วันเดย์ทริป (One Day Trip) จากอัมสเตอร์ดัม พาเที่ยวเมืองโฮร์น (Hoorn) เมืองเล็ก ๆ ที่มีความสวยงาม อยู่ห่างจากกรุงอัมสเตอร์ดัมเพียง 30 นาที พร้อมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ยุคทองของดัตช์ (Dutch Golden Age) เมืองโฮร์นตั้งอยู่ในภูมิภาค West-Friesland ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นทุ่งดอกทิวลิปและทุ่งหญ้า มีพื้นที่ติดกับทะเลสาบหลักในฮอลแลนด์ (Markermeer) ในอดีตนั้นเมืองโฮร์นกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ Dutch East India Company (VOC) ซึ่งเน้นการค้าสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น พริกไทย ลูกจันทน์เทศ และกานพลู มีบทบาทสำคัญในช่วงยุคทองของชาวดัตช์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เนเธอร์แลนด์มีความรุ่งเรืองและความมั่งคั่งแบบขีดสุด อย่างไรก็ตามในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 การค้าขายเริ่มยากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้โฮร์นสูญเสียหน้าที่ในฐานะเมืองท่าและกลายเป็นศูนย์กลางการค้าในระดับภูมิภาคแทน ปัจจุบันเมืองโฮร์นเป็นเมืองที่มีย่านที่อยู่อาศัยที่ทันสมัย และเป็นศูนย์กลางเมืองประวัติศาสตร์ ซึ่งยังคงสามารถเห็นและสัมผัสได้ถึงความมั่งคั่งของเมืองที่สะท้อนไปยังส่วนที่เหลือของโลกในสมัยนั้นด้วยอาคารทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวอันยิ่งใหญ่นี้ เรามาร่วมเดินทางไปยังเมืองโฮร์นด้วยกัน ทริปการเดินเที่ยวในวันนี้เป็นการเดินเที่ยวต่อจากเมืองอัลค์มาร์ (Alkmaar) วันเดย์ทริปแบบเที่ยวสองเมืองรวมกัน (Alkmaar และ Hoorn) จากกรุงอัมสเตอร์ดัม
การเดินทางไปยังเมืองโฮร์น
- นั่งรถไฟจากสถานีรถไฟเมืองอัลค์มาร์ (Alkmaar Station) ไปยังสถานีรถไฟเมืองโฮร์น (Hoorn Station) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 26 นาที ค่าโดยสารประมาณ 5.40 ยูโร (สำหรับการเดินทางเที่ยวเดียว)
- นั่งรถไฟจากสถานีกลางกรุงอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam Centraal Station) ไปยังสถานีรถไฟเมืองโฮร์น (Hoorn Station) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 32 นาที ค่าโดยสารประมาณ 8.90 ยูโร (สำหรับการเดินทางเที่ยวเดียว)
- เดินทางด้วยรถบัส FlixBus ราคาตั๋วเริ่มต้น 7 ยูโร (สำหรับการเดินทางเที่ยวเดียว)
- วางแผนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเนเธอร์แลนด์
หลังเดินทางมาถึงเมืองโฮร์นด้วยรถไฟจากเมืองอัลค์มาร์ (Alkmaar) เราเดินต่ออีกประมาณ 10 นาทีมายังใจกลางเมือง ด้วยความที่แบตโทรศัพท์ใกล้จะหมด เราจึงต้องเดินเที่ยวแบบไม่มีแผนที่จากอินเทอร์เนต อาศัยการเดินตามป้ายบอกทางในตัวเมือง และสังเกตสัญลักษณ์อนุสรณ์สถานแห่งชาติที่ติดกับอาคารต่าง ๆ แทน ซึ่งอาจจะสับสนบ้างในช่วงแรก ๆ เพราะเป็นการเดินทางมาเที่ยวที่เมืองนี้เป็นครั้งแรกแต่ เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าสู่ท่าเรือหลักของเมืองโฮร์นก็ทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งทันที อย่างไรเราเริ่มต้นเดินเที่ยวชมเมืองโฮร์นจากถนน Nieuwstraat ซึ่งเป็นถนนที่จะพาเราไปยังสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง อาคารแห่งแรกที่เราพบก็คือ ศาลากลางเมืองโฮร์นในอดีต (Statenlogement Hoorn)
สถานที่เที่ยวในเมืองโฮร์น
ศาลากลางเมืองโฮร์นในอดีต (Statenlogement Hoorn)
Statenlogement เป็นอาคารอนุเสาวรีย์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโฮร์นบนถนนห้าแยก สร้างขึ้นในปี 1613 มีหน้าจั่วสองขั้น ที่ซุ้มด้านหน้ามีลักษณะเด่นของตราอาร์ม (Coats of arms) ทั้งเจ็ดเมือง ได้แก่ Medemblik, Edam, Alkmaar, Hoorn, Enkhuizen, Monnickendam และ Purmerend สถานที่แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นโรงแรมขนาดเล็กสำหรับแขกคนสำคัญที่เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการสภาของ Noorderkwartier และ West Friesland จนถึงปี พ.ศ. 2339 และทำหน้าที่เป็นศาลากลางจนถึงปี พ.ศ. 2520 ก่อนที่ศาลากลางจะถูกย้ายไปยังอาคารใหม่ที่ Nieuwe Steen ปัจจุบันมีการเฉลิมฉลองการแต่งงานที่นี้ และยังเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางการ Statenlogement ยังได้รับการขึ้นทะเบียนในทะเบียนอนุสรณ์สถานแห่งชาติเนเธอร์แลนด์ภายใต้หมายเลข 22525

ประตูจากศตวรรษที่ 17 (Kloosterpoort)
เดินผ่านด้านหน้าอาคาร Statenlogement มาอีกนิดเราจะพบกับ Kloosterpoort ตั้งอยู่ทางซ้ายมือ สร้างขึ้นในปี 1607 เดิมเป็นประตูทางเข้าบ้านพักหญิงชรา (Oude Vrouwenhuis) ก่อนที่จะปิดตัวลงเนื่องจากขาดเงินสนับสนุน อาคารได้ถูกดัดแปลงให้เป็น Bank van Lening หลังจากนั้นถูกใช้เป็นโรงเรียนสอนดนตรีและห้องสมุด

จัตุรัสใจกลางเมืองโฮร์น (Kerkplein Hoorn)
เดินต่อไปตามถนน Nieuwstraat เข้าสู่ Kerkplein ซึ่งเป็นจัตุรัสใจกลางเมืองโฮร์น ได้รับการตั้งชื่อตามหนึ่งในบรรพบุรุษของโบสถ์ Grote Kerk ซึ่งในปัจจุบันตั้งอยู่กลางจัตุรัสแห่งนี้ นอกจากนี้จัตุรัสนี้ยังเป็นที่ตั้งของโบสถ์ Sint Jans Gasthuis, ประตูทหารเรือ Admiraliteitspoortje และอนุสาวรีย์อื่น ๆ อีกมากมาย ในปี พ. ศ. 2431 เทศบาลเมืองโฮร์นได้ใช้ชื่อ Kerkplein อย่างเป็นทางการ
โบสถ์กลางเมืองโฮร์น (Grote Kerk Hoorn)
ด้านหน้าจัตุรัส Kerkplein มีโบสถ์กลางเมืองโฮร์นตั้งอยู่ (Grote Kerk) ซึ่งอยู่ถัดจากจัตุรัส Roode Steen ซึ่งเป็นจัตุรัสที่มีชื่อเสียงที่สุดอันดับสองในเมืองโฮร์น โบสถ์แห่งนี้ขึ้นสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2424 และมีความสูง 60 เมตร

ประตูหินธรรมชาติจากศตวรรษที่ 17 (Oude Vrouwenpoortje)
หากเดินเข้าไปยังจัตุรัส Kerkplein ทางด้านซ้ายมือจะมีประตู Oude Vrouwenpoortje ตั้งอยู่ เป็นประตูทางเข้าหลักของบ้านพักหญิงชรา (Oude Vrouwenhuis) และมีทางเข้าอีกหนึ่งด้านบนถนน Wisselstraat 8 สร้างขึ้นในปี 1606 บน St. Geertensklooster ก่อนที่ Oude Vrouwenhuis จะปิดตัวลงเนื่องจากขาดเงินสนับสนุน อาคารได้ถูกดัดแปลงให้เป็น Bank van Lening หลังจากนั้นถูกใช้เป็นโรงเรียนสอนดนตรีและห้องสมุด ประตูสร้างจากหินธรรมชาติในสไตล์เรอเนสซองส์ พร้อมซุ้มครึ่งวงกลมมีตราอาร์มเมืองโฮร์น และยุวเทพที่เรียกว่าพุตโต (Putti) ถือกะโหลกศีรษะและนาฬิกาทราย สิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความไม่ยั่งยืนดังนั้นจึงเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับบ้านของหญิงชรา และรูปปั้นหญิงสาวสองคนนั่งอยู่ด้านข้างของซุ้มทั้งสองด้าน เราไม่รู้ว่าผู้หญิงสองคนที่อยู่ด้านบนของประตูเป็นตัวแทนของใคร พวกเขาแต่งตัวดีเกินกว่าจะเป็นอดีตผู้อยู่อาศัย เนื่องจากพวกเขามองผู้ชมอย่างภาคภูมิใจและตรงไปตรงมาจึงคิดว่าพวกเขาเป็นตัวแทนของมารดาและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ประตูทหารเรือ (Admiraliteitspoortje)
ถัดไปทางขวามือจากประตูทางเข้าบ้านพักหญิงชรา (Oude Vrouwenhuis) เราจะพบกับประตูอีกหนึ่งแห่ง คือ Admiraliteitspoortje ซึ่งเป็นประตูทางเข้าอาคารทหารเรือแห่งเดียวที่หลงเหลือในเมืองโฮร์น ประตูถูกสร้างขึ้นระหว่างการปรับปรุงใหม่ในปี 1607 ประกอบด้วยโครงสร้างอิฐและหิน พร้อมการตกแต่งอย่างหรูหราด้วยเสาไอออนิกและเสาร่อง ตัดกับบล็อกสี่เหลี่ยมหัวเพชร มีอิฐสลักลวดลายวางอยู่บนประตูในแถบแนวนอนในรูปศีรษะของผู้ชายสองคน ประตูถูกสวมมงกุฎกรอบหินธรรมชาติ พร้อมหินหน้าจั่วแสดงตัวอักษร P สามตัวที่ยืนหยัดเพื่อ Pugno Pro Patria หมายถึง ‘ฉันต่อสู้เพื่อบ้านเกิด’ ครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของทหารเรือในศตวรรษที่ 17 ช่วงสงครามเย็น

Kerkplein 31
เดินย้อนกลับมาที่ด้านหน้าถนน Kerkplein เราจะพบกับร้านค้าที่ตั้งอยู่มากมาย และมีร้านค้าหลังหนึ่งเลขที่ Kerkplein 31 สร้างแบบหน้าจั่วสูงจากศตวรรษที่ 17 และหน้าต่างจากศตวรรษที่ 18 ปัจจุบันอาคารแห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในเมืองโฮร์น (หมายเลข 22431)

ศูนย์งานศิลปะในโบสถ์จากศตวรรษที่ 16 St. Jansgasthuis (Kunstcentrum De Boterhal)
ศูนย์งานศิลปะ Kunstcentrum De Boterhal ตั้งอยู่ในโบสถ์ Sint Jans Gasthuis ในอดีต สร้างขึ้นในปี 1563 ทำหน้าที่เป็นตลาดเนยในช่วงทศวรรษที่ 1920 จึงนิยมเรียกว่า De Boterhal ก่อนจะพัฒนามาเป็นศูนย์งานศิลปะพร้อมศิลปินทัศนศิลป์จากเมืองโฮร์นหลายคนที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของสมาคมอีกด้วย ภายใน Kunstcentrum De Boterhal มีการจัดนิทรรศการและแกลเลอรีของ Westfriesgasthuis การจัดแสดงสินค้าภายนอก การประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการศึกษาโดยสมาชิกเพื่อการศึกษาและหรือมีส่วนร่วมอย่างชัดเจนโดยสาธารณะ และมินิคอนเสิร์ต

Kerkstraat 11
เดินผ่านศูนย์งานศิลปะ Kunstcentrum De Boterhal มาอีกนิดหนึ่ง เราจะพบกับร้านขายไวน์และวิสกี้ (Slijterij T Fust, Kerkstraat 11) ตั้งอยู่ในอาคารที่มีสถาปัตยกรรมแบบเรียบง่าย ออกแบบโดยเป็นสถาปนิกชาวดัตช์ผู้มีบ้านเกิดในเมืองโฮร์น (Adrianus Cyriacus Bleijs) Bleijs เป็นสถาปนิกที่มีความสามารถหลากหลาย และเป็นหนึ่งในสถาปนิกคาทอลิกไม่กี่คนในเวลานั้นที่ไม่ได้สร้างอาคารในสไตล์สถาปัตยกรรมฟื้นฟูกอทิกโดยเฉพาะ แต่ยังสร้างโบสถ์แบบสถาปัตยกรรมฟื้นฟูโรมาเนสก์ (Romanesque Revival architecture) และแบบยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอีกด้วย (Renaissance Revival architecture) จุดเด่นบางอย่างของผลงานของ Bleijs ยังคงดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรไปมา น่าเสียดายที่ไม่ได้เก็บรักษาทุกอย่างไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาคารร้านค้ามักจะถูกแทนที่ด้วยอาคารแบบอื่น ๆ เพื่อปรับให้เข้ากับยุคสมัย งานของ Van Bleijs จะมีเฉพาะส่วนบนของอาคารเท่านั้น อย่างไรก็ตามอาคารเลขที่ Kerkstraat 11 ได้รับการขึ้นทะเบียนอนุสรณ์สถานแห่งชาติในเมืองโฮร์น (หมายเลข 22443)

Kerkstraat 1
ถัดมาอีกนิดหนึ่งเราจะพบกับอาคารที่มีรูปร่างสวยสะดุดตาจนต้องหยุดมอง อาคารแห่งนี้เป็นอาคารหัวมุมทางด้านทิศเหนือของจัตุรัส Roode Steen สร้างแบบจั่วคอยกสูงโดยมีเสาสองต้นขึ้นจากคานหน้าและต่อไปตามคอ มีหินหน้าจั่วและเครื่องหมายปี 1660 (หินปี) ศตวรรษที่ 18 (ด้านหน้า) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในเมืองโฮร์น (หมายเลข 22434) ปัจจุบันอาคารแห่งนี้เป็นร้านอาหาร

จัตุรัสหลักในเมืองโฮร์น (Roode Steen Hoorn)
Roode Steen หรือ Kaasmarkt เป็นจัตุรัสหลักในเมืองโฮร์น ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซึ่งเป็นทางแยกจากถนนชอปปิงและตรอกซอกซอย 6 สาย ได้แก่ (ตามเข็มนาฬิกา) Grote Noord, Kerkstraat, Grote Oost, Grote Havensteeg, West และ Proostensteeg ภายในจัตุรัสแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ยุคทองดัตช์ Westfries Museum และรูปปั้นของผู้ว่าราชการจังหวัด Jan Pieterszoon Coen ซึ่งสร้างขึ้นโดย Ferdinand Leenhoff ในช่วงฤดูร้อนปี 2550 รวมถึงตลาดชีสเดิมที่เกิดขึ้นที่นี่และได้รับการฟื้นฟู Roode Steen แปลตามตัวอักษรในภาษาอังกฤษว่า Red Stone สถานที่แห่งนี้ได้รับชื่อจากการประหารชีวิตจำนวนมากที่เกิดขึ้นในจัตุรัส ถัดจากรูปปั้นของ Jan Pieterszoon Coen มีหินสีแดงขนาดใหญ่เป็นพยานอันเงียบงันของอดีตได้เป็นอย่างดี

รูปปั้นผู้ว่าการจังหวัด Jan Pieterszoon Coen
Jan Pieterszoon Coen เกิดที่เมืองโฮร์นในปี 1587 เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (Dutch East India Company) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า VOC (ตามภาษาดัตช์ Vereenigde Oostindische Compagnie) Coen และได้รับมอบหมายให้สร้างการผูกขาดให้กับบริษัท บริษัท VOC ก่อตั้งขึ้นในปี 1602 เป็นการควบรวมกิจการของ 12 บริษัท มีผลประโยชน์ทางการเงินอย่างกว้างขวางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทางทะเล ซึ่งเป็นแหล่งเครื่องเทศที่ให้ผลกำไรสูงและเป็นที่ต้องการมากในยุโรป
คณะสำรวจชาวดัตช์ได้ติดต่อกับหมู่เกาะนี้ในปี ค.ศ. 1599 โดยเซ็นสัญญาหลายฉบับกับหัวหน้าของชาวบันดานีเพื่อความพยายามที่จะผูกขาดเครื่องเทศ และห้ามชาวบันดานีค้าขายขายให้กับกลุ่มอื่นพวกเขาจึงต่อต้าน ทำให้ชาวดัตช์ตัดสินใจที่จะยึดครองหมู่เกาะนี้ด้วยกำลัง นำไปสู่เส้นทางการครอบงำในหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์ Jan Pieterszoon Coen ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษของชาติในเนเธอร์แลนด์
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 มรดกของเขากลายเป็นที่ถกเถียงกันเนื่องจากความรุนแรงที่เขาใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสุดท้ายของการพิชิตหมู่เกาะบันดาของชาวดัตช์ในปี 1609 – 1621 ทำให้มีผู้เสียชีวิตและตกเป็นทาสจำนวนมาก วันนี้ Jan Pieterszoon Coen ยังคงเป็นศูนย์กลางของการสนทนาเนื่องจากนักเคลื่อนไหวพิจารณาการกระทำที่โหดร้ายของเขา และตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของรูปปั้นของเขาในเมืองโฮร์น

พิพิธภัณฑ์ยุคทองดัตช์เมืองโฮร์น (Westfries Museum Hoorn)
Westfries Museum เป็นพิพิธภัณฑ์หลักของเมืองโฮร์น ตั้งอยู่ในจัตุรัสหลักของเมือง Roode Steen ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงความมั่งคั่งของยุคทองจากภาพวาด เครื่องเงิน และสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ Dutch East India Company (VOC) และยังมีการสัมผัสกับเมืองโฮร์นแบบเสมือนจริงด้วยประสบการณ์ VR ที่จะพาผู้ชมเดินผ่านเมืองโฮร์นในปี 1650 และล่องเรือ Kaap Hoorn ซึ่งเป็นเรือของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์
Westfries Museum เป็นสถานที่เหมาะสำหรับการเรียนรู้และทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ดัตช์เมืองโฮร์น โดยเฉพาะในช่วงยุคทองดัตช์ พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในอาคารจากปี 1632 ในปี พ. ศ. 2338 อาคารนี้ถูกใช้เป็นห้องโถง ห้องขังยังคงพบได้ที่ห้องใต้หลังคาของอาคาร ก่อนที่ในปี พ. ศ. 2423 จะมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ Westfries Museum ขึ้น และยังมีสนามหญ้าขนาดใหญ่ สามารถเดินเข้าไปในสวนเพื่อชมความสวยงามของด้านหลังอาคารและสวนดอกไม้

ข้อมูลเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Westfries Museum Hoorn
- ที่อยู่: Roode Steen 1 1621 CV Hoorn
- เวลาเปิดทำการ: วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 11:00-17:00 น. วันเสาร์-วันอาทิตย์ เวลา 13:00-17:00 น.
- ราคาตั๋วเข้าชม 9 ยูโร หรือใช้บัตร Museumkaart เข้าชมฟรี
- จองตั๋วออนไลน์ก่อนเข้าชมได้ที่: Westfries Museum Hoorn
นอกจากพิพิธภัณฑ์ยุคทองดัตช์เมืองโฮร์น (Westfries Museum Hoorn) ที่ต้องเข้าชมแล้ว เมืองโฮร์นยังมีอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กันนั้นก็คือ พิพิธภัณฑ์ศตวรรษที่ 20 (Museum of the 20th Century)
พิพิธภัณฑ์ศตวรรษที่ 20 (Museum of the 20th Century)
Museum of the 20th Century หรือ พิพิธภัณฑ์ศตวรรษที่ 20 ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2011 ตั้งอยู่ในอาคารเรือนจำเก่า Oostereiland ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงคอลเลคชันมากมายตั้งแต่ห้องนั่งเล่นไปจนถึงร้านค้าจากศตวรรษที่ 20 ที่จะพาผู้ชมย้อนเวลากลับไปว่าชีวิตในอดีตช่วงศตวรรษที่ 20 นั้นเป็นอย่างไร พร้อมเสียงบรรยายแบบเสียงภาษาอังกฤษที่สามารถขอรับได้ฟรีที่แผนกต้อนรับของพิพิธภัณฑ์
ข้อมูลเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Museum of the 20th Century
- ที่อยู่: Krententuin 24 1621 DG Hoorn
- เวลาเปิดทำการ: วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 10:00-17:00 น. วันเสาร์-วันอาทิตย์ เวลา 12:00-17:00 น.
- ราคาตั๋วเข้าชม 10 ยูโร หรือใช้บัตร Museumkaart เข้าชมฟรี
- จองตั๋วออนไลน์ก่อนเข้าชมได้ที่: Museum of the 20th Century
ตลาดชีสเมืองโฮร์น (Hoorn Cheese Market)
เมืองโฮร์นไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักในเรื่องของบริษัท Dutch East India Company เท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเวลาแห่งการซื้อขายชีส ตลาดชีสในเมืองโฮร์นเป็นตลาดชีสที่สำคัญที่สุดในทั้งจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากปี 1650 การค้าชีสเป็นธุรกิจที่เฟื่องฟู จัตุรัสหลักของเมืองโฮร์น Roode Steen จึงเป็นจุดที่ได้รับการขนานนามอย่างเป็นทางการว่า ‘Cheese Market’ การชั่งน้ำหนักของชีสเกิดขึ้นที่โรงชั่งน้ำหนัก ‘De Waag’ สามารถเยี่ยมชมตลาดชีสในเมืองโฮร์นและเพลิดเพลินไปกับการเต้นรำแบบชาวบ้านของพ่อค้าชีสได้ตามช่วงเวลาข้อมูลด้านล่าง
วันที่เปิดทำการ:
- เดือนมิถุนายน วันที่ 18 และ 25
- เดือนกรกฎาคม วันที่ 2, 9, 16, 23 และ 30
- เดือนสิงหาคม วันที่ 6, 20 และ 27
- ระหว่างเวลา: 13:30 – 15:45 น.
บริเวณจัตุรัส Roode Steen ยังมีโรงชั่งน้ำหนัก (Waag) ในอดีตตั้งอยู่ ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร หากเดินผ่านโรงชั่งน้ำหนักเข้าไปในถนน Grote Oost เราจะพบกับสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง ซึ่งสถานที่แรกที่เราพบก็คือ ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขในอดีต (Voormalig hoofdpost Hoorn) เป็นอาคารขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทางขวามือ
ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขในอดีต (Voormalig hoofdpost Hoorn)
Voormalig hoofdpost เป็นที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขในอดีต สร้างขึ้นในปี 1876 ด้วยสไตล์นีโอกอทิกและนีโอเรอเนสซองส์รวมอยู่ในอาคารเดียว ในประเทศเนเธอร์แลนด์ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขเหล่านี้ ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกของรัฐบาล ซึ่งเรียกว่า ‘Gothic post offices’ ด้านหน้าส่วนบนของอาคารมีการสร้างด้วยหินหน้าจั่วแบบขั้นบันได มีตราแผ่นดินและศิลาพร้อมข้อความว่า “ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข” และปี พ.ศ. 2419 (ปีที่เริ่มการก่อสร้าง) ในปี 2008 มีการก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์ในอาคารแห่งนี้
อาคารเก่าแก่สามหลังจากศตวรรษที่ 16 (Foreestenhuis Hoorn)
เดินต่อไปอีกนิดทางซ้ายมือจะพบกับ Foreestenhuis เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในเมืองโฮร์น ประกอบไปด้วยอาคารสามหลังที่เก่าแก่ที่สุดสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 มีซุ้มใหม่อยู่ด้านหน้า อาคารนี้สร้างขึ้นในสไตล์ Louis XIV ในปี 1724 ตามการมอบหมายของ Nanning van Foreest เขาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง เป็นนายกเทศมนตรี และยังเป็นผู้อำนวยการบริษัท West India Company อีกด้วย อาคาร Foreestenhuis ถูกใช้งานโดยครอบครัว Van Foreest ประมาณปี 1671-1801 ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้เป็นโบสถ์ตั้งแต่ปี 1802

โบสถ์สไตล์กอทิกจากศตวรรษที่ 15 Oosterkerk (Stichting Oosterkerk)
จากนั้นเดินต่อไปอีกเราจะพบกับ Oosterkerk หรือ Sint-Antoniuskerk เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่เป็นอันดับสองในเมืองโฮร์น สร้างขึ้นในสไตล์กอทิกมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1453 เดิมเป็นโบสถ์นิกายโรมันคาทอลิกสำหรับชาวประมงและชาวเรือ สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับ Saint Anthony ด้านหน้าของอาคารออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในสไตล์ Hendrick de Keyser โบสถ์มีหน้าต่างกระจกสี คริสตจักรถูกปลดประจำการในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ก่อนที่มูลนิธิ Oosterkerk ได้บูรณะอาคารแห่งนี้และนำไปใช้งานในหลายรูปแบบ


ประตูเมืองโฮร์น (Oosterpoort)
เดินต่อไปจนสุดถนน Grote Oost เข้าสู่ถนน Oosterpoort จะเห็นประตู Oosterpoort ตั้งอยู่บนคลองป้องกันเดิม Draafsingel รอบใจกลางเมือง ซึ่งขุดในปี 1577 Oosterpoort เป็นประตูเมืองแห่งเดียวที่เหลืออยู่ของเมืองโฮร์น สร้างขึ้นในปี 1578 โดยช่างแกะสลัก Joost Jansz Bilhamer ก่อนที่ในปี 1763 สะพานไม้ที่นำไปสู่ประตูจะถูกแทนที่ด้วยสะพานโค้งอิฐ และมีประตูเหล็กดัดในปัจจุบัน Oosterpoort ได้รับการจดทะเบียนในอนุสาวรีย์แห่งชาติเมืองโฮร์น (หมายเลข 22458)
ถนนเชื่อมกับท่าเรือหลัก (Korenmarkt)
เราเดินลัดเลาะตามตรอกซอยเล็ก ๆ จนมาโผล่ที่ถนน Korenmarkt ถนนแห่งนี้เป็นถนนที่เชื่อมระหว่างถนน Appelhaven กับท่าเรือหลักเมืองโฮร์น (Binnenhaven Hoorn) ตั้งอยู่ติดกับคลองซึ่งมีสะพานเล็ก ๆ สองแห่ง ได้แก่ สะพาน Engeltijesbrug และสะพาน Veermanskade ซึ่งปัจจุบันเป็นอนุสรณ์สถานของเมืองอย่างเป็นทางการ คลองถูกสร้างขึ้นในปี 1558 เพื่อให้เข้าถึงโกดังบนถนนได้ง่ายขึ้น โกดังส่วนใหญ่เคยเป็นที่เก็บเมล็ดพืช ในภาษาดัตช์ Koren แปลว่า ธัญพืช ถนนแห่งนี้จึงมีชื่อมาจากวัตถุประสงค์ในการใช้งานของบริเวณนี้โดยเฉพาะ
ท่าเรือหลักเมืองโฮร์น (Binnenhaven Hoorn)
เดินมาจาก Korenmarkt เพียงเล็กน้อย เราจะพบกับ Binnenhaven ท่าเรือหลักเมืองโฮร์น ซึ่งมีความสำคัญในประวัติศาสตร์ในฐานะจุดหมายปลายทางและศูนย์กลางการค้าสำคัญในยุคทองของดัตช์ บริเวณท่าเรือ Binnenhaven เคยมีการเทียบท่าของเรือขนาดใหญ่ เช่น ‘Bontekoe’ เรือของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (Dutch East India Company) บริเวณท่าเรือยังมีโกดังที่สวยงามในสไตล์ดั้งเดิม อาคารอนุสรณ์สถานชาติในเมืองโฮร์นกว่าห้าหลังตั้งอยู่ รวมถึงหอคอยป้องกันเมืองโฮร์น (Hoofdtoren) ที่กลายมาเป็นฉากหลังสำคัญในรูปภาพเมื่อพูดถึงท่าเรือเมืองโฮร์น

Oude Doelenkade 17, 19
หากเดินเข้าไปยังถนน Oude Doelenkade โดยที่ยังไม่ต้องข้ามสะพาน Veermanskade เราจะพบกับบ้านเรือนที่มีความสวยงามและสร้างด้วยหน้าจั่วแบบลักษณะพิเศษตั้งอยู่หลายหลังบริเวณท่าเรือหลักเมืองโฮร์น อาคารเลขที่ Oude Doelenkade 17 และ 19 ก็เช่นกัน สร้างแบบหน้าจั่วขั้นบันไดในปี 1616 และได้รับการบูรณะในสไตล์ศตวรรษที่ 17 Puibal ด้านหน้ามีตราอาร์มพร้อมหน้ากากสิงโตและปีที่ก่อสร้าง ปัจจุบันอาคารแห่งนี้ใช้เป็นที่ทำงานและที่พักอาศัย และเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในเมืองโฮร์น (หมายเลข 22534)

Oude Doelenkade 21
ติดกับอาคารเลขที่ Oude Doelenkade 17, 19 จะเห็นอาคารเลขที่ 21 ได้รับการบูรณะหน้าจั่วแบบขั้นบันไดในปี 1962 ปัจจุบันใช้เป็นอาคารจัดเก็บของ และเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในเมืองโฮร์น (หมายเลข 22536)
อาคารเก่าแก่ใกล้กับท่าเรือ
- Veermanskade 2 เป็นอาคารแบบหน้าจั่วขั้นบันได และได้รับการปรับปรุงส่วนหน้าสมัยศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันใช้เป็นอาคารจัดเก็บของ และเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในเมืองโฮร์น (หมายเลข 22580)
- Veermanskade 3 เป็นบ้านที่มีซุ้มปูนพร้อมยอดที่ทันสมัย ปัจจุบันใช้เป็นอาคารจัดเก็บของ และเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในเมืองโฮร์น (หมายเลข 22581)
- Veermanskade 5 บ้านที่มีซุ้มฉาบปูนไม่มีด้านบน ปัจจุบันใช้เป็นอาคารจัดเก็บของ และเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในเมืองโฮร์น (หมายเลข 22583)
Veermanskade 6
เป็นอาคารแบบเรียบง่ายสร้างขึ้นใหม่ในช่วงศตวรรษที่ 18 ประดับอิฐสามก้อนด้านหน้า ปัจจุบันใช้เป็นอาคารจัดเก็บของ และเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติในเมืองโฮร์น (หมายเลข 22584)

หอคอยป้องกันเมืองโฮร์น (Hoofdtoren)
เดินมาตามถนนบริเวณท่าเรือหลักเมืองโฮร์น Binnenhaven ทางด้านซ้ายมือเราจะพบกับ Hoofdtoren ตั้งชื่อตามท่าเทียบเรือว่า ‘Houten Hoofd’ หอคอย Hoofdtorenเป็นหอคอยป้องกันหลักของเมืองโฮร์น และถูกใช้งานระหว่างปี 1532-1614 ปัจจุบันยังสามารถเข้าไปในหอคอยได้ และมีร้านอาหารตั้งอยู่ที่ชั้นบนสุด

รูปปั้นเด็กชายสามคน Scheepsjongens van de Bontekoe (Bontekoe’s Cabin Boys)
De Scheepsjongens van de Bontekoe หรือ Bontekoe’s Cabin Boys เป็นเรื่องราวที่เขียนโดยนักหนังสือพิมพ์และนักผจญภัยชาวดัตช์นามว่า Johan Fabricius เขาได้รับแรงบันดาลใจจากวารสารของนักสำรวจ Willem Bontekoe เกี่ยวกับเรื่องราวเด็กชายในห้องโดยสาร: Padde, Hajo และ Rolf ของกัปตัน WIllem Bontekoe พวกเขาเข้าร่วมการเดินทางกับ Willem Bontekoe บนเรือของเขา ‘Nieuw Hoorn’ ขณะที่เรืออยู่ในมหาสมุทรอินเดีย Padde เริ่มจุดไฟ เมื่อไส้ตะเกียงจากเทียนที่กำลังลุกไหม้ตกลงไปในถังบรั่นดี ทำให้เครื่องดื่มลุกเป็นไฟและไม่สามารถดับได้ จนไฟลามไปถึงห้องแป้งในที่สุดก็ทำให้เรือระเบิด มีลูกเรือเพียง 70 คนจาก 200 คนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว พวกเขาเดินทางต่อไปยังเกาะสุมาตราเพื่อการผจญภัยที่กำลังจะมาถึง ในปี 2550 ภาพยนตร์ที่มีชื่อเดียวกันได้รับการเข้าฉายในประเทศเนเธอร์แลนด์

ด้านหน้าหอคอย Hoofdtoren หากเดินตรงไปอีกนิดหนึ่งจะมีสะพานข้ามไปยังถนน Hoofd บริเวณแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ศตวรรษที่ 20 (Museum of the 20th Century) และท่าเรือ Grashaven ซึ่งมีเรือท้องถิ่นจอดอยู่มากมาย บริเวณนี้เหมาะสำหรับเป็นจุดชมวิวและพระอาทิตย์ตกเย็นได้เป็นอย่างดี
ชมพระอาทิตย์ตกเย็นที่ท่าเรือ Grashaven
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดเมื่อเดินทางมาเยือนเมืองโฮร์น นั้นคือการนั่งชมพระอาทิตย์ตกเย็นจากท่าเรือ Grashaven บริเวณนี้มีม้านั่งและทางเดินสำหรับเดินชมท่าเรือได้โดยรอบ ทางด้านขวามือเป็นบ้านเรือนและที่อยู่อาศัยของผู้คนในพื้นที่ นับเป็นความโชคดีของผู้คนที่ซื้อบ้านในแถบนี้ เพราะสามารถมองพระอาทิตย์ตกเย็นได้จากที่บ้าน ได้บรรยากาศที่ดีขณะรับประทานอาหารเย็นไปอีก
เรานั่งชมพระอาทิตย์ตกเย็นอยู่สักพัก ในช่วงหน้าหนาวพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าเป็นพิเศษ ณ ขณะนั้นเวลาเพียง 5 โมงเย็น แต่บรรยากาศโดยรอบเริ่มมืดแล้ว เราเก็บภาพบรรยากาศของแสงพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าได้เพียงสองสามภาพก่อนที่แบตโทรศัพท์จะหมด จากนั้นเราเดินกลับไปยังจัตุรัส Roode Steen อีกครั้ง ผ่านถนนชอปปิงที่มีร้านค้าตั้งอยู่มากมายไปยังสถานีรถไฟเมืองโฮร์น ก่อนจะขึ้นรถไฟกลับกรุงอัมสเตอร์ดัมไปพร้อมกับความอิ่มเอมใจของการเที่ยววันเดย์ทริปแบบเที่ยวสองเมืองรวมกัน (Alkmaar และ Hoorn) ในวันนี้ หากมีโอกาสเราจะเดินทางกลับมาเที่ยวที่เมืองโฮร์นอีกแน่นอน

เสน่ห์ของเมืองโฮร์น และทำไมถึงควรลองมาเที่ยวที่นี้สักครั้ง
โฮร์นเป็นเมืองท่าสำคัญในอดีต และเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (Dutch East India Company) ท่าเรือหลักของเมืองโฮร์นจึงไม่ใช่แค่สถานที่สวยงาม แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ หลังผ่านช่วงยุคทองของดัตช์ โฮร์นต้องสูญเสียหน้าที่ในฐานะเมืองท่าและกลายเป็นศูนย์กลางการค้าในระดับภูมิภาคแทน แต่เรื่องราวความมั่งคั่งเหล่านี้ยังคงพบเห็นได้ตามอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวของยุคทองดัตช์ได้เป็นอย่างดี
บ้านเรือนในเมืองโฮร์นในความคิดของเรามีความเก่าแก่ โดยส่วนมากยังคงส่วนบนที่สะท้อนให้เห็นถึงความยาวนานตั้งแต่ปีที่เริ่มต้นก่อสร้าง ลวดลายบนหน้าจั่วยังแสดงถึงสถาปัตยกรรมที่เป็นที่นิยมในสมัยนั้น ๆ หากท่านใดที่ชื่นชอบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ บ้านเรือนเก่าแก่ ท่าเรือที่สวยงาม หรือแม้แต่เมืองที่ทันสมัย เมืองโฮร์นรวมทุกคำตอบเหล่านี้ไว้ และที่สำคัญการเดินทางยังสะดวกจากรุงอัมสเตอร์ดัมเพียงครึ่งชั่วโมง
เสน่ห์ของเมืองโฮร์นในความคิดของเราคือบ้านเรือนเก่าแก่ที่สะท้อนความรุ่งเรืองและมั่งคั่งในยุคทองของดัตช์ได้เป็นอย่างดี และนั้นก็ทำให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับประเทศเนเธอร์แลนด์มากขึ้นผ่านสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เราเขียนเล่ามาทั้งหมดอาจจะยังไม่เพียงพอกับความสวยงามและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ที่รอต้อนรับผู้คนไปสัมผัสด้วยตัวเอง หรือพูดสั้น ๆ ได้แค่เพียงว่า “เมืองโฮร์นจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง” และนั้นก็ทำให้เมืองโฮร์นเข้าไปอยู่ในลิสต์เมืองสวยที่เราชอบในประเทศเนเธอร์แลนด์อีกหนึ่งเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แผนที่ปักหมุดเดินเที่ยวเมืองโฮร์นด้วยตัวเอง
อ่านต่อที่เที่ยววันเดย์ทริปจากอัมสเตอร์ดัม
- 35 สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองไลเด้น (Leiden)
- เที่ยวเมืองเบรดา (Breda) เนเธอร์แลนด์ตอนใต้
- เที่ยวเมืองแห่งชีส “อัลค์มาร์” จังหวัดนอร์ทฮอลแลนด์
- เมืองอาเมอร์สโฟร์ต (Amersfoort) ของจังหวัดอูเทร็คท์
- เที่ยวดอร์เดรชท์ (Dordrecht) เมืองแห่งอนุสรณ์สถานแห่งชาติ
- เมืองเซร์โทเคนบอส (‘s-Hertogenbosch) เป็นเมืองหลวงจังหวัดนอร์ทบราแบนต์