปี 1875 ซึ่งรางวัลนี้ปรากฎอยู่บนฉลากของขวดไฮเนเก้นทุกขวด (แต่ก่อนไม่ได้สังเกต พอกลับไปดูเขามีอยู่ข้างขวดจริง ๆ) รวมไปถึงขวดเบียร์ไฮเนเก้นรุ่นแรกในปี 1900 ที่มีจุดเด่นสีเขียวและใช้สีนี้มาจนถึงปัจจุบัน เขายังพูดถึงส่งออกเบียร์จำหน่ายในสหรัฐอเมริกาด้วยนะคะ เริ่มต้นในปี 1993 เมื่อสหรัฐอเมริกาผ่อนปรนให้ขายเบียร์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงถึง 3.2% ได้ ไฮเนเก้นจึงส่งสินค้าทางเรือยังเมืองโฮโบเกน รัฐนิวเจอร์ซีย์ ตั้งแต่นั้นมาไฮเนเก้นก็เป็นแบรนด์เบียร์นำเข้าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด
นิทรรศการส่วนแรกจบลงจากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้เราเดินทัวร์โรงเบียร์ไฮเนเก้นด้วยตัวเอง เราก็เดินตามบันไดขึ้นไปยังชั้นสอง ซึ่งเป็นนิทรรศการประวัติของเจอราร์ด เอเดรียน ไฮเนเก้น (Gerard Adriaan Heineken) ผู้บุกเบิกตำนานเบียร์ชื่อดังที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 158 ปี
ผู้บุกเบิกตำนานเบียร์ชื่อดังกว่า 158 ปี “โรงเบียร์ไฮเนเก้น” (Heineken Experience)
เจอราร์ด เอเดรียน ไฮเนเก้น (Gerard Adriaan Heineken) เด็กหนุ่มไฟแรงวัย 22 ปี ได้ซื้อโรงเบียร์เก่าแก่ “เดอ ฮอยเบิร์ก” (De Hooiberg) ในกรุงอัมสเตอร์ดัม และก่อตั้งบริษัท Heniken & Co. ขึ้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1864 แม้จะไม่มีประการณ์ในการทำธุรกิจเบียร์มากนักแต่ก็ไม่สามารถหยุดความมุ่งมั่นและตั้งใจของเขาไปได้ สามปีต่อมาเอเดรียนผลักดันธุรกิจเบียร์จนประสบความสำเร็จและสามารถขยายโรงเบียร์แห่งใหม่บน Stadhouderskade ในปี ค.ศ.1686 (ที่ซึ่งเรายืนอยู่ตรงนี้) เขายังได้ว่าจ้าง ดร.เอ ลี ออน (Dr. H Elion) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลุยส์ ปาสเตอร์ เพื่อพัฒนายีสต์สายพันธ์ ‘A’ ที่มีสูตรเฉพาะตัวจนทำให้เบียร์ไฮเนเก้นมีรสชาติเฉพาะตัวที่โดดเด่นและยังคงถูกใช้มาจนถึงทุกวันนี้
ที่โรงเบียร์ไฮเนเก้นบน Stadhouderskade ยังเป็นโรงเบียร์ดัตช์แห่งแรกที่ใช้เครื่องยนต์ลินเด้ทำความเย็น ซึ่งเปลี่ยนกระบวนการผลิตเบียร์อย่างสิ้นเชิง การผลิตน้ำแข็งแบบใช้เครื่องจักรทำให้ไฮเนเก้นไม่ต้องพึ่งพาน้ำแข็งธรรมชาติที่มีราคาแพงหรือห้องใต้ดินขนาดใหญ่อีกต่อไป นอกจากการพัฒนาโรงเบียร์ที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับการผลิตเบียร์แล้ว ยังมีห้องปฏิบัติการภายในเพื่อตรวจสอบและเพิ่มคุณภาพเบียร์ ไฮเนเก้นยังมีการใช้ขวดเบียร์แบบรุ่นแรก ๆ ที่เราเห็นในนิทรรศการช่วงแรก ขวดเบียร์แบบนั้นไม่เพียงส่งผลดีต่อการหมักเบียร์ที่ก้นขวดแต่ยังเก็บไว้ได้นานขึ้นและสะดวกต่อการขนส่ง
อีกคนปรากฏอยู่ในนิทรรศการของโรงเบียร์ไฮเนเก้นก็คือ ดร. เฮนรี ปิแอร์ ไฮเนเก้น (Henry Pierre Heineken) ในภาพวัย 28 ปี ในปี ค.ศ.1914 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการคนที่สองของโรงเบียร์ไฮเนเก้น ในฐานะที่เป็นนักเคมี เขาสนใจศาสตร์แห่งการกลั่นเบียร์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะเฮนรีเชื่อว่าการกลั่นเบียร์ไม่ได้มาจากเวทมนต์ของนักเล่นแร่แปรธาตุลึกลับ แต่เป็นอาชีพที่ต้องอ่านและศึกษาเพื่อกลายมาเป็นผู้ผลิตเบียร์ที่มีคุณภาพ เขาจึงได้แสวงหาความรู้และอุทิศตนเพื่อพัฒนามรดกของครอบครัว และสานต่อความสำเร็จของบิดาด้วยการนำพาบริษัทผ่านวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่ 1930 และการขยายธุรกิจนอกประเทศเนเธอร์แลนด์ ด้วยการซื้อโรงเบียร์ในกรุงบรัสเซลส์ในปี ค.ศ.1927
การทำงานในโรงเบียร์เป็นงานที่ไม่ง่ายเลย ในปี ค.ศ.1923 ไฮเนเก้นได้กลายมาเป็นหนึ่งในบริษัทดัตช์กลุ่มแรก ๆ ที่จัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญสำหนักพนักงานของบริษัท เช่นเดียวกันในปี ค.ศ.1929 หลังจากประสบวิกฤตเศรษฐกิจมาเป็นเวลากว่าทศวรรษ เฮนรี ปิแอร์ปฏิเสธที่จะไล่หรือเลิกจ้างพนักงาน เขาให้ทางเลือกแก่พนักงานในการเกษียณอายุก่อนกำหนดเมื่ออายุครบ 58 ปี เฮนรียังได้ก่อตั้งมูลนิธิ Heineken Foundation ขึ้นในปี ค.ศ.1937 เพื่อสนับสนุนพนักงานที่ต้องการความช่วยเหลือ
ผู้ผลักดันไฮเนเก้นให้เติบโตเป็นแบรนด์ระดับสากล
บุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งของไฮเนเก้นก็คือ เฟรดดี้ ไฮเนเก้น (Freddy Heineken) เขาเป็นลูกชายของเฮนรี ปิแอร์ ไฮเนเก้น และได้ร่วมงานกับไฮเนเก้นในปี ค.ศ. 1941 ในขณะนั้นบริษัทไม่มีครอบครัวเป็นเจ้าของอีกต่อไป ไม่กี่ปีต่อมาเขาได้ซื้อหุ้นคืนเพื่อให้ครอบครัวได้หุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทกลับคืนมาเพื่อรักษาการควบคุมของบริษัทในการเพิ่มทุนที่ต้องการ ต่อมาเขาได้จัดตั้ง Heineken Holding ซึ่งเป็นเจ้าของหุ้นไฮเนเก้นมากกว่า 50% ต่อมาเขาได้เป็นหัวหน้าคณะกรรมการและเมื่อเกษียณในปี ค.ศ.1989 ไฮเนเก้นก็เติบโตเป็นแบรนด์ระดับโลก เขายังมีส่วนร่วมในการตลาดของไฮเนเก้นด้วย ตัวอย่างเช่น สโลแกน “Delicious, Clear, Heineken” บางครั้งเองเขาพูดว่า: “ถ้าฉันไม่ได้เริ่มทำงานที่ไฮเนเก้น ฉันจะไปโฆษณา” ในปี ค.ศ. 1995 เฟรดดี้ยังได้รับรางวัลโฆษณาอันทรงเกียรติแห่งปี
อีกหนึ่งของความสำเร็จของเฟรดดี้ก็คือโลโก้ไฮเนเก้น เขาได้เริ่มใช้ตัวอักษร ‘E’ ที่มีลักษณะเหมือนรอยยิ้มปรากฎอยู่บนโลโก้ ใช้สีเขียวเป็นสีของแบรนด์ รวมถึงรวมโลโก้ระหว่างรูปดาวและแบนเนอร์เถาวัลย์ฮ็อพเข้าด้วยกัน จากจุดเริ่มต้นนั้นได้กำหนดภาพความเป็นสากลของแบรนด์ไฮเนเก้นมาจนถึงทุกวันนี้
วิวัฒนาการขวดเบียร์ไฮเนเก้น (Heineken Experience)
นิทรรศการในส่วนที่สองจบลงด้วยเรื่องของโฆษณาที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของของแบรนด์ ต่อมาก็มาเริ่มในส่วนที่สามกันเกี่ยวกับการพัฒนาขวดเบียร์ไฮเนเก้นที่มีรูปร่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ช่วงแรก ๆ เราจะเห็นว่าเป็นขวดเซรามิกรูปร่างธรรมดา ต่อมาได้เริ่มใช้ขวดแบบจุกเปิด ก่อนที่ขวดสีเขียวที่มีชื่อเสียงปรากฏขึ้นครั้งแรกในปี 2013 หลังจากที่ไฮเนเก้นเลิกผลิตขวดสีน้ำตาลที่ใช้มานานกว่าศตวรรษ
ยีสต์สายพันธ์ ‘A’ การเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์ของเบียร์ไฮเนเก้น
เดินมาอีกนิดเราจะพบกับโซนการผลิตเบียร์ไฮเนเก้นที่มีวิทยากรอธิบายให้ฟังแบบละเอียดว่าทำอย่างไรบ้าง ไฮเนเก้นเป็นเบียร์ 5% ที่ผลิตโดยไม่มีสารเติมแต่งใด ๆ มีส่วนผสมหลักสามอย่างในการผลิตเบียร์ คือ ข้าวบาร์เลย์ ฮ็อพและน้ำ ซึ่งสามส่วนนี้เป็นส่วนผสมหลักที่ผู้ผลิตเบียร์ทั่วไปใช้กัน แต่ต่างกันที่ยีสต์ของแต่ละบริษัทจะคิดข้นขึ้นมาด้วยสูตรเฉพาะของตัวเอง และนั้นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเบียร์แต่แบรนด์ถึงมีรสชาติที่ต่างกัน
ไฮเนเก้นได้ใช้ยีสต์สายพันธ์ ‘A’ ที่คิดค้นขึ้นมาเติมลงไปเพิ่มจากส่วนผสมหลักสามอย่าง และนั่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์ ยีสต์และข้าวบาร์เลย์ทำให้เบียร์ข้นขึ้นและมีรสชาติที่ดีเมื่อดื่ม เมื่อยีสต์และข้าวบาร์เลย์ผสมกันแล้วจะทำให้สารกันบูดอยู่ในนั้นคงอยู่นานและทำให้คุณอยากกินมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งส่วนผสมทั้งหมดนี้จะถูกหมักไว้ในถังขนาดใหญ่ตามระยะเวลาที่ต่างกัน เบียร์จะถูกควบคุมด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม จนในที่สุดก็กลายมาเป็นเบียร์ที่พร้อมบรรจุลงในขวดเพื่อส่งออกจำหน่าย
โรงผลิตเบียร์ไฮเนเก้น (Heineken Experience)
เมื่อส่วนผสมหลักพร้อมแล้วในการผลิตเบียร์ไฮเนเก้นจะถูกส่งมาที่โรงหมักเบียร์ ซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่ด้านในมีถังสำหรับผลิตเบียร์จำนวนมาก แต่ละถังออกแบบมาเพื่อรองรับเบียร์ในแต่ละส่วนสามารถควบคุมอุณหภูมิได้ ด้านในถังเมื่อมองเข้าไปเราจะเห็นบันไดปีนลงไปด้านล่าง ด้านในยังมีหน้าจอสำหรับฉายวิดีโอพร้อมภาพการทำงานในอดีต
ขั้นตอนการผลิตเบียร์ไฮเนเก้นมีความน่าสนใจทีเดียว ส่วนผสมหลักจะถูกนำเข้าถังแรกเพื่อผสมทุกอย่างให้เข้ากันดีด้วยอุณหภูมิ 78 องศาเซลเซียล จากนั้นส่งต่อไปยังถังที่สองเพื่อกลั่นและแยกส่วนผสมออกเป็นของเหลว ก่อนจะส่งต่อไปยังถังที่สามเพื่อต้มให้เดือดด้วยอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียลและทำให้เย็น ก่อนที่จะถ่ายโอนไปยังถังหมักและส่งต่อไปพักไว้เพื่อให้เบียร์มีรสชาติที่เข้มข้นและมีกลิ่นที่ดี จากนั้นเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็เข้าสู่การบรรจุลงในขวดเพื่อจัดจำหน่าย
การส่งออกเบียร์ไฮเนเก้นไปยังทั่วโลก “โรงเบียร์ไฮเนเก้น” (Heineken Experience)
หลังจากที่เรียนรู้เรื่องการผลิตเบียร์แล้วเราก็เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นต่อไป ระหว่างนี้เราจะเห็นเครื่องบรรจุเบียร์ลงในขวดที่มีจุดสำหรับสั่งทำขวดเบียร์ที่พิมพ์ชื่อเราลงไปได้ แต่ก่อนที่จะเข้าไปตรงนี้ได้ เราต้องผ่านนิทรรศการถัดไปก่อนนั้นก็คือประวัติการส่งออกเบียร์ไฮเนเก้นไปยังทั่วโลก เป็นนิทรรศการใหม่ที่โรงเบียร์ไฮเนเก้นกำลังปรับปรุง มีข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ 10% ของผู้บริโภคทั่วโลกอยู่ในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งไฮเนเก้นได้ไปถึงเอเชียเมื่อช่วง พ.ศ. 2423 ที่ไทยเราก็มีฐานการผลิตเบียร์ไฮเนเก้น เราจะเห็นแผนที่ประเทศไทยปรากฎอยู่ในนิทรรศการส่วนนี้ด้วย
นิทรรศการตรงนี้จะมีทางเข้าไปยังนิทรรศการถัดไป ซึ่งพนักงานจะขอเหรียญจากสายข้อมือเราหนึ่งเหรียญ จากนั้นเราก็เดินเข้าไปยังห้องด้านใน พอประตูทางเข้าปิดแล้วเราก็เดินไปเรื่อย ๆ เขาจะฉายวิดีโอแสงสีเสียงจัดเต็มเกี่ยวกับการบรรจุเบียร์ มีภาพขวดเบียร์ไหลไปตามสายพาน บรรยากาศข้างในนี้มันตื่นเต้นมากเหมือนว่าเราเป็นขวดเบียร์เอง พอวิดีโอจบลงแล้วเราก็เดินเข้าไปยังห้องเล็ก ๆ อีกหนึ่งห้องหนึ่งที่ข้างในมีที่นั่ง แล้วเขาก็จัดแสดงแสงสีเสียงแบบจัดเต็มมาอีกรอบ พาเราล่องลอยไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ แบบมันสุดยอดมากค่ะ เหมือนเราไปทัวร์รอบโลกภายใน 3-5 นาที
พอออกจากห้องแสดงแสงสีเสียงมาแล้วเราจะเจอกับซุ้มเบียร์เล็ก ๆ ที่มีวิทยากรเชิญชวนทุกคนให้มาชนแก้วกัน ตรงนี้เราจะได้ดื่มเบียร์ฟรีหนึ่งแก้ว เป็นเบียร์สด ๆ เลย แหม่ก็เอาเหรียญไปแล้วเนาะจะไม่ให้ดื่มได้ยังไง พอดื่มหมดแล้วเราก็เดินไปยังนิทรรศการถัดไปนั่นก็คือห้องทำขวดเบียร์ที่สามารถใส่ชื่อเราลงไปได้นั่นเอง
ออกแบบขวดเบียร์ของเราเอง “โรงเบียร์ไฮเนเก้น” (Heineken Experience)
พอมาถึงโซนนี้เราสามารถเลือกออกแบบขวดเบียร์ของเราเอง จะพิมพ์ชื่อหรือข้อความก็ได้ มันจะไปปรากฎอยู่ข้างขวดตามตัวอย่างในรูปภาพที่สอง ราคาขวดละ 6.50 ยูโร รับจ่ายด้วยบัตรเดบิตหรือบัตรเครดิตตามรูปภาพถัดไป พอจ่ายเงินแล้วเราจะยังไม่ได้รับขวดเบียร์เลยนะคะ ต้องรอเขาทำก่อน เราสามารถไปรับได้ที่เคาน์เตอร์ในร้านขายของฝากในตอนท้าย
ต่อมาถ้าเราเดินลงบันไดผ่านโซนออกแบบขวดเบียร์เราจะเจอกับโซนเครื่องเล่นแบบอินเทอร์แอคทีฟเพื่อให้ทุกคนมีส่วนรวมกันถ้วนหน้า เช่น ร้องคาราโอเกะ ถ่ายภาพ หรือปั่นจักรยานไปส่งเบียร์ ตรงเครื่องถ่ายภาพพอเราถ่ายเสร็จแล้วสามารถใช้มือถือสแกน QR-Code แล้วดาวน์โหลดรูปภาพลงมือถือของเราได้เลย โซนนี้ก็เลยจะสนุกสนานหน่อยเพราะมีอะไรให้ทำเยอะ
เดินไปอีกเราเจะเจอกับโซนโฆษณา ทางเดินก็มีสโลแกนภาษาดัตช์ “Heerlijk Helder Heineken” พอไปถึงด้านในจะเจอกับห้องฉายโฆษณาของไฮเนเก้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่โด่งดังมีชื่อเสียงคือโฆษณาเจมส์บลอนด์ รวมไปถึงเบียร์ไฮเนเก้นแบบแอลกอฮอล์ 0% ซึ่งเขาจะเพิ่มรายละเอียดตรงนี้ในนิทรรศการส่วนถัดไป
เบียร์ไฮเนเก้นแอลกอฮอล์ 0% “โรงเบียร์ไฮเนเก้น” (Heineken Experience)
เมื่อปี 2019 ไฮเนเก้นได้เปิดตัวเบียร์ 0% โดยใช้ส่วนผสมทางธรรมชาติ ให้พลังงานเพียง 69 แคลอรี เมื่อคุณดื่มยังจะได้รสชาติเบียร์ แต่ต่างกันที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่แต่จะได้รสมอลต์และรสผลไม้แทน ไฮเนเก้นยังได้ใช้โฆษณาเพื่อสร้างการรับรู้ไปยังผู้ชม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ของสหรัฐฯ แคมเปญนี้มีชื่อว่า “Now You Can” เพื่อช่วยโฆษณาผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ ใครที่สนใจลองหาดูวิดีโอเพิ่มเติมในยูทูป
ต่อมาเป็นโซนเกี่ยวกับการสนับสนุนกีฬาอย่างเป็นทางการของไฮเนเก้น โดยเฉพาะกีฬารักบี้และฟุตบอล ไฮเนเก้นเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ของการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกและรักบี้เวิลด์คัพ
ในปี พ.ศ. 2559 ไฮเนเก้นยังได้บรรลุข้อตกลงเป็นพันธมิตรระดับโลกของ FIA Formula One World Championships
คลับโรงเบียร์ไฮเนเก้นและดื่มเบียร์ฟรี
เดินสัมผัสประสบการณ์เบียร์ไฮเนเก้นมาอย่างเต็มอิ่มกว่า 2 ชั่วโมง ในที่สุดเราก็มาถึงช่วงสุดท้ายของโรงเบียร์ไฮเนเก้นกันแล้ว โซนนี้จะเป็นคลับขนาดเล็กเปิดเพลงแสงสีเสียงเหมือนกับอยู่ในคลับจริง ๆ เลยทีเดียว เราจะได้รับเบียร์ฟรีอีก 1 แก้วซึ่งเป็นแก้วสุดท้ายของทัวร์นี้ ด้วยความที่เราไม่ใช่คอเบียร์เท่าไรเลยได้เบียร์ 0% มาแทน
ร้านขายของฝาก “โรงเบียร์ไฮเนเก้น” (Heineken Experience)
ทัวร์ “โรงเบียร์ไฮเนเก้น” (Heineken Experience) ของเราในวันนี้จะจบลงที่ร้านขายของฝาก ที่นี่เขาจำหน่ายสินค้าหลายอย่างภายใต้แบรนด์ไฮเนเก้นที่นำมาเป็นจุดขายได้อย่างน่าสนใจ มีสินค้าที่เป็นรุ่นจำนวนจำกัดเยอะเลย แบบหาที่ไหนไม่ได้ ต้องมาที่นี่ ถ้าใครแวะมาถึงต้องนี้แล้วลองเดินเลือกกันดูกันค่ะ สำหรับก่อนหน้านี้ใครที่สั่งทำขวดเบียร์ที่มีชื่อของตนเองสามารถมารับได้ที่เคาน์เตอร์ตรงนี้เช่นกัน
สรุปทัวร์ “โรงเบียร์ไฮเนเก้น” (Heineken Experience)
“โรงเบียร์ไฮเนเก้น” (Heineken Experience) เป็นสถานที่ยอดนิยมของอัมสเตอร์ดัมที่มีความน่าสนใจมากทีเดียว ในแง่ของการตลาดถือว่าเป็นการเผยแพร่ภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ไปในตัว นิทรรศการยังสะท้อนการเปลี่ยนแปลงแบรนด์ตามกาลเวลา รวมไปถึงการพัฒนาแบรนด์โดยใช้การโฆษณาเข้ามาช่วยให้ไฮเนเก้นก้าวไปสู่ความเป็นสากล เอาจริง ๆ คนที่ดึงแบรนด์ให้กลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้งน่าจะเป็นเฟรดดี้ ไฮเนเก้น นี้แหละ แต่ก็ต้องขอบคุณเจอราร์ด เอเดรียน ไฮเนเก้นเหมือนกัน ที่เป็นจุดเริ่มของตำนวนเบียร์ระดับโลก แม้ว่าจะน้อยประสบการณ์ในการทำธุรกิจเบียร์ช่วงแรกแต่ก็พาบริษัทเติบโตเป็น “โรงเบียร์ไฮเนเก้น” (Heineken Experience) ที่เราเห็นมาจนถึงทุกวันนี้
ภาพรวมของทัวร์ในวันนี้ส่วนตัวมองว่าคุ้มค่าเงิน 21 ยูโรที่จ่ายไป ได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม่กลับบ้านไปด้วย เพราะแต่ก่อนเคยเห็นแต่เบียร์ไฮเนเก้นที่ขายในไทย พอได้มาดื่มเบียร์นี้ถึงถิ่นบ้านเกิดเนเธอร์แลนด์แล้วรู้สึกว่าฉันทำสำเร็จแล้ว ฟังแล้วอาจจะดูเกินไปหน่อย แต่ความตื่นเต้นเหล่านี้เราอาจจะเอาไปเทียบกับคนอื่นไม่ได้ เพราะการได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ของแต่ละคนนั้นต่างกัน อย่างไรก็ตามแม้จะไม่ใช่คอเบียร์แต่เราก็กลับบ้านไปพร้อมกับความเต็มอิ่ม ทั้งในแง่ความรู้และดื่มเบียร์สดที่เราขอเรียกมันว่าของแถมแล้วกัน
ใครที่มาเที่ยวอัมสเตอร์ดัมเราแนะนำให้ลองมาเที่ยวที่นี่สักครั้ง มันอาจจะดูเหมือนสถานที่สำหรับนักท่องเที่ยว แต่พอไปเดินจริง ๆ เราจะเจอกับดนดัตช์ไม่น้อยที่มาชมโรงเบียร์ไฮเนเก้นเหมือนกัน ที่สำคัญเผื่อเวลาไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ทัวร์อาจจะระบุว่า 90 นาที แต่พอมาเดินจริง ๆ มีอะไรให้ตื่นเต้นตลอด เดินไปเดินมาอ้าวจะสองสามชั่วโมงแล้วหรอ ดังนั้นอย่าลืมแพลนเวลากันดี ๆ นะคะ ที่เหลือก็แค่มาเปิดใจกับสถานที่แห่งนี้ให้เต็มที่ไปเลย
ชมโรงเบียร์ไฮเนเก้นและล่องเรือเที่ยวในคลองอัมสเตอร์ดัม
จากที่เกริ่นไปตอนแรกว่ามีตั๋วรวมสำหรับชมโรงเบียร์ไฮเนเก้นและล่องเรือเที่ยวในคลองอัมสเตอร์ดัมด้วย ราคา 35 ยูโร จุดเด่นของตั๋วนี้ก็คือได้สัมผัสประสบการณ์ตำนวนเบียร์ชื่อดังและดื่มเบียร์ฟรีสองแก้ว และยังได้นั่งเรือในคลองอัมสเตอร์ดัมอีก 1 ชั่วโมง จุดขึ้นเรือตั้งอยู่ที่ท่าเรือด้านหน้า “โรงเบียร์ไฮเนเก้น” (Heineken Experience) มีป้ายบอกชัดเจน เป็นตัวเลือกสำหรับใครที่อยากชมความสวยงามบ้านเรือนอัมสเตอร์ดัมจากริมคลอง
เรือจะเราผ่านไปยังสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และสัญลักษณ์ของเมืองที่มีความน่าสนใจหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นคลองหลักที่สำคัญ 4 สาย คือ Prinsengracht, Keizersgracht, Herengracht และ Singel ที่ขนานกันและทอดยาวไปทางตะวันออกเฉียงใต้สู่แม่น้ำ Amstel โดยมีฉากหลังเป็นบ้านเรือนจากสมัยสมัยศตวรรษที่ 17 พร้อมทัศนียภาพสวยงาม เรายังจะได้เห็นพิพิธภัณฑ์บ้านแอนน์ แฟรงค์ โบสถ์ Westerkerk ตั้งอยู่ริมคลองติดกับย่านยอร์ดาน รวมไปถึงที่เที่ยวอื่น ๆ ระหว่างเส้นทางเดินเรือ เช่น โรงแรมที่มีชื่อเสียง สะพานประวัติศาสตร์ที่มีรูปทรงแปลกตา และอีกมากมาย
ลิงก์จองตั๋วเข้าชม
- Amsterdam Heineken Experience Ticket (23 ยูโร/ 90 นาที)
- Heineken Experience and City Canal Cruise (36.50 ยูโร/ 90 นาที)
ลิงก์จองตั๋วล่องเรือในคลองอัมสเตอร์ดัม
- Amsterdam City Canal Cruise (24 ยูโร/ 75 นาที) ลดเหลือ 16.50 ยูโร
- Amsterdam Canal Cruise with Audio Guide (20 ยูโร/ 60 นาที) พิเศษ 15.50 ยูโร
- Amsterdam Highlights Canal Cruise (21 ยูโร/ 75 นาที) พิเศษ 14.95 ยูโร
- Amsterdam Canal Cruise to Jordaan (19.95 ยูโร/ 75 นาที)
- Amsterdam Evening Canal Cruise (27 ยูโร/ 90 นาที) พิเศษ 23 ยูโร
- Amsterdam By Night Cruise (19 ยูโร/ 60 นาที) พิเศษ 17.50 ยูโร
- Classic Boat Cruise with Cheese & Wine (21.95 ยูโร/ 60 นาที) พิเศษ 19.97 ยูโร
ลิงก์จองตั๋วล่องเรือในคลองอัมสเตอร์ดัมรวมพิพิธภัณฑ์
- Rijksmuseum and City Canal Cruise (36 ยูโร/ 75 นาที)
- Van Gogh Museum and City Canal Cruise (48 ยูโร/ 75 นาที) พิเศษ 38 ยูโร
ข้อมูลโรงเบียร์ไฮเนเก้น (Heineken Experience)
- ตั้งอยู่ที่: Stadhouderskade 78, 1072 AE Amsterdam
- เวลาเปิด: ทุกวัน 10:30-19:30 น. (วันศุกร์และวันเสาร์เปิดเวลา 10:30-21:00 น.)
- การเดินทาง: เดินจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอัมสเตอร์ดัมจากย่าน Museumplein ไปตามถนน Stadhouderskade เพียง 7 นาที โรงเบียร์ไฮเนเก้นจะตั้งเด่นสง่าอยู่ทางขวามือ ถ้าใครที่เริ่มต้นการเดินทางจากสถานีรถไฟ Amsterdam Centraal สามารถนั่งรถไฟใต้ดินสาย 52 มาลงที่สถานี Vijzelgracht จากนั้นเดินอีก 4 นาที โรงเบียร์ไฮเนเก้นจะตั้งเด่นสง่าถัดจากสะพาน Nieuwe Vijzelstraat
แหล่งข้อมูลวางแผนเที่ยว
Thank you
การเปิดเผย: บทความนี้มีลิงก์แอฟฟิลิเอทบางส่วน การกดที่ลิงก์ไม่มีค่าใช้จ่าย หากซื้อสินค้าหรือบริการจากลิงก์ดังกล่าว เราอาจได้รับค่ากำลังใจเล็กน้อยสำหรับนำไปพัฒนาบล็อก 🧡