กำลังมองหาที่เที่ยวอิสตันบูล? อิสตันบูลเป็นมหานครสองทวีประหว่างยุโรปและเอเชียขั้นกลางด้วยช่องแคบบอสพอรัส สถานที่ทางประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มาจากจักรวรรดิไบแซนไทน์และจักรวรรดิออตโตมัน โดยเฉพาะมัสยิดบลูและฮาเกียโซเฟีย ที่ยังคงสะท้อนเรื่องราวเหล่านี้ได้ดี ที่เที่ยวอิสตันบูล แบ่งออกเป็นหลายโซน เช่น โซนเมืองเก่า ‘สุลต่านอาห์เหม็ด’ (Sultanahmet) รวมพิพิธภัณฑ์มัสยิดและพระราชวัง โซนท่าเรือ ‘Eminönü’ ย่านสมัยใหม่สุดคึกคัก ‘คาราคอย’ (Karaköy) ย่านทักซิมสแควร์ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงย่านฝั่งเอเชีย ‘อึสคือดาร์’ (Üsküdar) และ ‘คาดิคอย’ (Kadıköy) ทั้งหมดนี้เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ บทความนี้จะมาพูดถึงรายละเอียดของ ที่เที่ยวอิสตันบูล ในย่านต่าง ๆ เหล่านั้นกัน พร้อมวิธีการเดินทาง ที่จะพาคุณพาไปสัมผัสเสน่ห์ที่แตกต่างของเมืองสองวัฒนธรรมพร้อม ๆ กัน

ฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia) ที่เที่ยวอิสตันบูล
ฮาเกียโซเฟีย หรือมหาวิหารเซนต์โซเฟีย (ภาษาตุรกี: Ayasofya) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนาที่มีความสวยงามในเมืองอิสตันบูล ตั้งอยู่ที่ย่านเมืองเก่าทางฝั่งยุโรปตะวันตกตรงข้ามกับจัตุรัสสุลต่านอาเหม็ด ที่นี่เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่ยิ่งใหญ่ของโลก ตัวอาคารมีสถาปัตยกรรมที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาในหลายศตวรรษที่ผ่านมา รวมไปถึงภาพโมเสกพระจักรพรรดินีโซอีที่ยังคงเห็นได้ภายในตัวอาคารจนถึงปัจจุบัน
ในอดีตนั้นฮาเกียโซเฟียถูกสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 537 ในสมัยพระจักรพรรดิจัสติเนียน เพื่อเป็นโบสถ์คริสต์ไบแซนไทน์ ต่อมาหลังการล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี ค.ศ. 1453 มหาวิหารแห่งนี้ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นมัสยิด ก่อนที่ในปี ค.ศ. 1935 ได้ถูกเปลี่ยนถ่ายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ภายใต้ชื่อ ‘Hagia Sophia Museum’ หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 2020 จนถึงปัจจุบันฮาเกียโซเฟียได้ถูกเปลี่ยนกลับมาเป็นสุเหร่าทางศาสนาอีกครั้ง
นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมสถานที่แห่งนี้ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเข้าชม สำหรับผู้เข้าชมสุภาพสตรีควรเตรียมผ้าคลุมหัวและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ปกปิดไหล่และขา ด้านในอาคารปูด้วยพรมต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าชม (มีตู้ขนาดเล็กสำหรับวางรองเท้า) ในช่วงเวลาละหมาดเรามักจะเห็นผู้คนหนาแน่นในสถานที่แห่งนี้ ทางสุเหร่าอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในช่วงเวลาดังกล่าวได้ แต่ต้องอยู่ในพื้นที่ที่จัดไว้ให้ไม่ไปรบกวนการทำละหมาด (ยกเว้นการทำละหมาดใหญ่ในวันศุกร์)
- Location Hagia Sophia
- Get there by Tram T1, Sultanahmet Station (Walk 5 mins)
- Opening time: Every day, 24 hrs.
- Entrance fee: Free

มัสยิดสุลต่านอาเหม็ด (Sultan Ahmed Mosque)
มัสยิดสุลต่านอาเหม็ด หรือสุเหร่าสุลต่านอาห์เหม็ด (ภาษาตุรกี: Sultan Ahmet Camii) เป็นแลนด์มาร์คทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของอิสตันบูลและรู้จักกันดีในชื่อ ‘มัสยิดสีน้ำเงิน’ (Blue Mosque) เนื่องจากผนังด้านในตกแต่งรอบล้อมด้วยกระเบื้องเคลือบสีฟ้าและหินอ่อนแกะสลักอย่างปราณีต ที่นี่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับฮาเกียโซเฟีย สถาปัตยกรรมที่ใช้ในการออกแบบจึงมีความใกล้เคียงกัน
มัสยิดสุลต่านอาเหม็ดถูกสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 1609 และ ค.ศ. 1616 โดยซูลตันอาห์เมท 1 กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิออตโตมัน ประกอบไปด้วย 5 โดม หอคอย และ 8 โดมรอง ด้านในอาคารประดับด้วยงานแฮนด์เมดมากกว่า 20,000 ชิ้น รวมไปถึงหน้าต่างกระจกสีมากกว่า 200 บานที่รับกับแสงธรรมชาติได้เป็นอย่างดี ความสวยงามของมัสยิดสุลต่านอาเหม็ดยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะในตอนกลางคืนยังมีการเปิดไฟประดับสีฟ้าส่องสว่างสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล ใครที่มีเวลาเหลือเราขอแนะนำให้เดินไปเที่ยวที่นี่ในช่วงพลบค่ำเช่นกัน
น่าเสียดายช่วงที่เราไป (กุมภาพันธ์ 2022) ด้านในมัสยิดส่วนใหญ่มีการปรับปรุง ผนังถูกปิดด้วยผ้าคลุมเกือบทั้งหมดทำให้มองไม่เห็นโดมหลักทั้ง 4 โดม ยกเว้นโดมหลักตรงกลางที่มองขึ้นไปยังเห็นอยู่ ในช่วงที่มีการทำละหมาด 5 ครั้งต่อวันมัสยิดจะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม (โดยเฉพาะการทำละหมาดใหญ่ในวันศุกร์ที่ใช้เวลานานมากกว่าปกติ) ควรเช็คเวลาให้แน่ใจก่อน ที่ประตูทางเข้ายังมีป้ายบอกช่วงเวลาที่จะทำละหมาดและช่วงเวลาที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม
ผู้เข้าชมสุภาพสตรีควรเตรียมผ้าคลุมหัวและแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ปกปิดไหล่และขา ถ้าไม่ได้เตรียมมาทางมัสยิดมีผ้าคลุมให้ที่หน้าประตูทางเข้า ผู้เข้าชมชายควรสวมกางเกงที่คลุมเข่า และต้องถอดรองเท้าในการเข้าชมเนื่องจากพื้นปูด้วยพรม (มีถุงพลาสติกฟรีให้ใส่รองเท้า)
- Location Sultan Ahmed Mosque
- Get there by Tram T1, Sultanahmet Station (Walk 3 mins to entrance C)
- Opening time: Every day 09:00-19:00 hrs. (Except on Sunday 09:00-17:00 hrs.)
- Entrance fee: Free

จัตุรัสสุลต่านอาห์เมต (Sultanahmet Square)
จัตุรัสสุลต่านอาห์เมต (ภาษาตุรกี: Sultanahmet Meydanı) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘ฮิปโปโดรม’ (Hippodrome) ในอดีตใช้เป็นสนามแข่งม้าซึ่งเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมในยุคเฮล เลนิสติกโรมัน และไบแซนไทน์ ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่า รอบพื้นที่จัตุรัสสุลต่านอาห์เมตคุณจะพบกับสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง เช่น ฮาเกียโซเฟียที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับมัสยิดบลูขั้นกลางด้วยลานน้ำพุสุลต่านอาห์เมต อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทัน เสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุส น้ำพุเยอรมัน เสาพญานาค และเสาโอเบลิสก์วอลล์ ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ใกล้กันถ้ามาเยี่ยมชมแล้วได้เห็นครบทุกอย่างแน่นอน
- Location Sultanahmet Square
- Get there by Tram T1, Sultanahmet Station (Walk 2 mins)
- Opening time: Every day 24 hrs. Entrance fee: Free
เสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุส (Obelisk of Theodosius)
เสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุส (ภาษาตุรกี: Dikilitaş) เป็นเสาอียิปต์โบราณสร้างขึ้นในฮิปโปโดรมโดยฟาโรห์ทุตโมสที่ 3 (Thutmose III) ช่วง 1479–1425 ปีก่อนคริสตกาล ถ้านับรวมปัจจุบันเสานี้ตั้งมานานแล้วถึง 3,000 ปี เสาโอเบลิสก์แห่งโธโดสิอุสใช้หินแกรนิตสีแดงจากอัสวานเมืองหลวงทางตอนใต้ของอียิปต์ แต่เดิมมีความสูง 30 เมตร แต่สันนิษฐานจากร่องรองรอยของตัวฐานว่าอาจได้รับความเสียหายระหว่างการขนส่งหรือก่อสร้างใหม่ทำให้ความสูงรวมฐานปัจจุบันเหลือเพียง 25.6 เมตรเท่านั้น ทั้งสี่ด้านของเสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุสมีแผ่นจารึก ส่วนแท่นหินอ่อนบริเวณฐานทั้งสี่ด้านมีภาพนูนต่ำที่สื่อถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในกรุงคอนสแตนติโนเปิล เช่น มงกุฎแห่งชัยชนะแก่ผู้ชนะในการแข่งรถม้า
น้ำพุเยอรมัน (German Fountain)
น้ำพุเยอรมัน (ภาษาตุรกี: Alman Çeşmesi) เป็นโดมทรงแปดเหลี่ยมมีหลังคาปกคลุมด้วยสถาปัตยกรรมแบบสไตล์นีโอไบแซนไทน์ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของฮิปโปโดรมตรงข้ามกับสุสานของสุลต่านอาเหม็ดที่ 1 สร้างขึ้นในประเทศเยอรมนีเพื่อเป็นของขวัญเฉลิมฉลองวันครบรอบปีที่สองของการเสด็จเยือนอิสตันบูลของจักรพรรดิเยอรมันวิลเฮล์มที่ 2 ในปี พ.ศ. 2441 น้ำพุเยอรมันได้รับการขนส่งทางเรือและนำมาประกอบตามขนาดปัจจุบันในปี พ.ศ. 2443 มีเสาทั้งหมดแปดต้น ภายในโดมประดับด้วยหินอ่อนและปูด้วยกระเบื้องโมเสคสีทอง ถ้าเดินมาที่ฮิปโปโดรมจากลานน้ำพุสุลต่านอาห์เมตจะเห็นน้ำพุนี้ตั้งอยู่หน้าทางเข้า
เสาพญานาค (Serpent Column)
เสาพญานาค (ภาษาตุรกี : Yılanlı Sütun) เป็นเสาทองแดงโบราณตั้งอยู่ที่ฮิปโปโดรมถัดจากเสาโอเบลิสก์ของธีโอโดซีอุส สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงชาวกรีกที่ต่อสู้และเอาชนะจักรวรรดิเปอร์เซียในยุทธการพลาตาช่วงศตวรรษที่ห้าก่อนคริสต์ศักราช ลักษณะของเสาเป็นร่างของตัวงูใหญ่สามตัวบิดเกลียวแน่น เว้นช่วงหัวที่ถูกทำให้เหมือนขาตั้งเครื่องบูชา มีความสูงจากพื้นดินประมาณ 8 เมตร ปลายศตวรรษที่ 17 ส่วนของหัวงูทั้งสามถูกทำลาย เหลือเพียงเสาที่เราเห็นในปัจจุบัน ส่วนกรามบนของศีรษะข้างหนึ่งของงูได้รับการฟื้นฟูและจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล
เสาโอเบลิสก์วอลล์ (Walled Obelisk)
เสาโอเบลิสก์วอลล์ (ภาษาตุรกี: Örme Dikilitaş) เป็นเสาหินตัวสุดท้ายที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของฮิปโปโดรมถัดจากเสาพญานาค ถูกสร้างขึ้นเพื่อประกาศถึงชัยชนะของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ บาซิลที่ 1 มีลักษณะเป็นเสาสี่เหลี่ยมความสูง 32 เมตร ปลายเสาเดิมถูกปกคลุมด้วยแผ่นโลหะทองสัมฤทธิ์ แต่ถูกทำลายโดยกองทหารลาตินในสงครามครูเสดครั้งที่สี่ เหลือเพียงเสาที่เราเห็นในปัจจุบันและถูกล้อมรอบด้วยกำแพง

อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทัน (Basilica Cistern)
อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทัน (ภาษาตุรกี: Yerebatan Sarnici) เป็นอ่างเก็บน้ำโบราณใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอิสตันบูล ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าใกล้กับมัสยิดสีน้ำเงินและฮาเกียโซเฟีย สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 6 สมัยของจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 แห่งไบแซนไทน์ พื้นที่ด้านในเป็นห้องใต้ดินขนาดประมาณ 138 เมตร ประดับด้วยเสาหินอ่อน 12 แถวรวมจำนวน 28 เสา โดยแต่ละเสาห่างกัน 5 เมตร ที่นี่สามารถจุน้ำได้มากถึง 80,000 ลูกบาศก์เมตร ในอดีตใช้เป็นระบบกรองน้ำให้กับพระราชวังใหญ่แห่งคอนสแตนติโนเปิลและพระราชวังโทพกาปึ ปัจจุบันมีน้ำขังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมโดยสามารถเดินลงไปได้ผ่านบันไดห้าสิบสองขั้น ที่นี่ยังเคยเป็นฉากหนึ่งของการถ่ายทำภาพยนตร์ ‘1963 James Bond’ อีกด้วย
น่าเสียดายช่วงที่เราไป (กุมภาพันธ์ 2022) อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทันมีการปิดปรับปรุงชั่วคราวทำให้ไม่สามารถเข้าชมได้ เราจึงได้แต่เก็บภาพจากภายนอกเท่านั้น ส่วนใครที่ไปแถวย่านนี้แนะนำให้เข้าชมสักครั้ง หลังการปรับปรุงอาจจะมีอะไรเปลี่ยนไปอีก ยังไงก็ติดตามข่าวสารและช่วงเวลาแน่นอนที่จะกลับมาอีกครั้งได้จากเว็บไซต์ทางการนะคะ
- Location Basilica Cistern
- Get there by Tram T1, Sultanahmet Station (Walk 5 mins)
- Entrance fee: 30 TRY

พระราชวังโทพคาปึ (Topkapı Palace) ที่เที่ยวอิสตันบูล
พระราชวังโทพคาปึ (ภาษาตุรกี: Topkapı Sarayı) เป็นพิพิธภัณฑ์พระราชวังขนาดใหญ่ของเมืองอิสตันบูล ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางประวัติศาสตร์เก่าแก่ทางด้านหลังฮาเกียโซเฟียสามารถเดินไปได้เพียง 3 นาที ที่นี่เคยเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำงานหลักของสุลต่านออตโตมันในช่วงในศตวรรษที่ 15 และ 16 ด้านในพระราชวังประกอบด้วยลานหลักสี่แห่งและอาคารขนาดเล็กจำนวนมาก มีพื้นที่รวมทั้งหมดกว่า 7,535,000 ตารางฟุต เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในอิสตันบูลที่ห้ามพลาดต้องเข้าชม
ลานหลักสี่แห่งในพระราชวังโทพคาปึ
- ลานแรก (Alay Square) เข้าถึงได้โดยใช้ประตูหลักที่ชื่อว่าประตูอิมพีเรียล (ประตูสุลต่าน) ด้านหน้ามีทหารยืนถือปืนเฝ้าประตู เมื่อเดินเข้ามาต้องวางกระเป๋าเข้าเครื่องสแกนและเดินผ่านเครื่องสแกนเข้าไปด้านใน ตรงนี้ยังไม่ต้องใช้ตั๋วเข้าชม เมื่อเดินผ่านมาแล้วจะมองเห็นลานแรกซึ่งล้อมด้วยกำแพงสูง ทำหน้าที่เป็นเขตสวนสาธารณะด้านนอก เราสามารถมองเห็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ เช่น โรงกษาปณ์ของจักรวรรดิในอดีต โบสถ์ไบแซนไทน์ ‘Hagia Irene’ ร้านเบเกอรี่ โรงพยาบาล โกดังไม้ และบ้านของช่างจักสาร
- ลานที่สอง (Divan Square) เข้าถึงโดยใช้ประตูที่สอง ตรงนี้มีเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว ต้องซื้อตั๋วเข้าชมก่อน ใครที่มีบัตรมิวเซียมพาสอิสตันบูลก็ใช้เข้าชมได้เลย หรือถ้าใครอยากซื้อบัตรนี้ก็ซื้อที่นี่ได้เช่นกัน จากนั้นสแกนตั๋วเข้าชมกับเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ พอเข้ามาถึงตรงนี้แล้วเราจะพบกับลานที่สองมีทางเดินไปยังประตูที่สาม ถ้าใครยังไม่อยากเข้าไปเลยก็สามารถเดินชมสถานที่ต่าง ๆ ในลานที่สองก่อนได้ เช่น ห้องสภาจักรวรรดิ ห้องเก็บคลังอาวุธ ห้องครัวและห้องเก็บของขวัญและเครื่องเงิน
- ลานที่สาม (Enderun Courtyard) ที่นี่เป็นไฮไลท์ของพระราชวังโทพคาปึเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นวังชั้นในซึ่งเป็นหัวใจของพระราชวัง ประกอบไปด้วยห้องบัลลังก์ของจักรพรรดิที่ปกคลุมด้วยผ้าทองคำและอัญมนีหลายชนิด ห้องสมุด มัสยิดขนาดเล็ก ห้ององคมนตรี รวมไปถึงฮาเร็มส่วนตัวของสุลต่าน ซึ่งเป็นที่พำนักของมารดา มเหสีและนางสนมของสุลต่าน
- ลานที่สี่ (Fourth courtyard) หรือที่รู้จักในชื่อโซฟาอิมพีเรียล เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ส่วนตัวที่อยู่ด้านในสุดของพระราชวัง ประกอบไปด้วยห้องขลิบทางศาสนา สวนหย่อม ระเบียงน้ำพุ รวมไปถึงศาลา Baghdad, Revan Pavilions, และ Iftaree Gazebo ซึ่งเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นความก้าวหน้าของสถาปัตยกรรมออตโตมันคลาสสิก ด้านหน้ามีระเบียงหินอ่อนสามารถมองเห็นวิวที่สวยงามของทางน้ำ ‘Golden Horn’ ของเมืองอิสตันบูล ใครหลายคนอาจจะเห็นภาพมุมนี้บ่อย ๆ จากโลกออนไลน์
การเข้าชมพระราชวังโทพคาปึควรให้เผื่อเวลาไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ช่วงเวลาที่แนะนำคือ 09:00 – 11:00 น. หรือหลัง 15:00 น. ด้านในมีสถานที่ให้เลือกชมหลากหลาย ไม่จำเป็นว่าต้องเดินชมจากลานที่สองก่อน แต่สามารถเดินไปยังลานที่สาม หรือลานที่สี่แล้วย้อนกลับมายังลานที่สองก็ได้ สถานที่ภายในบางแห่งไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ เราจึงถ่ายภาพมาได้แค่ภายนอกบางส่วนเท่านั้น
ถ้าเปรียบเทียบที่นี่กับพระราชวังโดลมาบาห์เช (Dolmabahçe Palace) เราว่าโดดเด่นคนละแบบ โดยส่วนตัวชอบพระราชวังโดลมาบาห์เชมากกว่า เพราะมีสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก อยู่ติดกับแม่น้ำด้วย แต่ที่นี่เรามีบัตร Museum Pass Istanbul ใช้เข้าชมได้ฟรี และที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากฮาเกียโซเฟีย มาที่นี่แล้วได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติของสุลต่านและเห็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์หลายแห่งนับว่าคุ้มกับค่าตั๋ว ถ้าให้เลือกเข้าที่ใดที่หนึ่งเราคิดว่าควรเข้าชมทั้งสองที่เลย ไหน ๆ ก็มาแล้ว
- Location Topkapı Palace
- Get there by Tram T1, Sultanahmet Station or Gülhane istasyonu (Walk 8 mins)
- Opening time: Wednesday – Monday 09:00-17:30 hrs. (Close on Tuesday)
- Entrance fee: Combined ticket Topkapi Palace + Hagia Irene 320 TRY, Combined ticket Topkapi Palace + Hagia Irene + Harem 420 TRY, Harem 150 TRY, Hagia Irene 120 TRY, Free entrance with Museum Pass Istanbul.

พระราชวังโดลมาบาห์เช (Dolmabahçe Palace) ที่เที่ยวอิสตันบูล
พระราชวังโดลมาบาห์เช (ภาษาตุรกี: Dolmabahçe Sarayı) ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลมาร์มาราในช่องแคบบอสฟอรัสฝั่งทวีปยุโรปของอิสตันบูล เป็นพระราชวังที่มีความสวยงามตระการ สร้างด้วยหินอ่อนโดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมจากตะวันตก เช่น บารอค รอคโคโค นีโอคลาสสิก ผนวกเข้ากับวัฒนธรรมออสโตแบบดั้งเดิมทำให้เกิดรูปแบบศิลปะแนวใหม่ที่มีความโดดเด่น ใครที่กำลังวางแผนมาเที่ยวที่อิสตันบูล เราขอแนะนำให้ไปเข้าชมความสวยงามของพระราชวังแห่งนี้ด้วยตัวเองสักครั้ง
พระราชวังโดลมาบาห์เชสร้างขึ้นโดยสุลต่าน อับดุลเมซิดที่ 1 แทนที่พระราชวัง Beşiktaş Shore Palace ระหว่างปี ค.ศ. 1843-1856 และเริ่มใช้เป็นที่ประทับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1856 มีสุลต่านประทับที่พระราชวังแห่งนี้ทั้งหมด 6 พระองค์ จนถึงกาหลิบองค์สุดท้ายในปี ค.ศ. 1924 หลังการเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นสาธารณรัฐ ประธานาธิบดีคนแรกของตุรกี มุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก ได้พำนักชั่วคราวอยู่ที่พระราชวังเป็นระยะเวลา 4 ปี ระหว่างปี ค.ศ. 1927-1938 เขาได้ใช้พระราชวังนี้เป็นที่ทำงานและได้เสียชีวิตลงที่พระราชวังแห่งนี้ ก่อนที่พระราชวังจะถูกใช้เป็นที่พำนักของประธานาธิบดีอิสเมห์ อินโนเนอ จนถึงปี ค.ศ. 1949 ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมในฐานะพิพิธภัณฑ์พระราชวัง
การตกแต่งภายในยังคงเป็นแบบดั้งเดิมในปี ค.ศ. 1948 มีความหรูหราอลังการ ประดับตกแต่งผนังและพื้นด้วยพรมเฮเรเค ‘Hereke’ แชนเดอร์เลียทีทำจากคริสตัลบาคาร่าและโบฮีเมีย พอร์ชเลนจาก Sevres และ Yildiz นั้นยังไม่รวมของขวัญจากผู้นำประเทศต่าง ๆ รวมไปถึงภาพวาดของศิลปินชาวตะวันตกที่สร้างความโอฬารให้กับพระราชวังแห่งนี้ คุณพระ! พิมพ์ไปก็ยังไม่สามารถอธิบายความหรูหราได้หมด เอาเป็นว่าที่นี่สงวนงบประมาณในการสร้างกว่า 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่ากับทองคำ 35 ตันเลยทีเดียว
พระราชวังโดลมาบาห์เชประกอบไปด้วยอาคารสองชั้น มีห้องใต้หลังคาและห้องใต้ดิน ด้านในพระราชวังแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนของการบริหารงานประเทศ ส่วนฮาเร็มซึ่งเป็นที่พักอาศัยของสุลต่านและครอบครัว รวมไปถึงห้องโถงขนาดใหญ่ที่ใช้จัดงานพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ พระราชวังมีห้องรวมทั้งหมด 285 ห้อง 44 ห้องโถง 68 ห้องสุขา และ 6 ห้องอาบน้ำ มีพื้นที่รวมทั้งหมด 14,595 เมตร นับว่าเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในประเทศตุรกี
ภายในพระราชวังโดลมาบาห์เช ยังมีพิพิธภัณฑ์นาฬิกาและพิพิธภัณฑ์ภาพวาด สามารถซื้อตั๋วแบบ Combined Ticket ได้ที่เคาน์เตอร์ประตูทางเข้า การเข้าชมพระราชวังต้องใช้ถุงพลาสติกที่จัดไว้ให้เพื่อสวมรอบรองเท้าก่อน มีโบว์ชัวร์ประวัติความเป็นมาของที่นี่สามารถหยิบได้ฟรี มีภาษาไทยด้วยค่ะ ใครที่อยากได้ออดิโอเสียงขนาดเล็กสามารถขอได้ที่เคาน์เตอร์ทางเข้า ต้องใช้พาสปอร์ตมัดจำ (ขอรับคืนได้หลังชมเสร็จ) ที่สำคัญต้องเดินตามเส้นทางที่จัดไว้ ห้ามจับสิ่งของภายในพระราชวังและห้ามถ่ายภาพ ห้องที่เข้าชมแล้วหยุดมองอยู่นานเพราะสวยมาก คือ บันไดคริสตัล ห้องโถงใหญ่ ห้องการทูต ห้องสีน้ำเงิน (ห้องสุลต่าน) ห้องสีชมพู (ห้องประชุมของมเหสีและสนม) และห้องอาบน้ำของสุลต่านที่สามารถมองเห็นวิวทะเลมาร์มารา
เวลาที่แนะนำในการเข้าพระราชวังโดลมาบาห์เช คือ ระหว่างเวลา 09:00-11:00 น. หรือหลัง 14:00 น. เผื่อเวลาไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง ตอนแรกคิดว่าเป็นพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ พอมาเดินจริงแล้วใหญ่มาก เดินไปตอนแรกว่าว้าวแล้วเดินต่อไปเรื่อย ๆ คือว้าวไม่หยุด คุ้มค่าตั๋วเข้าชมจริง ๆ โดยส่วนตัวไปเข้าชมตอนบ่ายสอง จากนั้นก็ไปเที่ยวต่อที่หอคอย Galata Tower ได้ชมพระอาทิตย์ตกไปด้วย แนะนำมากค่ะ
- Location Dolmabahçe Palace
- Get there by Tram T1 or Istanbul Metro F1, Kabatas Station (Walk 8-15 mins)
- Opening time: Tuesday – Sunday 09:00-18:30 hrs. (Close on Monday)
- Entrance fee: Combined ticket Combined Dolmabahçe Palace + Haarlem + National Palaces Paintings Museum 300 TRY, Museum Pass Istanbul is not valid for this museum.

พิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล (Istanbul Archaeological Museums)
พิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล (ภาษาตุรกี: Istanbul Arkeoloji Müzeleri) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองอิสตันบูล ตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังโทพคาปึเพียง 6 นาที ที่นี่ประกอบด้วยโครงสร้างหลักสามแห่ง คือ พิพิธภัณฑ์โบราณคดี พิพิธภัณฑ์งานโบราณตะวันออก และพิพิธภัณฑ์ตู้กระเบื้อง ความน่าสนใจของพิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล คือ เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกในตุรกี มีวัตถุโบราณและสิ่งประดิษฐ์ประมาณหนึ่งล้านชิ้นที่รวบรวมจากหลากหลายวัฒนธรรมและประเทศต่าง ๆ รวมไปถึงมีการจัดแสดงประวัติศาสตร์ตุรกี เปอร์เซีย กรีกและโรมันเป็นส่วนใหญ่ ใครที่ชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้รับรองได้เลยว่าถ้าเข้าชมแล้วจะกลับออกมาพร้อมความเต็มอิ่มเลยทีเดียว
การจัดแสดงที่โดดเด่นในพิพิธภัณฑ์ คือ โลงศพหิน Alexander Sarcophagus ในช่วงปลายศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตศักราชที่ค้นพบจากสุสาน Ayaa ในเมืองไซดอนประเทศเลบานอน ภาพกระเบื้องเคลือบจากประตูอิชตาร์แห่งบาบิโลน รูปปั้นตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปลายยุคโรมันจากเมืองแอฟโฟรดีเซียส (Aphrodisias) เอฟิซัส (Ephesus) และมิเลทัส (Miletus) รูปปั้นครึ่งตัวของอเล็กซานเดอร์มหาราชและซุส ส่วนกรามบนของศีรษะข้างหนึ่งของเสาพญานาคจากฮิปโปโดรม ไปจนถึงเหรียญตราประทับออสโตมัน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญเงินเก่าแก่จนถึงปัจจุบันรวมมากกว่า 800,000 เหรียญ
โดยส่วนตัวเข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้วชอบมากโดยเฉพาะโซนประวัติศาสตร์กรีกและโรมัน รวมไปถึงรูปปั้นและสิ่งของโบราณต่าง ๆ บางโซนเดินเข้าไปแล้วให้ความรู้สึกตื่นเต้นและลึกลับเหมือนเรากำลังผจญภัยอยู่ในหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ตามพิพิธภัณฑ์มีการจัดไฟที่ไม่ค่อยสว่างมากนัก เราไม่แน่ใจว่าถูกออกแบบมาให้เป็นแบบนั้น หรืออาจจะเป็นเพราะมีผลต่อวัตถุโบราณที่จัดแสดงไว้ นิทรรศการบางส่วนมีการปิดปรับปรุง อีกอย่างที่ดูแล้วอยากให้พัฒนาเพิ่มเติมก็คือคำอธิบายในแต่ละจุดที่อาจจะมีไม่มากนัก แต่ถ้าใครไม่ติดตรงนี้ก็ไม่เป็นไร เพราะวัตถุโบราณที่ได้เห็นอาจจะสร้างความตื่นตาตื่นใจไปพอสมควรแล้ว ที่นี่ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กใช้เวลาเข้าชมประมาณ 1-1.5 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว
- Location Istanbul Archaeological Museums
- Get there by Tram T1, Sultanahmet Station (Walk 13 mins), or Gülhane istasyonu Station (Walk 2 mins)
- Opening time: Every day 09:00-19:00 hrs.
- Entrance fee: 100 TRY, Free entrance with Museum Pass Istanbul.

หอคอยกาลาตา (Galata Tower) ที่เที่ยวอิสตันบูล
หอคอยกาลาตา (ภาษาตุรกี: Galata Kulesi) เป็นหอคอยไบแซนไทน์ความสูง 67 เมตร ตั้งอยู่ที่เขตเบโยกลู (Beyoğlu) ของอิสตันบูลฝั่งยุโรป แต่เดิมสร้างขึ้นเพื่อเป็นหอสังเกตการณ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงกาลาตา ปัจจุบันหอคอยนี้ถูกใช้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการและพิพิธภัณฑ์หอคอยกาลาตาภายใต้ชื่อ ‘Galata Kulesi Museum’ ความโดดเด่นของที่นี่ไม่เพียงแค่เป็นแลนด์มาร์กที่โดดเด่นของเมืองเท่านั้น แต่เรายังสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของชายฝั่ง Golden Horn ทะเลมาร์มารา พิพิธภัณฑ์โคพทาปึ อาเกียโซเฟีย มัสยิดสีน้ำเงิน และสะพานกาลาตาในเวลาเดียวกัน ความงดงามของภาพมุมสูงของสถานที่เหล่านี้เป็นเหตุผลที่คุณควรจะไปเยี่ยมชมหอคอยกาลาตาด้วยตัวเอง
หอคอยกาลาตาเป็นรูปทรงกระบอกมีทั้งหมดเก้าชั้น ตัวอาคารสร้างด้วยอิฐที่แข็งแรง สองชั้นบนสุดมีระเบียงโครงเหล็กประดับด้วยหน้าต่างโค้งทรงกลม ชั้นบนสุดมีระเบียงเปิดรอบสำหรับเดินชมวิวที่สวยงามของเมืองอิสตันบูล ด้านบนสุดเป็นหลังคาทรงกรวย ในตัวอาคารของหอคอยกาลาตายังมีการจัดแสดงสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่สะท้อนถึงช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของอิสตันบูล รวมไปถึงขั้นตอนและวิธีการสร้างหอคอยกาลาตาในอดีต ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์หอคอยกาลาตา
การเข้าชมหอคอยกาลาตาแนะนำให้ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่ 5 ก่อนจากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุดเพื่อชมวิวนอกระเบียง เวลาที่แนะนำเลยก็คือประมาณ 17:30 น. ไปรอก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน เพราะคิวรอต่อแถวซื้อตั๋วเข้าชมค่อนข้างยาว ถ้าใครที่บัตร Museum Pass Istanbul ก็ใช้เข้าชมได้เลย สะดวกมากแนะนำให้ซื้อติดตัวไว้
วิวที่ด้านบนหอคอยกาลาตาสวยมากค่ะ มองเห็นเมืองอิสตันบูลแบบรอบด้านเลย โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์โคพทาปึ อาเกียโซเฟีย มัสยิดสีน้ำเงิน ที่ตั้งอยู่แบบได้สัดส่วนพอดีกันเลย ถ้ามองไปที่สะพานกาลาตาจะเห็นคนเยอะเป็นพิเศษ ส่วนสะพานอีกฝั่งการจาจรทางบกยังคงหนาแน่นเหมือนเดิม เป็นภาพที่มองแล้วทำให้เห็นการใช้ชีวิตของชาวอิสตันบูลที่แตกต่างกันไปหลายด้าน จากที่เคยเห็นรูปภาพจากในอินเทอร์เนต พอมาเห็นด้วยตาตัวเองวันนี้คุ้มมากค่ะ ช่วงเวลาที่ทำละหมาดถ้าเรายืนอยู่บนหอคอยจะได้ยินเสียงเหล่านั้นสะท้อนไปทั่วเมือง โดยส่วนตัวใช้เวลาบนนี้นานหน่อยเพราะเห็นวิวแบบไม่มีอะไรมาบดบัง พอชมวิวเสร็จแล้วสามารถเดินลงบันไดวนมาชมนิทรรศการตามชั้นต่าง ๆ ได้
ในตอนกลางคืนหอคอยกาลาตายังมีการประดับด้วยไฟส่องสว่างมองเห็นจากระยะไกล ถ้ามาช่วงพลบค่ำจะได้ภาพที่สวยงามของหอคอยนี้ไปอีกแบบ ด้านหน้าหอคอยยังมีถนนคนเดินที่ชื่อ ‘Büyük Hendek’ มีร้านขายชาเต็มไปหมดเลย ตอนนั้นที่เดินไปเวลาประมาณเกือบจะสองทุ่มแล้วยังมีคนนั่งดื่มชาอยู่เต็มทุกร้านเลย ของเขาขึ้นชื่อที่นี่จริง ๆ ถ้าใครมาแล้วลองไปลิ้มรสชาดั้งเดิมของที่นี่นะคะ โดยส่วนตัวลองมารสชาติโอเคเลยค่ะ แก้วชาก็จะน่ารักจับสะดวก ถ้าใครชอบรสหวานก็เติมน้ำตาลเพิ่มได้
อ่านต่อ: เที่ยวหอคอยกาลาตา ชมโกลเด้นฮอร์นอิสตันบูลอาบแสงพระอาทิตย์ยามเย็น
- Location Galata Tower
- Get there by Tram T1, Tophane Station (Walk 9 mins), or Metro M2 from Taksim Station to Şişhane Station (Walk 5 mins)
- Opening time: Every day 08:30-24:00 hrs.
- Entrance fee: 175 TRY, Free entrance with Museum Pass Istanbul.

ย่านทักซิมสแควร์ (Taksim Square) ที่เที่ยวอิสตันบูล
ทักซิมสแควร์ (ภาษาตุรกี: Taksim Meydanı) เป็นย่านท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองอิสตันบูล ตั้งอยู่ใจกลางเมืองในเขตเบโยกลูฝั่งยุโรป ที่นี่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้า โรงแรม และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนา เช่น อนุสาวรีย์สาธารณรัฐ มัสยิดทักซิมสแควร์ ศูนย์วัฒนธรรมอตาเติร์ก ฯลฯ ถ้าคุณมาเยี่ยมชมที่นี่ไม่เพียงแต่จะได้สัมผัสบรรยากาศที่คึกคักของสถานที่เหล่านั้น แต่ยังสามารถเดินเล่นไปบนถนนชอปปิงสายหลักที่มีชื่อเสียง ‘İstiklal Caddesi’ ยาวกว่า 1.4 กิโลเมตรเมตร คุณยังสามารถรอถ่ายภาพหรือนั่งรอรางสายประวัติศาสตร์ Taksim-Tünel (T2) ที่วิ่งผ่านถนนชอปปิงสายนี้ไปยังอุโมงค์รถไฟใต้ดินสาย F2 (Tünel) ได้อีกด้วย
สำหรับใครที่มาที่นี่ด้วยรถไฟใต้ดิน M2 หรือรถกระเช้าไฟฟ้า ‘Funicular’ F1 จะมาจอดที่สถานีทักซิมพอดี พอเดินขึ้นมาจากสถานีจะเจอกับทักซิมสแควร์เลย บนนี้รายล้อมด้วยสถานที่สำคัญ คือ อนุสาวรีย์สาธารณรัฐ มัสยิดทักซิมสแควร์ ศูนย์วัฒนธรรมอตาเติร์ก พอเดินไปอีกนิดจะเจอกับทางเข้าถนนสายชอปปิงชื่อดัง ด้านหน้ามีร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรมหลายแห่ง รวมไปถึงร้านขายเคบับที่มีคนซื้อเยอะมาก เราลองซื้อทานมาปรากฏว่าอร่อยมาก ได้มาเยอะด้วยกินจนจุกไปเลยทีเดียว จากนั้นก็เดินเที่ยวต่อเข้าไปในถนนชอปปิง มีร้านค้าเต็มทั้งสองฝั่งไปจนสุดถนนสายนี้ แต่ละตรอกซอกซอยก็จะมีร้านอาหาร ผับต่าง ๆ คนเดินบนถนนก็เยอะมากเช่นกัน ยิ่งไปตอนช่วงเย็น ๆ คนจะเยอะเป็นพิเศษ ถ้าใครชอบบรรยากาศแบบนี้แนะนำให้หาที่พักในย่านนี้

นั่งรถราง Taksim-Tünel (T2)
ใครหลายคนอาจจะเห็นรถรางสาย T2 ผ่านตามาบ้างแล้วจากอินเทอร์เนต ถ้ามาเที่ยวที่นี่อยากลองให้นั่งกัน ใช้เวลาไม่นานประมาณ 5 นาที รถรางสาย T2 มีจุดจอดทั้งหมด 5 จุด คือ Taksim, Odakule, Galatasaray, Ağa Cami และ Tünel (Şişhane) ใครสะดวกขึ้นตรงไหนก็สามารถยืนรอตามจุดต่าง ๆ เหล่านั้นได้เลย แต่เราขอแนะนำให้ขึ้นจากสถานีต้นทางที่ด้านหน้าจัตุรัสทักซิมสแควร์ใกล้กับสถานีรถไฟ M2 จะได้นั่งยาว ๆ รถราง T2 จะแล่นจากถนนชอปปิงมาจอดที่ตรงนี้ประมาณ 5-10 นาที มีตั๋วแบบเที่ยวเดียวซื้อได้กับพนักงานขายตั๋วบนรถราง หรือใช้บัตรสมาร์ดการ์ด Istanbulkaart รถรางออกวิ่งทุกวันจากสถานีทักซิม (Taksim) ตั้งแต่เวลา 07:00 น. ถึง 21:30 น. และจากสถานีอุโมงค์รถไฟใต้ดินสาย F2 (Tünel) ตั้งแต่เวลา 07:20 น. ถึง 22:00 น. ใช้เวลาวิ่งต่อเที่ยวประมาณ 5 นาที ความถี่แต่ละรอบประมาณ 15-20 นาที
- Location Taksim Square
- Get there by Metro M2, Şişhane Station (Walk 17 mins), or Metro M2 and Funicular F1, Taksim Station.
- Opening time: Every day 24 hrs.

ปากน้ำของช่องแคบบอสฟอรัส (Golden Horn)
Golden Horn (ภาษาตุรกี: Altın Boynuz, Haliç) เป็นปากน้ำธรรมชาติของช่องแคบบอสฟอรัสที่มีความสวยงาม แบ่งเมืองอิสตันบูลออกเป็นสองฝั่ง คือ ฝั่งเอเชียและฝั่งยุโรป โกลเด้นฮอร์นมีสะพานทอดข้ามทั้งหมด 5 แห่ง สะพานที่มีชื่อเสียงคือสะพานกาลาตา สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1994 ตั้งอยู่ระหว่างเขต karaköy และ Eminönü รวมไปถึงสะพาน Golden Horn Metro Bridge เส้นทางขยายรถไฟใต้ดินสาย M2 และสะพาน Atatürk Bridge ซึ่งเป็นสะพานทางหลวงการจราจรทางบกและทางเท้า
จุดเด่นของโกลเด้นฮอร์นนอกจากจะเป็นท่าเรือหลักของเมืองแล้วยังมีทัศนียภาพที่งดงามของเมืองรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์โคพทาปึ อาเกียโซเฟีย มัสยิดสีน้ำเงิน สะพานกาลาตาที่มีฉากหลังเป็นมัสยิดใหม่ ช่องแคบบอสฟอรัส ไปจนถึงพื้นที่ฝั่งเอเชียที่มีหอโทรคมนาคม ‘Çamlıca Tower’ ความสูงรวมกว่า 369 เมตรตั้งเด่นสง่าจากระยะไกล ในช่วงพระอาทิตย์ตกดินพื้นที่โกลเด้นฮอร์นจะสวยงามเป็นพิเศษเพราะอาบด้วยแสงสีทองจากพระอาทิตย์สะท้อนกับเงาน้ำ ถ้าคุณอยากเห็นวิวของสถานที่ทั้งหมดนี้ในเวลาเดียวกันสามารถชมได้จากหอคอยกาลาตา

สะพานกาลาตา (Galata Bridge)
สะพานกาลาตา (ภาษาตุรกี: Galata Köprüsü) เป็นสะพานที่ทอดยาวข้ามโกลเด้นฮอร์น สร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1994 มีความยาวกว่า 490 เมตร กว้าง 42 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างย่านสมัยใหม่ที่เรียกว่า Karaköy และเขต Eminönü พื้นที่โดยรอบสะพานมีบรรยากาศที่คึกคักทีเดียวจากการจราจรของรถและทางเท้าบนสะพาน ที่นี่เรายังสามารถมองเห็นคนใช้เบ็ดตกปลาอยู่เกือบทุกช่วงเวลา ที่ใต้สะพานกาลาตาฝั่ง Eminönü มีร้านอาหารจำนวนมาก ถ้าไปเดินแถวนี้เลือกไม่ถูกเลยทีเดียวว่าจะเดินเข้าร้านไหนดี
ใกล้กับสะพานกาลาตายังเป็นที่ตั้งของท่าเรือจำนวนมาก มีบริการเรือล่องช่องแคบบอสฟอรัส และเรือโดยสารไปยังฝั่งเอเชีย (Kadıköy Çayırbaşı – Karaköy – Eminönü) ใครที่สนใจแนะนำให้ขึ้นเรือจากฝั่งนี้เพราะเป็นเรือที่คนท้องถิ่นโดยสารกันประจำ ค่าเรืออาจจะถูกกว่า แต่ถ้าขึ้นฝั่ง Karaköy จะเป็นนักท่องเที่ยวโดยส่วนใหญ่ (อาจจะมีเรือเยอะกว่า) สถานีรถรางที่ตั้งอยู่ใกล้สะพานกาลาตาคือสถานี Eminönü มาลงที่ตรงนี้แล้วสามารถเดินเที่ยวได้ยาวเลย ถ้าใครเลือกพักที่ย่านเมืองเก่าสามารถเดินมาที่นี่ได้ในเวลา 10 นาที ช่วงพลบค่ำที่นี่ยังมีบรรยากาศที่สวยงามไปอีกแบบโดยเฉพาะแสงไฟจากมัสยิดใหม่ที่เป็นฉากหลังของสะพานกาลาตา เวลานั้นก็ยังมีคนตกปลาจำนวนมากไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงฤดูหนาว มาเดินแล้วทำให้เห็นวิธีชีวิตของชาวเจอตุรกีในมุมที่แตกต่างจริง ๆ

มัสยิดซิวเลย์มานีเย (Suleymaniye Mosque)
มัสยิดซิวเลย์มานีเย (ภาษาตุรกี: Süleymaniye Camii) เป็นมัสยิดที่มีความสวยงามไม่แพ้มัสยิดสีน้ำเงิน ใหญ่เป็นอันดับสองในเมืองอิสตันบูล ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อเป็นมัสยิดหลวงของสุลต่านสุลัยมานแห่งจักรวรรดิออตโตมัน ก่อสร้างระหว่างปี ค.ศ. 1550-1557 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม สะท้อนความเป็นต้นแบบของมัสยิดมุสลิม มัสยิดซิวเลย์มานีเยตั้งอยู่บนเนินเขาที่สาม สามารถมองเห็นโกลเด้นฮอร์นได้จากระยะไกล เราสามารถมาที่นี่โดยนั่งรถรางมาลงที่สถานี Eminönü จากนั้นเดินขึ้นเขาต่ออีกประมาณ 16 นาที หรือลงที่สถานีรถไฟใต้ดินสาย M2 จากสถานี Vezneciler จากนั้นเดินอีก 9 นาที จะใกล้กว่า
มัสยิดซิวเลย์มานีเยเป็นแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีโดมสูง 4 แห่งและโดมหลัก ด้านในมีศาลาลานน้ำพุตรงกลางเหมือนกับมัสยิดทั่วไปที่ใช้ชำระล้างก่อนทำละหมาด ลานภายในมีเสาหินอ่อนแกรนิต ก่อนจะเข้าชมด้านในของมัสยิดซิวเลย์มานีเยต้องถอดรองเท้าก่อน (มีถุงพลาสติกให้ใส่รองเท้า) เมื่อเข้าไปด้านในจะพบกับลานกว้างปูด้วยพรมสีสดรับกับไฟระย้า ผนังยังประดับด้วยกระเบื้องและหน้าต่างกระจกสี โดยส่วนตัวเป็นมัสยิดที่สวยงามมากทีเดียว จำนวนนักท่องเที่ยวที่นี่อาจจะไม่หนาแน่นเหมือนกับมัสยิดบลู แต่เรื่องความสวยงามใกล้เคียงกันทีเดียว ถ้าใครไปที่นั่นแล้วแนะนำให้มาเยี่ยมชมที่นี่อีกหนึ่งแห่ง

นั่งเรือไปเที่ยวอิสตันบูลฝั่งเอเชีย (Uskudar – Kadıköy)
อิสตันบูลฝั่งเอเชีย ‘อึสคือดาร์’ (Uskudar) เป็นย่านที่มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ที่นี่มีประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 500,000 คน โดยเฉพาะฝั่งทะเลมาร์มาราเป็นย่านที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของอิสตันบูล ค่าใช้จ่ายฝั่งเอเชียค่อนข้างถูกกว่าฝั่งยุโรป การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะก็สะดวกไม่แพ้กัน นั้นทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะพักอาศัยในย่านนี้ และถ้าคุณนั่งเรือข้ามฟากไปเที่ยวที่นี่จะได้สัมผัสถึงชีวิตจริงของอิสตันบูลที่มีเสน่ห์แตกต่างจากฝั่งยุโรป
คุณสามารถนั่งเรือข้ามฟากสาย Kadıköy Çayırbaşı – Karaköy – Eminönü จากฝั่งยุโรปที่ท่าเรือ Eminönü (Turyol) (พิกัดท่าเรือ) ไปยังฝั่งเอเชียโดยใช้บัตรสมาร์ดการ์ด Istanbul ถ้าไม่สะดวกขึ้นจากท่าเรือ Eminönü สามารถขึ้นจากท่าเรือ Karaköy ก็ได้ เพราะเรือจะรับผู้โดยสารจากฝั่งนี้ก่อนแล้วค่อยไปจอดรับผู้โดยสารที่ฝั่ง Karaköy จากนั้นก็นั่งยาวเลย เรือวิ่งทุกวัน วันธรรมดาถึงวันเสาร์เวลา 06:55 – 21:20 น. และอาทิตย์เวลา 08:10 – 21:20 น.
เรือที่ใช้เป็นเรือโดยสารดำเนินการโดยบริษัท Turyol มีที่นั่งกว้างขวางและสะอาด แนะนำให้นั่งชั้นบนสุดมองเห็นวิวชัดเจน โดยส่วนตัวโดยสารไปกับเรือนี้พบว่าผู้โดยสารเป็นคนท้องถิ่นโดยส่วนใหญ่ ใช้เวลาโดยสารประมาณ 30 เรือจะมาจอดที่ท่าเรือ Kadıköy (พิกัดท่าเรือ) ใกล้กับท่าเรือมีสถานีจอดรถบัสขนาดใหญ่ หลังจากนี้คุณสามารถเลือกเที่ยวสถานที่ตามต่าง ๆ ได้ตามสะดวกเลย เช่น มัสยิดคัมลิกา (Çamlıca Mosque) พระราชวังพระราชวังเบเลอร์เบยี (Beylerbeyi Palace) ตลาด Kadıköy คุณยังสามารถลิ้มรสอาหารทะเลในราคาที่ถูกเกือบครึ่งต่อครึ่งได้ที่นี่อีกด้วย ร้านที่แนะนำ คือ Balıkçı Lokantası เป็นร้านเล็ก ๆ เดินมาจากท่าเรือประมาณ 10 นาที เดินเข้ามาข้างในสั่งหาอาหารรอแป๊บหนึ่งแล้วได้เลย อาหารอร่อยทุกเมนูที่สำคัญราคาไม่แพง กินกันจุก ๆ ไปเลย ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นคนท้องถิ่น
อ่านต่อ: แชร์ประสบการณ์นั่งเรือเที่ยวอิสตันบูลฝั่งเอเชียครึ่งวัน

มัสยิดคัมลิกา (Çamlıca Mosque)
มัสยิดคัมลิกา (ภาษาตุรกี: Büyük Çamlıca Camii) เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอิสตันบูล ตั้งอยู่บนเนินเขา Çamlıca ฝั่งเอเชีย ที่นี่สามารถมองเห็นได้ระยะไกลจากฝั่งยุโรปไม่แพ้หอโทรคมนาคม ‘Çamlıca Tower’ มัสยิดคัมลิก้ามีความสวยงามเกินความคาดหมายกับเรามากทั้งในเรื่องของสถาปัตยกรรมภายในและจำนวนผู้คนที่สามารถได้ถึง 63,000 คน มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้องโถงสำหรับทำละหมาด ไปจนถึงหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์อิสลามและห้องสมุด ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมถึงวิวด้านนอกที่สามารถมองเห็นฝั่งยุโรปและบ้านเรือนใกล้เคียง
มัสยิดคัมลิกามีการตกแต่งด้วยพรม เราต้องถอดรองเท้าในการเข้าชมโดยใส่ในถุงพลาสติกถือติดตัวไปด้วยได้หรือจะวางไว้ที่ตู้ใส่รองเท้าก็ได้ ผู้หญิงต้องสวมผ้าคลุมหัวเช่นเดียวกับการเข้าชมมัสยิดอื่น ๆ ด้านในโดมหลักประดับด้วยโคมไฟระย้ารวมถึงหน้าต่างกระจกสี ที่นี่มีพื้นที่แยกสำหรับผู้หญิงในการทำละหมาด ถ้าเดินขึ้นบันไดไปด้านบนสามารถมองเห็นพื้นที่ด้านในอย่างชัดเจน พอเดินออกมาลานด้านนอกมองเห็นวิวฝั่งยุโรปรวมไปถึงบ้านเรือนฝั่งเอเชีย
ส่วนตัวไปที่นี่แล้วชอบประทับมาก ให้ความรู้สึกเหมือนไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวแต่เป็นมัสยิดทางศาสนาจริง ๆ สถาปัตยกรรมด้านในมีความคล้ายคลึงกับมัสยิดบลู ถ้าไม่ติดว่าที่นี่ตั้งอยู่ไกลไปหน่อย อาจจะกลายมาเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมไม่แพ้มัสยิดบลูในย่านเมืองเก่า ถ้าใครวางแผนจะมาที่นี่ควรมีเวลาอย่างน้อยครึ่งวัน เพราะต้องใช้เวลานั่งเรือข้ามฟากจากฝั่งยุโรปมาที่ฝั่งเอเชียท่าเรือ Kadıköy ประมาณ 30 นาที จากนั้นก็นั่งรถบัสสาย 14F อีกประมาณครึ่งชั่วโมง รถจะมาจอดที่ป้าย Büyük Çamlıca Camii Station หน้าทางเข้ามัสยิดเลย อาจจะไกลนิดหนึ่งแต่ก็คุ้มแล้วตั้งแต่ตอนที่ได้เห็นทัศนียภาพที่ชัดเจนของเมืองสองฝั่งบนเรือ แต่ถ้าใครมีเวลาไม่พอไม่ได้มาที่นี่ก็ยังถือว่าไม่ได้พลาดอะไรไป เอาเป็นว่าถ้าแวะมาเที่ยวฝั่งเอเชียแล้วแนะนำให้มาที่นี่ด้วยจะครบแผนมากค่ะ

ตลาดแกรนด์บาซาร์ (Grand Bazaar) ที่เที่ยวอิสตันบูล
ตลาดแกรนด์บาซาร์ (ภาษาตุรกี: Kapalıçarşı) เป็นตลาดในร่มที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ในเขต Fatih ย่านเมืองเก่าของอิสตันบูล ห่างจากมัสยิดบลูเพียง 12 นาที คุณสามารถเดินไปที่นั่นได้ หรือนั่งไปลงที่รถรางป้าย Beyazıt-Kapalıçarşı จากนั้นเดินอีก 1 นาทีก็เจอประตูทางเข้า ตลาดแกรนด์บาซาร์มีผู้เยี่ยมชมระหว่าง 250,000 ถึง 400,000 คนต่อวันเลยทีเดียว ความเก่าแก่และความสวยงามสถาปัตยกรรมด้านในเป็นเหตุผลหลักที่ได้เปรียบของที่นี่เมื่อเทียบกับห้างสรรพสินค้าสมัยใหม่ในอิสตันบูล การค้าขายด้านในตลาดก็คึกคักพอสมควร ถ้าคุณอยากเห็นบรรยากาศเหล่านี้ต้องลองไปเดินเที่ยวด้วยตัวเอง
ตลาดแกรนด์บาซาร์มีประตูทางเข้า 21 ประตู ประตูทางเข้าประวัติศาสตร์ที่ 1 ตั้งอยู่ใกล้กับมัสยิด Nuruosmaniye Mosque ด้านบนประตูสามารถมองเห็นตราอาร์มของออตโตมัน พอเดินเข้ามาด้านในจะพบกับร้านค้ามากมายตั้งอยู่สองฝั่ง ถ้ารวมร้านค้าทั้งภายในและภายนอกมีมากถึง 4,000 ร้านค้า แบ่งออกเป็นหลายโซนตามประเภทสินค้าที่จำหน่ายในนี้ เช่น โซนสีเหลือง-ทอง โซนสีเขียว-พรม โซนสีฟ้า-ผ้ายีนส์ โซนสีส้ม-ทองแดง โซนสีม่วง-ผ้า โซนสีชมพู-ของที่ระลึก โซนสีอ่อนเข้ม-เครื่องหนัง โซนสีส้มเข้ม-ของเก่า และโซนสีเหลือง-เครื่องเงิน
ถ้าเดินผ่านประตูทางเข้าที่ 1 จะเจอกับขนมตุรกีเป็นส่วนใหญ่ คนขายก็จะเชิญชวนให้ชิมให้ซื้อ ถ้าเราไม่สนใจก็บอกขอบคุณและเดินผ่านไปได้ ราคาสินค้าที่นี่ค่อนข้างแพง อาจจะเป็นเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้วย ถ้าเทียบกับตลาดเครื่องเทศมีสินค้าคล้ายกันและราคาถูกกว่า ถ้ามาที่นี่แล้วไปเดินเล่นต่อที่ตลาดเครื่องเทศก็ได้เพราะอยู่ใกล้กันประมาณ 7 นาที
- Location Grand Bazaar
- Get there by Tram T1, Beyazıt-Kapalıçarşı Station (Walk 1 min)
- Opening time: Every day 24 hrs.
- Entrance fee: Free

ตลาดเครื่องเทศสไปซ์มาร์เก็ต (Spice Market) ที่เที่ยวอิสตันบูล
ตลาดเครื่องเทศสไปซ์มาร์เก็ต (ภาษาตุรกี: Mısır Çarşısı) เป็นตลาดขายเครื่องเทศที่มีบรรยากาศคึกคักไม่แพ้ตลาดแกรนด์บาซาร์ ตั้งอยู่ในย่าน Eminönü ใกล้กับมัสยิด New Mosque ที่นี่เป็นศูนย์การค้าในร่มที่มีชื่อเสียงที่สุดรองจากแกรนด์บาซาร์ ด้านในตลาดเป็นที่ตั้งของร้านค้ามากถึง 90 แห่ง ขายเครื่องเทศหลากหลาย และสินค้าที่เน้นไปทางขนม อาหาร ชากาแฟ ผลไม้อบแห้ง และถั่วหลายชนิด ราคาแบ่งขายตามกิโลชั่งน้ำหนัก ถ้าซื้อแล้วมีถุงแบบดูดลมออกให้ด้วยประหยัดพื้นที่จัดเก็บลงกระเป๋าเดินทาง ราคาค่อนข้างโอเคทีเดียวถ้าเทียบกับตลาดแกรนด์บาซาร์ ส่วนพื้นที่ด้านนอกมีสินค้าลดราคาอีกหลายอย่าง ทางฝั่งตะวันตกของตลาดจะเป็นพื้นที่ของแผงขายอาหารสด มาเดินที่นี่แล้วหอมกลิ่นเครื่องเทศแบบสุด ๆ ไปเลย ส่วนตัวให้บรรยากาศคล้ายกับตลาดนัดจตุจักรและไชน่าทาวน์ มีขนมให้เลือกซื้อหลายอย่าง พอเดินเสร็จก็ไปเดินเล่นที่สะพานกาลาตาและย่านท่าเรือได้อีก
- Location Spice Market
- Get there by Tram T1, EminönüStation (Walk 4 mins)
- Opening time: Every day 08:00-19:30 น.
- Entrance fee: Free
สรุปสถานที่เที่ยวในอิสตันบูล
ที่เที่ยวในอิสตันบูล มีความน่าสนใจและเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ถ้าเริ่มต้นเที่ยวที่ย่านเมืองเก่าสามารถเยี่ยมชมสถานที่สำคัญได้หลายแห่งเพราะอยู่ใกล้กัน ย่านทักซิมสแควร์จะมีความคึกคักและเต็มไปด้วยที่พักและร้านอาหาร ส่วนฝั่งเอเชียแนะนำให้วางแผนการเดินทางด้วยเรือและเผื่อเวลาไว้อย่างน้อยครึ่งวัน รายชื่อที่เที่ยวในอิสตันบูลข้างต้นสามารถเก็บหมดภายใน 2 วัน ถ้าวางแผนมาเที่ยวอิสตันบูล 3 วัน 2 คืนกำลังพอดี