One Day Trip จากอัมสเตอร์ดัม พาเดินเที่ยวเมืองเบรดา (Breda) ตั้งอยู่ในจังหวัดนอร์ทบราบันต์ ทางตอนใต้ของประเทศเนเธอร์แลนด์ ชื่อของเบรดามาจากคำว่า เบรเดอ อา (Brede Aa) ซึ่งหมายถึง แม่น้ำอาที่กว้างขึ้นเนื่องจากไหลมาบรรจบกับแม่น้ำมาร์กที่เมืองนี้พอดี ในอดีตเมืองเบรดาเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทหารและการเมือง ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เบรดาตกอยู่ภายใต้การปกครองของนาซีเยอรมนีเป็นเวลากว่า 4 ปี ก่อนที่กองทัพโปแลนด์ในฝ่ายสัมพันธมิตรได้ปลดแอกเมืองในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1944 จึงมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์และอนุสรณ์สถานเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำกองทัพและทหารชาวโปแลนด์ผู้สละชีพในวีรกรรมครั้งนี้ ปัจจุบันเบรดาเป็นเมืองสมัยใหม่ในสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ผ่านความเงียบสงบของลานสนามหญ้าที่ผู้อยู่อาศัยดั้งเดิม (Begijnhof) โบสถ์กลาง Grote Kerk ซึ่งเป็นสถานที่ฝังศพของราชวงศ์ดัตช์ในอดีต รวมถึงปราสาทเก่าแก่ของเมืองเบรดา (Castle of Breda) และพิพิธภัณฑ์ริมถนน (Blind Walls Gallery) พร้อมงานศิลปะแบบสตรีทอาร์ตที่ชวนให้หยุดมองไม่ได้ บทความนี้จะพาทุกท่านเดินเที่ยวเมืองเบรดา และค้นหาสถานที่เหล่านั้นไปด้วยกัน เป็น One Day Trip จากอัมสเตอร์ดัม พร้อมการเดินทาง และฟรี! แผนที่ปักหมุดเดินเที่ยวด้วยตัวเอง
การเดินทางไปยังเมืองเบรดา (Breda)
- เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ: นั่งรถไฟจากสถานีกลางกรุงอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam Centraal Station) ไปยังสถานีรถไฟเมืองรอตเตอร์ดัม (Rotterdam Station) จากนั้นนั่งรถไฟต่อไปยังเมืองเบรดา (Breda Station) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ค่าโดยสารประมาณ 22 ยูโร (สำหรับการเดินทางเที่ยวเดียว)
- เดินทางด้วยรถบัส FlixBus ราคาตั๋วเริ่มต้น 5 ยูโร (สำหรับการเดินทางเที่ยวเดียว)
- วางแผนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเนเธอร์แลนด์
เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมเพื่อนที่เมืองเบรดา ซึ่งเป็นครั้งที่สองของการเดินทางไปเมืองนี้ ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว จำได้ว่าตอนนั้นอากาศหนาวมาก เป็นการสัมผัสกับฤดูหนาวแบบจริงจังในประเทศเนเธอร์แลนด์ของเรา ทำให้การเดินเที่ยวเต็มไปด้วยความหนาวสั่น ทริปจบลงแบบทุลักทุเล แต่ก็ได้เห็นสถานที่สำคัญในย่านเมืองเก่าหลายแห่ง
ครั้งนี้เราได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง จึงถือโอกาสนี้ในการเดินเล่นรอบเมือง สถานที่ทั้งหมดผ่านหูผ่านตาจากครั้งแรกมาบ้าง เมื่อได้ลองกลับไปศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมของเมืองเบรดา ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของที่นี่หลาย ๆ เรื่อง ทริปการเดินเที่ยวในวันนี้จึงเป็นไปแบบสนุกสนาน ได้สังเกตรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของสถานที่นั้น ๆ เพิ่มมากขึ้น และนั้นก็ทำให้เรารู้สึกแฮปปี้อยู่ไม่น้อยที่ได้กลับมาเที่ยวที่เมืองเบรดาอีกครั้ง
เดินเล่นย่านเมืองเก่า (Breda Old Town)
Breda Old Town เป็นย่านเมืองเก่าที่มีความดงามและเป็นสถานที่ยอดนิยมในการเดินเที่ยวรอบเมือง ใจกลางเมืองเก่าล้อมรอบด้วยคลองวงกลม มีศูนย์กลางอยู่ที่จัตุรัสกลางเมืองเบรดา (Grote Markt) ซึ่งเป็นจัตุรัสเปิดขนาดใหญ่ถัดจากโบสถ์กลางเมืองเบรดา (Grote Kerk) รายล้อมด้วยร้านค้าจำนวนมาก แผงขายของในตลาด รวมถึงร้านกาแฟที่สามารถนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศสบาย ๆ ด้านนอกได้

จัตุรัสกลางเมืองเบรดา (Grote Markt Breda)
จัตุรัสกลาง Grote Markt เป็นหัวใจสำคัญของเมืองเบรดามาอย่างยาวนาน มีสถานที่สำคัญตั้งอยู่หลายแห่ง เช่น โบสถ์กลาง (Grote Kerk) ศาลากลางเก่า (Stadhuis Breda) รวมไปถึงถนนชอปปิงหลายสาย เช่น Ginnekenstraat และ Veemarktstraat รายล้อมด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่จำนวนมาก
จัตุรัส Grote Markt ไม่ได้แค่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่จัดงานต่าง ๆ เป็นประจำอีกด้วย เช่น เทศกาลดนตรีแจ๊สประจำปี และขบวนพาเหรดที่ยิ่งใหญ่พร้อมงานรื่นเริง ในเช้าวันอังคารจะมีตลาดประจำสัปดาห์บนจัตุรัสแห่งนี้ รวมถึงตลาดหนังสือเก่าในเช้าวันศุกร์ และตลาดขายของเก่าในช่วงบ่ายวันพุธ นอกจากนี้ Grote Markt ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวเมืองเบรดา (VVV Breda) สาขาเล็ก ๆ ที่อยู่ถัดจากศาลากลางเก่า ในช่วงวันหยุดเดือนธันวาคมมีต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่วางไว้ตรงกลางจัตุรัส และตลาดคริสต์มาสบริเวณจัตุรัส Kerkplein

ศาลากลางเก่าเมืองเบรดา (Old Stadhuis Breda)
Old Stadhuis Breda หรือศาลากลางเก่าเมืองเบรดา ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสกลาง (Grote Markt) อาคารประวัติศาสตร์แห่งนี้มีบันไดหินอยู่ด้านหน้า ประดับด้วยลูกกรงสิงโตแบกตราอาร์มของเบรดาและบราแบนต์ เหนือประตูทางเข้ามีรูปปั้นของผู้หญิงที่มีผ้าปิดตาและตาชั่ง (Lady Justice) สถานที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่แต่งงานของพลเมืองเบรดา และงานเลี้ยงรับรองของนายกเทศมนตรีเมืองเบรดา
ถัดจากนั้นเป็นถนนสายเล็ก ๆ ที่มีประตูไปยังทางด้านหลังของศาลากลาง ซึ่งเป็นลานคนเมือง (Stadserf) และที่ตั้งของศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว (VVV Breda) ปัจจุบันอาคารนี้เป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ ส่วนสถานที่ทำงานของเทศบาลเมืองเบรดาได้ย้ายไปยังอาคารที่ทันสมัยบนถนน Claudius Prinsenlaan 10

โบสถ์กลางเมืองเบรดา (Grote Kerk Breda)
บริเวณด้านหน้าศาลากลางเก่าเมืองเบรดาเยื้องไปทางขวามือ เป็นที่ตั้งของโบสถ์กลาง Grote Kerk หรือ Onze-Lieve-Vrouwekerk (Church of Our Lady) เป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญที่สุด และเป็นสถานที่สำคัญของเมืองเบรดา โบสถ์สร้างขึ้นในปี 1410 ในสไตล์ Brabantine Gothic ก่อนจะแล้วเสร็จในปี 1547 หอคอยของโบสถ์มีความสูง 97 เมตร
โบสถ์แห่งนี้ยังเป็นสุสานเก่าของราชวงศ์ van Nassau-Dillenburg บรรพบุรุษของราชวงศ์ดัตช์ออเรนจ์-นัสเซา (Orange-Nassau) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1520 ถึงปี 1525 ตามคำสั่งของ Lord of Breda, Henry III of Nassau-Breda สมาชิกในครอบครัวสิบเจ็ดคนถูกฝังอยู่ในโบสถ์ เมื่อกษัตริย์วิลเลียมแห่งออเรนจ์ (William the Silent) สิ้นพระชมน์มีแผนที่จะฝังร่างของพระองค์ไว้ในโบสถ์แห่งนี้ด้วย แต่ในเวลานั้นเมืองเบรดาถูกยึดครองโดยกองทัพสเปน ทำให้ร่างของกษัตริย์วิลเลียมแห่งออเรนจ์ และลูกหลานส่วนใหญ่ถูกฝังไว้ในสุสานในคริสตจักรใหม่ในเมืองเดลฟท์แทน ปัจจุบันโบสถ์ Grote Kerk ใช้เป็นห้องโถงจัดงาน ห้องพัก และงานแสดงสินค้า

พิพิธภัณฑ์ริมถนน (Blind Walls Gallery)
Blind Walls Gallery เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ริมถนน มีจิตกรรมฝาผนังมากกว่า 80 ชิ้นตามสถานที่ต่าง ๆ สร้างสรรค์โดยศิลปินนานาชาติ ภาพวาดแต่ละภาพสร้างจากเรื่องราวของเบรดาให้เข้ากับแต่ละสถานที่ หากปั่นจักรยาน หรือเดินเล่นรอบเมือง อาจจะได้เห็นผลงานศิลปะแบบสตรีทอาร์ตในหลาย ๆ สถานที่
วิหารเซนต์แอนโทนี (Sint Antoniuskathedraal)
เราเดินเข้าไปยังถนน Sint Janstraat และพบกับโบสถ์นิกายโรมันคาทอลิก (Sint Antoniuskathedraal ) ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจัตุรัส Grote Markt อาคารนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าวิหาร St. Anthony of Padua สร้างขึ้นในปี 1837 แบบนีโอคลาสสิก มีหอระฆังขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เหนืออาคารโดยรอบในเมืองเก่า (ยกเว้นโบสถ์ Grote Kerk) ภายในโบสถ์มีออร์แกนไม้หรูหรา เหนือประตูหลักมีเสาหินอ่อนสีขาวและสัญลักษณ์ทางศาสนา

ปราสาทเมืองเบรดา (Castle of Breda)
Castle of Breda สร้างขึ้นในในศตวรรษที่ 16 ด้วยสถาปัตยกรรมยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาชิ้นแรกที่เป็นที่รู้จักในเนเธอร์แลนด์ ก่อนจะมีการเพิ่มรายละเอียดด้วยสถาปัตยกรรมแบบกอทิกตอนปลาย น่าเสียดายที่ป้อมปราการดั้งเดิมหลายแห่ง และรายละเอียดยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาไม่ปรากฏอีกต่อไป เนื่องจากมีการก่อตั้งโรงเรียนนายร้อยจปร (Dutch Royal Military Academy) อย่างไรก็ตามเรายังสามารถเห็นหอคอยที่ประตูระบายน้ำสมัยศตวรรษที่ 16 ฝั่งท่าเรือ (Spaniard’s Hole Breda) และมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของปราสาทจากสวนสาธารณะเมืองเบรดา


บ้านหญิงโสดภายในคริสตจักร (Begijnhof Breda)
Begijnhof ก่อตั้งขึ้นในปี 1267 และเดิมอยู่ใกล้กับปราสาทเบรดา แต่เนื่องจากเคานต์เฮนดริกที่ 3 แห่งนัสเซา (Hendrik III van Nassau-Breda) ต้องการขยายปราสาทและสวน ในปี 1534-1535 ผู้อยู่อาศัยดั้งเดิม (Beguines) จึงย้ายลานสนามหญ้าไปยังถนน Catharinastraat ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบันโดยไม่เต็มใจ ในทางกลับกันพวกเธอได้รับคำมั่นสัญญาจากเคานต์เฮนดริกที่ 3 ว่าพวกเธอจะอยู่ภายใต้การคุ้มครองของนัสเซาตลอดไป
ด้วยเหตุนี้ Begijnhof จึงยังคงมีความผูกพันเป็นพิเศษกับราชวงศ์นัสเซา ภายใน Begijnhof ประกอบด้วยคริสตจักรของครูผู้สอนคำสอนคาทอลิก ประติมากรรมเพื่อระลึกถึงบุคคลสำคัญของ Begijnhof ลานสนามหญ้าซึ่งเคยเป็นลานฟอกสีผ้าลินินมาก่อน และสวนสมุนไพรกว่า 300 ชนิด

ประติมากรรมผู้อยู่อาศัยดั้งเดิม (Beguines in conversation (1971)
Beguines in conversation เป็นประติมากรรมที่ทำให้นึกถึงผู้อยู่อาศัยดั้งเดิม สร้างโดยช่างแกะสลัก Hans Bayens ผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมเป็นผู้หญิงโสดที่ก่อตั้งชุมชนภายในคริสตจักร แต่ไม่ได้ปฏิญาณชั่วนิรันดร์เหมือนธรรมเนียมของแม่ชี สิ่งที่เกิดขึ้นนำไปสู่ชีวิตที่เป็นอิสระแต่ยังมีบทบาทสำคัญทางศาสนา พวกเธอได้รับอนุญาตให้หาเลี้ยงชีพของตัวเองโดยการเข้าเรียนในสถานรับเลี้ยงเด็ก ดูแลคนป่วย ใช้แรงงาน และอธิษฐานเผื่อผู้เสียชีวิตโดยเสียค่าใช้จ่าย และยังมีอิสระที่จะออกจากสถานที่แห่งนี้และชุมชนอย่างถาวร ระหว่างปี ค. ศ. 1267 ถึง พ.ศ. 2533 มีคนประมาณ 900 คนอาศัยอยู่และทำงานในเบรดา
ปัจจุบัน Begijnhof ไม่มีผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมแล้ว Cornelia Catharina Frijters ผู้เป็นซิสเตอร์ฟริชเทอร์สคนสุดท้ายของเนเธอร์แลนด์เสียชีวิตในวันศุกร์ที่ 13 เมษายน 1990 ร่างของเธอถูกฝังอยู่ในสุสาน Zuylen ในเมืองเบรดา อย่างไรก็ตาม Begijnhof ยังคงมีผู้หญิงโสดอาศัยอยู่และเต็มไปด้วยประเพณีและขนบธรรมเนียมมากมาย

รูปปั้นความทรงจำที่ยาวนานของครูผู้สอน (Bronze statue of a catechist)
ภายใน Begijnhof ติดกับโบสถ์ใหม่ เราจะพบกับรูปปั้นขนาดเล็กตั้งอยู่ในแนวทแยงมุมตรงข้ามกับบ้านผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมจำนวน 39 หลัง เพื่อระลึกถึงสมาคมครูคำสอน (Association of Catechists) รูปปั้นนี้สร้างขึ้นโดยคู่สามีภรรยา Jean และ Marianne Bremers (เสียชีวิตแล้ว) และได้รับการเปิดผ้าคลุมเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2020 โดย Miss MHL Adriaanse หนึ่งในนักคำสอนคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่

ในปี พ. ศ. 2463 Maria Liefdewerk เริ่มต้นที่บ้านผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมจำนวน 39 หลัง และได้รับการพัฒนาภายใต้การนำที่สร้างแรงบันดาลใจของ Mgr FBJ Frencken the Association of Catechists ซึ่งก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2471 สังคมแห่งการเผยแพร่ชีวิตนี้ (Society of Apostolic Life) เกี่ยวข้องกับการยกระดับศาสนาและสังคม และการสนับสนุนเด็กผู้หญิง สตรี และครอบครัวที่เปราะบาง
สมาคมทำงานด้านการอภิบาลและงานสังคมสงเคราะห์ในเขตเทศบาล West Brabant และจังหวัดเซลันด์ (Zeeland) เป็นหลัก ในเมืองเบรดาเองสมาคมนี้มีบทบาทอยู่เป็นเวลานานในปราสาท Bouvigne ซึ่งใช้เป็นศูนย์กลางสำหรับการฝึกอบรมครูคำสอน ในช่วงที่ Maria Liefdewerk ดำรงอยู่หญิงสาวกว่า 232 คนได้อุทิศตนอย่างจริงจังเพื่อใช้เวลาทั้งชีวิตในการรับใช้สมาคมและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ
ประติมากรรม Johanna van Polanen (1392 – 1445)
รูปปั้น Johanna van Polanen เป็นผลงานประติมากรรมของศิลปิน Netty Werkman ตั้งอยู่ภายใน Begijnhof (ถัดจากคริสตจักร) รูปปั้นนี้ได้รับการเปิดผ้าคลุมเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2552 โดย Mgr. Dr. J.H.J. van den Hende บิชอปแห่งเมืองเบรดา ในโอกาสของการเปิดสถานที่ผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมอีกครั้งหลังการบูรณะในปี 2550-2551

Johanna van Polanen เป็นลูกสาวของ Jan III van Polanen เธอแต่งงานกับ Count Engelbrecht I of Nassau เมื่อตอนอายุ 11 ปี จากการแต่งงานในครั้งนี้ทำให้บ้านนัสเซา (Nassau) ได้รับมรดกของพ่อของโยฮันนา คนในครอบครัวบ้านนัสเซาได้เข้ามาอาศัยอยู่ในเนเธอร์แลนด์เป็นครั้งแรก โยฮันนาเป็นผู้ผลักดันการก่อสร้างวิหารเวนเดลินุส (Wendelinus Chapel) ซึ่งแล้วเสร็จในปี 1440
ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในชื่อโบสถ์วัลลูน (Walloon Church) หลังจากนั้นในปี 1535 ชุมชนต้นกำเนิดของเบรดาแห่งที่ 13 ได้ย้ายไปยังที่ตั้งของผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในปัจจุบัน (ทางด้านหลังโบสถ์แห่งนี้) หลังการเสียชีวิตของโยฮันนา ร่างของเธอถูกฝังไว้ที่โบสถ์กลางเมืองเบรดาพร้อมกับสามีของเธอ
ทุ่งหญ้าที่ใช้ฟอกผ้าลินิน (Bleekveld)
ภายใน Begijnhof ยังมีลานสนามหญ้าสำหรับใช้ฟอกขาวผ้าลินิน เนื่องจากการซักผ้าเป็นแหล่งรายได้ของผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมสำหรับบุคคลอื่น ๆ ลานสนามหญ้าฟอกขาวจึงเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ พลังของแสงแดดและออกซิเจนในการฟอกผ้าลินินถูกค้นพบในช่วงแรก ๆ แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจแนวคิดของออกซิเจน หลังจากซักผ้าลินินมักจะยังคงเป็นสีเหลืองและกลิ่นการใช้งานก็ยังไม่หายไป
อย่างไรก็ตามเมื่อกระจายผ้าลินินออกไปบนสนามหญ้าและปล่อยให้แห้งจะทำให้มีกลิ่นที่สะอาดและสีซีดจางลง ดังนั้นคำว่า ‘ฟอก’ จึงเกิดขึ้นภายใต้อิทธิพลของดวงอาทิตย์ อะตอมออกซิเจนอิสระเกิดขึ้นและผูกกับสิ่งสกปรก ซึ่งจะช่วยให้ผลเช่นเดียวกับการฟอกด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ก่อนที่หลังจากศตวรรษที่ 18 จะมีการนำสารฟอกขาวโดยใช้คลอรีนเข้ามาใช้

สวนสมุนไพร
นอกจากลานสนามหญ้าที่ใช้สำหรับฟอกผ้าลินินแล้ว Begijnhof ยังมีสวนสมุนไพรพร้อมด้วยสมุนไพรกว่า 300 ชนิด สมุนไพรมีป้ายชื่อภาษาละตินและดัตช์ ในอดีตผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมใช้สมุนไพรในการดูแลผู้ป่วย
สวนสาธารณะเมืองเบรดา (Park Valkenberg)
ถัดจาก Begijnhof หากเดินไปทางด้านซ้ายมือเราจะพบกับสวนสาธารณะ Valkenberg ตั้งอยู่ด้านหลังปราสาทเบรดา (Castle of Breda) และยังเป็นเส้นทางเดินไปยังสถานีรถไฟเมืองเบรดา (Breda Central Station) ในอดีตสวนสาธารณะเคยเป็นสวนของปราสาทมาก่อน และสามารถเข้าถึงได้เฉพาะผู้อยู่อาศัยในปราสาทและแขกของพวกเขาเท่านั้น แต่ในปัจจุบันเป็นสถานที่นัดพบของบุคคลทั่วไป
ภายในสวนสาธารณะมีความเงียบสงบ มีสระน้ำและน้ำพุขนาดใหญ่ รวมถึงผลงานศิลปะจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีป้อมปราการที่หลงเหลืออยู่ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองในอดีต บริเวณน้ำพุยังมีอนุสาวรีย์ในความทรงจำของเบรดา (The flight) ตั้งอยู่


อนุสาวรีย์ในความทรงจำของเบรดา (The flight)
The flight (De Vlucht) เป็นอนุเสารีย์รูปปั้นของแม่และเด็กชาย (ซึ่งดูเหมือนว่าแม่จะเหนื่อยล้าและลูกกำลังดิ้นรน) สร้างโดยช่างแกะสลัก Hein Koreman เพื่อเป็นความทรงจำของเหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเมืองเบรดา ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2483 นายกเทศมนตรีเมืองเบราซึ่งเป็นอดีตทหารได้ร่างแผนการอพยพโดยละเอียด หากเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นพลเมืองจะได้รับการคุ้มครองโดยการอพยพไปยังเมืองใกล้เคียง
อย่างไรก็ตามมีข่าวลือเกิดขึ้นว่าเยอรมันจะทิ้งระเบิดที่เมืองเบรดา และจะมีการปะทะกันระหว่างกองกำลังทหารเยอรมันและฝรั่งเศสที่รุกคืบเข้ามาจากทางใต้ ชาวฝรั่งเศสจึงเชื่อว่าการอพยพออกจากเมืองในทันทีเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เนื่องจากความตื่นตระหนกและความโกลาหลที่เกิดขึ้น เบรดามีเวลาเพียงหนึ่งวันในการอพยพผู้อยู่อาศัย ทำให้การอพยพเต็มไปด้วยความรีบเร่งและไม่เป็นระเบียบ ผู้คนกว่า 50,000 คนต้องออกจากเมือง

การเดินทางแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ผู้คนกลุ่มแรกประมาณ 25,000 คนเดินเท้าไปพร้อมกับจักรยาน เกวียน และรถเข็น ระหว่างทางไปยังเมือง Zundert และเมือง Achtmaal เป็นเส้นทางที่กองทหารฝรั่งเศสก้าวขึ้นไปทางเหนือ ดังนั้นผู้อพยพจึงลงเอยด้วยการต่อสู้กันระหว่างทหารฝรั่งเศสและเครื่องบินเยอรมันที่บินอยู่เหนือศีรษะ ผู้ลี้ภัยถูกยิงจากอากาศ พวกเขาต้องดำน้ำลงไปในคูน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด จากเส้นทางดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตในกลุ่มนี้จำนวน 40 ราย ผู้คนที่เหลือสามารถเดินทางกลับไปที่เมืองเบรดาได้หลังจากสามวันซึ่งถูกยึดครองโดยเยอรมัน
ผู้คนอีกหนึ่งกลุ่มประมาณ 25,000 คน มีช่วงเวลาที่เลวร้ายยิ่งกว่า พวกเขาต้องเดินไปที่เมือง Antwerp ผ่านเมือง Hoogstraten ที่นั่นนายกเทศมนตรี Van Slobbe ซึ่งออกเดินทางไปก่อนหน้าและได้ทำข้อตกลงกับนายกเทศมนตรีเมือง Antwerp เกี่ยวกับการต้อนรับการอพยพ แต่เนื่องจากด้านหน้าของการอพยพเคลื่อนตัวไปทางใต้มากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนในกลุ่มส่วนใหญ่จึงถูกขับเคลื่อนต่อไป และไกลออกไปในประเทศเบลเยียมและแม้แต่ประเทศฝรั่งเศส ผู้ลี้ภัยบางคนอยู่ห่างออกไปหลายเดือน
ในการโจมตีทิ้งระเบิดของเยอรมันที่เมือง Sint-Niklaas ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง Antwerp นอกเหนือจากชาวเบลเยียมอีกหลายสิบคนแล้ว ผู้ลี้ภัยจากเมืองเบรดาจำนวน 51 ยังถูกโจมตีในโรงเรียนเกษตรกรรมซึ่งเป็นที่ตั้งเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึง ขณะที่ด้านหน้าเคลื่อนตัวไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ ในทางทิศใต้ผู้อพยพชาวเบรดาหลายพันคนก็ถูกลากเข้าไปในความโกลาหลของชาวเบลเยียมและฝรั่งเศสหลายแสนคนที่หนีความรุนแรงของสงครามไปทางใต้ เป็นเวลาหลายเดือนหลังจากการยอมจำนนผู้คนในเบรดาพยายามติดตามผู้อพยพ และพาพวกเขากลับบ้านโดยรถประจำทางและรถพยาบาล
เมืองเบรดารอดพ้นจากความรุนแรงของสงครามโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ในครั้งนั้นมีพลเมืองเสียชีวิต 104 ราย และยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่เสมอ หลังจากหนึ่งวันที่เบรดาตกอยู่ในมือของเยอรมันแล้ว แทบจะไม่มีการทำสงครามใด ๆ รวมถึงการทิ้งระเบิดตามข่าวลือ และมีคำถามที่ว่าใครกันแน่ที่สั่งให้อพยพยังไม่ชัดเจนจนถึงทุกวันนี้ เป็นการกระทำของนายกเทศมนตรี Van Slobbe เพียงคนเดียวที่ดำเนินการอพยพพลเมืองตามแผนการ? หรือได้รับคำสั่งจากฝรั่งเศส? หรือเป็นภัยคุกคามจริงหรือไม่ที่ฝรั่งเศสและเยอรมันจะต่อสู้เพื่อเบรดา?
ซึ่งเหตุการณ์อพยพดังกล่าวเป็นประสบการณ์ร่วมของประชากรทั้งหมด และผลพวงที่กระทบกระเทือนจิตใจในครั้งนั้นได้ฝังตัวอยู่ในความทรงจำ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเหตุการณ์ The flight ได้กลายเป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับความทุกข์ยากที่สงครามนำมาในหลายรูปแบบ ตั้งแต่ปี 1999 มีการจัดพิธีรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเมืองเบรดาเป็นประจำทุกปี ในวันที่ 4 พฤษภาคม ที่สวนสาธารณะ Valkenberg รอบรูปปั้นอนุสาวรีย์ในความทรงจำของเบรดา (The flight)
ท่าเรือเมืองเบรดา (Harbour)
บริเวณด้านหน้าประตูระบายน้ำสมัยศตวรรษที่ 16 (Spaniard’s Hole Breda) มีท่าเรือเหมาะสำหรับการล่องเรือเล็ก ๆ และเดินเล่นพักผ่อน หากยืนอยู่ที่สะพาน Hoge Brug ในยามค่ำคืนและมองกลับไปยังใจกลางเมืองจะพบกับโบสถ์กลางพร้อมแสงไฟที่สวยงาม นอกจากนี้ย่านนี้ยังเต็มไปด้วยแหล่งรวมความบันเทิง ผับ บาร์ และร้านอาคารต่าง ๆ มากมาย

ประตูระบายน้ำสมัยศตวรรษที่ 16 (Spaniard’s Hole Breda)
Spanjaardsgat เป็นประตูระบายน้ำในกำแพงป้อมปราการทางตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทที่อยู่ระหว่างหอคอย Granaattoren และหอคอย Duiventoren เรียกว่า Spanjaardsgat (Spaniard’s Hole Breda) ชื่อนี้อ้างถึงอุบายของเรือพีท (Turf of Breda) ในปี 1590 เมื่อกองทหารของเจ้าชายมอริตส์ (Count Maurits van Nassau) ที่ซ่อนอยู่ในเรือพีทสามารถยึดกองทหารของเบรดากลับคืนมาจากชาวสเปนได้
อย่างไรก็ตามทางเดินระหว่างหอคอยทั้งสองไม่ได้รับรู้จนกระทั่งปี 1610 ภาพวาดและภาพสลักแสดงให้เห็นว่าเรือพีทได้เข้าสู่คูเมืองทางด้านเหนือ ในปัจจุบัน Spanjaardsgat มีหอคอยสองมุมเป็นฉากหลังที่เป็นธรรมชาติสำหรับเทศกาลงานดนตรี และการเต้นรำสามสัปดาห์ในฤดูใบไม้ผลิบนโป๊ะขนาดใหญ่ในคลอง การเข้ามาของนักบุญนิโคลัสในช่วงเทศกาลซินเทอร์คลาส (Sinterklaas) สู่เมืองเบรดาก็เกิดขึ้นที่นี่เช่นกัน
